วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ส.4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี A

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2007

ครูอนุบาลคนหนึ่ง เล่าเรื่องคริสตมาสให้เด็กฟัง โดยเล่าเรื่องของคนเลี้ยงแกะและพญาสามองค์ เมื่อเล่าจบแล้ว เธอก็ถามเด็กๆ ว่า เอาหล่ะ ไหนใครบอกได้ไหมว่า ใครคือผู้ที่ได้พบพระเยซูเจ้าเป็นคนแรก เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งยกมือและตอบว่า แม่พระค่ะ

พี่น้องครับ แน่นอนว่า แม่พระเป็นบุคคลแรกที่ได้เห็นพระเยซูเจ้า คำตอบของเด็กๆเป็นสิ่งที่ง่ายๆไม่ซับซ้อน ผู้ใหญ่สามารถสังเกตดูสิ่งต่างๆ ได้มากมายมากกว่าเด็ก ผู้ใหญ่มองดูปรากฏการณ์,ฑูตสวรรค์ที่มาแจ้งข่าว,ดวงดาวที่นำทาง ฯลฯ แต่เราพลาดสิ่งสำคัญประการหนึ่งก็คือ การประทับอยู่ของพระเจ้า และการที่พระองค์ประทับอยู่ในชีวิตธรรมดาๆ ในสิ่งต่างๆรอบตัวเราและในชีวิตของเรา เด็กเล็กๆคนนี้ช่วยเราให้มองเห็น สิ่งธรรมดาๆในชีวิต ซึ่งเราจะได้มองเห็นพระเจ้า พระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงอุ้มชูเราไว้

พี่น้องครับ พระวรสารในวันนี้ เริ่มต้นด้วยประโยคที่ดูเรียบๆว่า เรื่องราวการประสูติของพระเยซูเจ้าเป็นดังนี้”(มธ.1:18). แต่สำหรับชาวยิว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะชาวยิวไม่เชื่อว่า พระแมสซิยาห์จะบังเกิดจากหญิงธรรมดาคนหนึ่ง, เป็นทารกธรรมดา ดังนั้นพวกฟารีสีจึงรอคอยพระแมสซิยาห์ซึ่งจะมาจากเมืองเบธเลแฮม พระแมสซิยาห์ถูกคาดว่า จะถูกหย่อนลงมาจากฟากฟ้าและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลานุภาพน่าเกรงขาม สถานที่ที่พระองค์จะลงมา คงเป็นภูเขาลูกใดลูกหนึ่ง หรือในพระวิหารใหญ่โต ดังนั้นเราจึงเข้าใจมากขึ้นว่า ซาตานได้มาผจญพระเยซูเจ้าด้วยเรื่องการโดดลงมาจากยอดพระวิหาร พวกยิวจึงไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่คุ้นกับการที่พระแมสซิยาห์ ได้มาประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขาในแบบที่ธรรมดาๆ

พี่น้องครับ คำว่า พระเจ้าสถิตกับเรา พระเจ้าอยู่กับเรา ทำให้เรามานั่งคิดๆดูว่า เราคาดหวังอย่างไรกับการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางพวกเรา??? พระเจ้ายังคงทำงานของพระองค์ในท่ามกลางพวกเราอยู่หรือเปล่า? นี่คือเรื่องสำคัญ เพราะบางครั้งปัญหาอยู่ตรงที่ว่า พระเจ้าไม่ได้อยู่กับเรา? และเป็นเพราะว่า เราจำไม่ได้ว่า วิธีการที่พระเจ้าประทับอยู่กับเรา ทรงกระทำสิ่งต่างๆ เพื่อเรานั้น เป็นอย่างไร เหมือนในพระคัมภีร์ปฐมกาลที่ยาโคบตื่นขึ้นมาพูดว่า พระเจ้าทรงสถิต ณ ที่นี้แน่ทีเดียว แต่ข้าหารู้ไม่”(ปฐก 28:16).

การรอคอยพระแมสซิยาห์ที่แสนยาวนาน, แสงสว่างส่องโลก,กษัตริย์ของชาวยิว,ที่โปรดปรานของชนทุกชาติทุกภาษา พระองค์มิได้ลงมาจากเมฆหรือมาตามสายฟ้าฟาด แต่พระองค์มาจากครรภ์ของหญิงชนบทคนหนึ่งเป็นเวลา 9 เดือน, 30 ปีที่พระองค์ดำเนินชีวิต เติบโตขึ้นมาจากทารก เด็กชาย,เป็นวัยรุ่น,เป็นผู้ใหญ่ สิ่งต่างๆเหล่านี้เตือนเราว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่กับเราในชีวิตธรรมดาๆของเราทุกคน พระเจ้าทรงอยู่กับเรากับทุกๆคนที่อยู่รอบข้างเรา, เด็กๆ ที่กำลังเติบโต คนชราที่อายุมากขึ้น, คนเจ็บป่วยและคนที่ลาจากโลกนี้ไป พระองค์อยู่ในชีวิตธรรมดาๆของเราทุกคน

พี่น้องครับ เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะมองให้เห็นพระเจ้าในตัวของเพื่อนพี่น้องของเรา ที่ดูคล้ายคลึงไปกับเรา แต่ถ้าเรามองดูการบังเกิดของพระเยซู การรับเอาเนื้อหนังของพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งเป็นสะพานระหว่างสวรรค์และโลกของเรานี้ สะพานระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ สะพานแห่งพระหรรษทานและพระพรแห่งชีวิต, ระหว่างความศักดิ์สิทธิ์และชีวิตทางโลกธรรมดา, เรื่องราวการบังเกิดของพระเยซูคงช่วยให้เรามองเห็นการประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของเรามากยิ่งขึ้น

มีสุภาษิตของชาวไนจีเรีย เขาบอกว่า จงฟังให้ดีดี แล้วท่านจะได้ยินเสียงฝีเท้าของมด วันนี้เราทุกคนถูกเชิญชวนให้ฟังเสียงฝีเท้าของพระเจ้าที่พระองค์ก้าวเข้ามาสู่ชีวิตของเราในวิถีชีวิตแบบปกติและในช่วงเวลาปกติของชีวิตเรา ไม่จำเป็นต้องมองไปที่ยอดเขาสูงลิบสุดตา หรือมองไปที่ลึกที่สุดของท้องทะเล เพราะว่า ด้วยว่า เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์ (กจ 17:28).

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ส.3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี A

หญิงคนหนึ่งได้ใช้เวลาเพื่อทำงานเพื่อวัด เพื่อพระศาสนจักร เพื่อพระเป็นเจ้า ด้วยการไปเยี่ยมผู้ป่วย,ผู้พิการ,ผู้สูงอายุ วันหนึ่งหญิงคนนี้ ก็มีปัญหาเกี่ยวกับหัวเข่าของเธอเอง เธอต้องเข้ารับการผ่าตัด การผ่าตัดไม่ประสบผลและทำให้เธอเจ็บปวดและไม่สามารถที่จะเดินได้ ดูเหมือนว่า พระเจ้าไม่ฟังคำภาวนาของเธอและของเพื่อนๆ ที่ช่วยกันสวดเพื่อให้การผ่าตัดประสบผลดี นี่คือหญิงที่ตัดสินใจเลือกพระเยซูเป็นเพื่อนสนิทและเธอก็ผิดหวัง ความชื่นชมยินดีในชีวิตของเธอเปลี่ยนเป็นเรื่องน่าเศร้าในชีวิตเธอ วันหนึ่งเธอก็พยายามลุกขึ้นและเล่าเรื่องนี้ให้กับคุณพ่อวิญญาณรักษ์ และบอกว่า อะไรกำลังเกิดขึ้นกับจิตวิญญาณของเธอ คุณพ่อวิญญาณารักษ์ก็ให้คำปรึกษาว่า ให้เธอสวดภาวนาและให้ถามพระเยซูว่า ทำไมพระองค์ทำเช่นนี้กับเธอ ซึ่งต่อมาเธอก็ได้ไปทำตามคำแนะนำ วันต่อมา พระสงฆ์วิญญาณารักษ์ได้พบกับเธอ เห็นว่าหน้าตาของเธอพบสันติสุข แทนที่ความทุกข์ต่างๆที่เธอมี เธอถามคุณพ่อว่า คุณพ่ออยากรู้ไหมว่า พระเยซูพูดอะไรกับฉัน เวลาที่ฉันมองไปที่กางเขนของพระเยซูและบอกกับพระองค์ว่า ทำไมสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับชีวิตของฉัน กับหัวเข่าของฉัน พระองค์ก็ตอบฉันว่า เราอยู่บนนี้ แย่ยิ่งกว่าเธออีก

(6)ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข (มธ 11:6)

ยอห์น ใช้ทั้งชีวิตของท่านในทะเลทรายยูเดียเพื่อรอคอยพระแมสซิยาห์ ท่านเตรียมทางให้พระแมสซิยาห์ ด้วยการเชิญชวนให้รับพิธีล้างและกลับใจ ในเวลานี้ท่านอยู่ในคุก เพราะท่านได้ประกาศถึงความไม่ถูกต้องของกษัตริย์เฮโรด อันติพาส ในเวลาเดียวกัน พระเยซูก็เริ่มงานของพระองค์ในฐานะพระแมสซิยาห์ พระองค์มิได้ไปเยี่ยมยอห์นในคุก พระองค์ไม่ได้ส่งจดหมายใดใดเพื่อให้กำลังใจกับท่านยอห์น ท่านยอห์นได้ว่า พระเยซูกำลังทำอํศจรรย์ ทำไมพระองค์ไม่ทำอัศจรรย์ให้ท่านยอห์นเป็นอิสระ? ประกาศกได้บอกไว้มิใช่หรือว่า เครื่องหมายของพระแมสซิยาห์คือ การที่พระองค์จะทรงปลดปล่อยนักโทษให้เป็นไท มิใช่หรือ? และแน่นอนว่า ท่านก็คาดหวังว่า ท่านจะเป็นคนแรกที่จะได้รับผลอันนั้นด้วย

ดังนั้น ท่านยอห์น จึงส่งคนไปถามพระเยซู คำที่พระเยซูตอบกลับมาก็คือ ใช่แล้ว เราคือพระแมสซิยาห์ แต่ท่านอย่าเคืองใจเรานะ ถ้าสิ่งที่ท่านคาดหวัง ท่านไม่พบจากเรา

(6)ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข (มธ 11:6)

พี่น้องครับ เรื่องราวเหล่านี้คือ เราคาดหวังผิดๆ เทววิทยาที่นิยมกันมากให้สมัยก่อนก็คือ ถ้าร่ำรวยมั่งคั่ง นั้นคือ พระเจ้าอยู่กับเขา และถ้ายากจนลำบากเป็นเครื่องหมายว่า พระเจ้าไม่อยู่กับเขาแล้ว ผู้เขียนหนังสือโยบจึงเล่าเรื่องราวนี้ผ่านทางาชีวิตของโยบ ซึ่งเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังยากจนรและทุกข์ยากลำบากมากมาย แต่พี่น้องครับ ความคิดอันนี้ก็ยังคงอยู่กับชีวิตของคริสตังค์เราหลายๆ คน ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งที่น่าจะอยู่ในชีวิตของเราก็คือ คำสอนและตัวอย่างชีวิตจากพระเยซู

พี่น้องครับ ในพระเยซูเราได้เห็น เครื่องหมายที่ชัดเจนถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า เราต้องรู้ได้ดีดีว่า มิใช่เรื่องของวัตถุ เงินทอง แต่เป็นเรื่อง ของจิตใจ เป็นเรื่องฝ่ายจิต

ในช่วงเวลาแห่งการเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้ เราก็เหมือนกับยอห์นที่รอคอยการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า แล้วเราแต่ละคนคาดหวังอะไร? คาดหวังสิ่งใดจากพระเยซู? พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้เตือนใจเราว่า เราต้องคาดหวังในสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และหากไม่นับเรื่องทางวัตถุใดใด เรื่องภายนอกใดใด เราทุกคนได้รับการย้ำเตือนว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการช่วยเหลือเรา เป็นเรื่องหลักๆ เรื่องแรกๆ นั่นก็คือ เรื่องของวิญญาณ

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

บทเทศน์ ส.33 เทศกาลธรรมดา ปี C




บทเทศน์ ส.33 เทศกาลธรรมดา ปี C


พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า หากเราได้ฟังบทพระวรสารในวันนี้ พ่อเดาว่า เราคงรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะได้พูดถึงเรื่องการพิพากษา , การตัดสินลงโทษ , วาระสุดท้าย, การเบียดเบียน ฯลฯ
พี่น้องครับ ใน 1 สัปดาห์เราได้มีโอกาสมาหาพระอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง จากชีวิตที่ต้องทำงาน , รับผิดชอบครอบครัว พ่อดีใจที่พี่น้องได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีแล้ว เพราะนั่นกำลังสะท้อนถึงชีวิตนิรันดรที่เราบอกว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่สิ่งนั้น การดำเนินชีวิตในปัจจุบันของเราก็กำลังมุ่งไปสู่ชีวิตนิรันดรนั้น

พี่น้องครับ พระเยซูยืนยันถึงเรื่อง “วันสิ้นโลก” ซึ่งจะต้องเกิดขึ้น เราเองในฐานะศิษย์ก็อาจมีความสงสัยว่า วันสิ้นโลกนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อไร และอย่างไร มีสัญญาณอะไรบอกหรือไม่ แต่พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ให้ระวังเสมอและอย่าหลงไปกับสถานการณ์ต่าง ๆ และคิดว่า จุดจบจะมาถึง” พี่น้องครับ สิ่งสำคัญกว่าที่พระเยซูเจ้าได้เน้นก็คือ จะมีเรื่องของความยากลำบาก, มีการเบียดเบียน ซึ่งเราจะพบว่า ไม่มีคำตอบเรื่องวันและเวลาว่าจะมาถึงเมื่อไร


พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าขอให้เราเชื่อในพระองค์ เชื่อมั่นในพระองค์ ความเชื่อในพระองค์หมายความว่า การดำเนินชีวิตปัจจุบันด้วยความเชื่อ ออกแรง ทำงานด้วยความพากเพียร สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ เรากำลังหลงไปกับสถานการณ์ปัจจุบัน คริสตชนอยู่ในโลก แต่ไม่เป็นของโลก หมายความว่า เรารู้สถานการณ์ เราใช้ของในโลก เพื่อการเดินทางไปสู่ชีวิตนิรันดร


พี่น้องครับ พี่น้องเชื่อในเรื่องชีวิตนิรันดร ที่เราเรียกว่า “สวรรค์” แค่ไหนครับ, ความสุขนิรันดรอันจะได้มาจากการเจริญชีวิตคริสตชนด้วยความเชื่อมั่น เพียรทน และพยายามอย่างสุดสุด เพื่อเจริญชีวิตตามประสงค์ของพระเจ้า แต่สิ่งที่พระองค์เตือนเราไว้ก็คือ "การเบียดเบียนคือสิ่งที่ท่านคาดหวังได้จากการติดตามเรา" แต่พี่น้องอย่าลืมว่า ในความยากลำบากต่าง ๆ ในชีวิตของเรา ผู้ชอบธรรมจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้า


“นรก” คือ เครื่องหมายของการปฏิเสธพระประสงค์พระเจ้า ที่ใดที่มีการทะเลาะกัน ที่ไหนที่ไม่มีความรักกัน เพราะสาเหตุต่าง ๆ , ที่ใดที่มีการปฏิบัติต่อกันไม่ดี นั่นชี้แสดงให้เห็น “นรก” นั่นเพราะที่นั่น ไม่มีพระเจ้าอยู่ ซึ่งสิ่งที่จะตามมาก็คือ ความพินาศ เราอาจดำเนินชีวิตและอาจรู้สึกว่า สิ่งต่าง ๆ เป็นไปไม่ค่อยดีนัก หากเราย้อนกลับไปดูว่า ในกิจการงานต่าง ๆ , ในครอบครัวของเรา, ในหัวใจลึก ๆ ของเรามีพระเจ้าอยู่ไหมในการกระทำ นั่นอาจเป็นคำตอบหนึ่งสำหรับเรา พี่น้องที่ยังไม่มีหนังสือ “พลังแห่งชีวิต” ก็รีบโทรไปขอและให้อ่านในช่วงแรก ๆ ที่มีบุคคลในสังคมออกมาพูดเกี่ยวกับ “พลังที่เขาได้รับจากพระเจ้า” มันเป็นเครื่องหมายสะท้อนถึงสิ่งที่เรากำลังหลงไป ซึ่งหากเราไม่มีพระเจ้า สิ่งที่ทำจะรู้สึกไร้ความหมาย ตอนที่พ่อบวช พ่อได้เลือกคติพจน์ประจำตัวว่า “ปราศจากพระเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถทำอะไรได้” นั่นคือ เราได้รับทุกสิ่งจากพระ เราใช้ทุกสิ่งได้ ความสามารถ การทำงาน แต่เราต้องไม่ลืมว่า นั่นคือสิ่งทีพระให้เรา มิใช่ของเรา หากสิ่งที่จะเกิดกับเรา เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เราก็คือน้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยเต็มใจ


พี่น้องครับ หากพี่น้องเชื่อมั่นในพระเจ้า และพี่น้องพยายามดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อมั่นในพระเจ้า วางใจในพระองค์ พี่น้องจะพรากจากพระองค์ในวาระสุดท้ายได้อย่างไร? พ่อเชื่อว่า นรกหรือการพรากจากพระเจ้านิรันดรมีอยู่จริง แต่คนที่จะตกนรกคงจะมีชนิดเดียวคือ คนที่ปฏิเสธพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงว่า เขาไม่ต้องการพระองค์
พี่น้องครับ ถ้าพระเจ้าเป็นองค์ความดี เราทุกคนต้องการสิ่งดี เราชอบคนดี เราคงไม่ปฏิเสธพระเจ้า ยกเว้นแต่ว่า คนนั้นจะดำเนินชีวิตอย่างประมาทและขาดความรอบคอบในการเจริญชีวิตในความเชื่อต่อพระเจ้า


พี่น้องที่รักครับ ถ้าเราทุกคน ลูก ๆ ของพระ เจริญชีวิตด้วยคามรัก เพียรทนและสัตย์ซื่อในแต่ละวันของชีวิต พ่อเชื่อว่า พระสิริของพระเจ้า สวรรค์นิรันดร ได้เริ่มแล้ว ณ ชีวิตปัจจุบันที่ศักดิ์สิทธิ์และซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าและชีวิตที่กลมกลืนในความดีกับเพื่อนมนุษย์
ขอให้พี่น้องทุกคนได้เริ่มสร้างสวรรค์ ณ แผ่นดินในจุดเล็ก ๆ ในชีวิตของพี่น้อง คือตัวเราเอง สร้างให้สวรรค์เกิดขึ้นทุกที่ ทุกแห่งที่พระประสงค์ของพระเจ้าได้รับการตอบรับและปฏิบัติ เหมือนกับที่เราสวดในบทข้าแต่พระบิดาทุกครั้งว่า “พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน.....”

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน


วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

สมโภชนักบุญทั้งหลาย



พี่น้องครับ ทำไมเราจึงต้องมีการฉลองนักบุญทั้งหลาย เพราะตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เราก็มีการฉลองท่านบรรดานักบุญต่างๆ มากมายแล้ว พ่อจึงขอแบ่งปันเหตุผล 2 ประการที่สำคัญในการฉลองนักบุญทั้งหลายคือ
1.ในการฉลองนักบุญทั้งหลายในตลอดทั้งปีนั้น เรายังมีนักบุญอีกหลายท่าน ยังมีมรณสักขีอีกหลายท่าน, ทั้งชาย-หญิง-เด็ก ที่อยู่ในสวรรค์ที่เราไม่ได้มีวันฉลองให้ท่านเหล่านั้น หลายๆท่านเป็นญาติพี่น้องของเรา ปู่ย่าตายายที่เป็นแบบอย่างทางความเชื่อของเรา วันนี้เราจึงระลึกถึงท่านเหล่านั้น ดังนั้นในวันนี้เราจึงอาจเรียกได้ว่า เราฉลองนักบุญที่ “เราไม่รู้จัก” เราฉลองสิ่งที่บทอ่านที่ 1 บอกว่า “หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิตประชาชนมากมายเหลือคณานับจากทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเผ่า ทุกประเทศ กำลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ทุกคนสวมเสื้อขาวถือกิ่งปาล์ม”

2. การฉลองนี้ทำให้เรามองดูถึงชีวิตนิรันดร เป็นเป้าหมายของเรา นักบุญที่เราฉลองเป็นชายและหญิงเหมือนกับเรา ชีวิตของเราแต่ละคนเริ่มต้นตั้งแต่เรายังไม่เกิด และไม่ได้ถูกจำกัดแค่วันเกิดหรือวันตายของเราเท่านั้น แต่เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนเรากำเนินจนถึงวันที่เราตายไป นั่นคือสิ่งที่เราไม่ลืมบรรดาผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว นักบุญเทเรซาแห่งลีซีเออร์ บอกว่า เธอต้องใช้ชีวิตด้วยการทำความดีในโลกนี้ เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร? ในสายตาของเราทุกคน ท่านได้ตายและจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ด้วยสายตาแห่งความเชื่อ เรารู้ว่า ท่านยังมีชีวิต เพราะท่านมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ท่านมีชีวิตมากกว่าเพราะชีวิตของท่านร่าเริง ยินดีบนความทุกสาหัสของท่านเอง, ความเจ็บป่วย,บาปและความตายของตัวท่าน

พี่น้องครับ การที่เราจะมีชีวิตแบบท่านนักบุญนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง “คนที่กล่าวแก่เราว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้” แล้วเราจะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าอย่างไร? คำตอบอยู่ในพระวรสารในวันนี้แล้วครับ “ความสุขแท้จริง” พระเยซูได้มอบให้กับศิษย์เพื่อเป็นหนทางไปสู่ความสุขนิรันดร นักบุญทั้งหลายที่เราฉลอง ได้เดินทางด้วยความยากลำบากและไปทางแคบๆแห่ง “ความสุขแท้” เพื่อไปพบความสุขในสวรรค์ ในวันฉลองนี้ พระศาสนจักรเชิญชวนเราและท้าทายเราให้เดินอย่างดี, ไม่ใช่แค่พูดกับพูด แต่ต้องทำด้วย

ความสุขแท้จริงนี้ เป็นหนทางสำหรับชีวิตของเราคริสตชน เชิญชวนเราให้เป็นคนยากจน,เป็นผู้โศกเศร้า,ผู้ถ่อมตนและผู้หิวกระหายความยุติธรรม ทั้งหมดนี้เพื่อให้เรามีความเมตตาต่อผู้อื่น เป็นหญิง-ชายที่มีความบริสุทธิ์ในจิตใจ และเป็นผู้สร้างสันติกับผู้อื่น ในครอบครัวและในสังคมของเรา แม้ว่าจะได้รับการเบียดเบียนในเรื่องต่างๆก็ตาม ไม่มีนักบุญท่านใดที่ทำสิ่งเหล่านี้เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย หรืออำนาจหรืออยากได้รับความนิยมชมชอบ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ท่านมองไปข้างหน้าถึงรางวัลแห่งชีวิตนิรันดรซึ่งพระเจ้าจะประทานให้สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์หลังจากจบชีวิตบนโลกนี้

พี่น้องครับ วันนี้เราได้รับการเชิญให้เดินในหนทางของนักบุญ หนทางแห่งความสุขแท้ ทางที่เป็นทางแคบๆและยากลำบาก เราจำเป็นต้องมีความเชื่อและความกล้าหาญที่จะก้าวเดินไป ตัวอย่างของบรรดานักบุญทั้งหลายและคำภาวนาของท่าน ให้กำลังใจเราทุกคนและช่วยเหลือเรา น.เอากุสตินเองก็พบว่า การเจริญชีวิตด้วย “ความสุขแท้จริง” นี้ก็ยากยิ่งนัก แต่เมื่อท่านได้อ่านประวัติของนักบุญทั้งหลายแล้ว ท่านได้พูดว่า “ทำไมชาย-หญิงเหล่านี้ถึงทำสิ่งเหล่านี้ได้, ทำไมข้าพเจ้าจึงทำไม่ได้?” ทำไมจะทำไม่ได้ ความเชื่อนั่นเองที่รับประกันเราว่า ผู้ที่ได้รับเรียกจากพระเยซูเจ้าและได้พยายามเจริญชีวิตในหลัก “ความสุขแท้จริงนี้” ในวาระสุดท้ายของชีวิต เราจะได้ยินเสียงของพระบิดาเจ้าว่า “นายพูดว่า ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด”

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ทรงประทานพระพรแด่ผู้ที่ต่ำต้อย

ส.ที่ 30 เทศกาลธรรมดา ปี C
วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2007




มีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อว่า เฟดเดรริค เดอะเกรท ได้ไปเยี่ยมนักโทษในคุกและถามถึงชีวิตและความเป็นอยู่ทีละคน หลายๆ คนก็บอกพระองค์ว่า พวกเขาเป็นคนบริสุทธิ์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย , เข้าใจผิดในบางเรื่องบางตอน,และอื่นๆ ในที่สุดกษัตริย์ก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องขังซึ่งนักโทษคนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลย กษัตริย์ก็เลยสงสัยก็ถามชายคนนั้นว่า “เราคิดว่า เจ้าก็คงเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยใช่หรือไม่?” ชายคนนั้นตอบว่า “เปล่าครับ ผมไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ ผมได้ทำสิ่งที่ผิดมากมาย และพร้อมที่จะรับการลงโทษ” กษัตริย์ก็เลยรับสั่งต่อไปว่า “ทหาร, รีบปล่อยตัวคนคนนี้ ผู้บริสุทธิ์อยู่ที่นี่แล้ว” ซึ่งเหมือนดังที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “พระเจ้าทรงกดผู้ที่ยกตนขึ้นและทรงประทานพระพรแด่ผู้ที่ต่ำต้อย” (1 Peter 5:5).



พระวรสารในวันนี้ เกี่ยวข้องกับเราทุกคน ผู้ที่มีความเชื่อ 2 คน ฟารีสีและคนเก็บภาษี ทั้งคู่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน, ศาสนาเดียวกัน,และมานมัสการพระเจ้าในวัดเดียวกัน ทั้งคู่ เป็นผู้ที่มีใจร้อนรนและมาภาวนาในวัดพร้อมกัน แต่พี่น้องสังเกตอะไรหรือไม่? เมื่อมานมัสการพระเจ้าเสร็จแล้ว คนหนึ่งกลับบ้านด้วยสันติสุขในจิตใจ แต่อีกคนไม่เป็นเช่นนั้น เราทุกคนที่นี่ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชื่อเช่นเดียวกัน ต้องพยายามมองดูเรื่องนี้ให้ดี ไม่เพียงแต่เรียนรู้ถึงเคล็ดลับของการนมัสการพระเจ้า แต่มองดูว่า การนมัสการพระเจ้านี้นำทางชีวิตของเราแต่ละคน และเมื่อนมัสการเสร็จแล้วไม่ทำให้เราผิดหวังในแต่ละวันแต่ละสัปดาห์ที่เรามาวัด
ฟารีสี เป็นคนที่มีวินัยในการดำเนินชีวิต สวดภาวนาอย่างดี เป็นคนศรัทธามาก เป็นคนที่เอาจริงเอาจังในเรื่องศาสนา ที่อุทิศชีวิตทุกวันให้กับการสวดภาวนาและถือพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างดี และในความเป็นจริงที่มากกว่านั้น พวกเขาทำมากกว่าที่บทบัญญัติได้กำหนดซะด้วยซ้ำไป พวกเขาอดอาหาร 2 ครั้งต่อสัปดาห์ คือ วันจันทร์และวันพฤหัสบดี ซึ่งในกฏบัญญัติกำหนดแต่เพียงว่า ให้ประชาชนอดอาหารปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในวันชดเชยใช้โทษบาป พวกเขาบริจาคเงินรายได้ 1 ใน 10 เมื่อฟารีสีกล่าวในเรื่องเล่าวันนี้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า” (Luke 18:11-12) พวกเขาไม่ได้ล้อเล่น แต่ทำอย่างจริงจังในชีวิต




ตรงกันข้าม คนเก็บภาษี ถูกมองว่า เป็นพวกที่มีคุณธรรมต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะว่าคนพวกนี้ทำงานให้กับพวกโรมัน ซึ่งเป็นคนต่างชาติ(เก็บเงินพวกเดียวกันส่งให้คนต่างชิต) รับเงินสกปรก เงินที่ไม่ได้มาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งพวกยิวถือว่า คนพวกนี้เป็น “คนบาปสาธารณะ” ที่มีทางด่วนนำไปสู่นรก แต่สิ่งสำคัญก็คือ คนเก็บภาษีนี้รู้ตัวว่า เสียงของมนุษย์มิใช่เป็นเสียงของพระเจ้าเสมอไป พวกเขายังคงมีหวังที่จะได้รับความรอด มิใช่เพราะกฏบัญญัติของศาสนาใดใด แต่เป็นเพราะ “พระเมตตาของพระเจ้าล้วนๆ”



การมีความเชื่อในพระเจ้า มิได้ช่วยให้เราได้รับความรอด น.ยากอบ บอกว่า ปีศาจก็เชื่อในพระเจ้าและใจสั่นด้วยความกลัว (James 2:19). ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ความเชื่อที่เรามีนี้ มีผลทำให้เรามองดูชีวิตของเราและบุคคลอื่นๆ อย่างไร ความเชื่อมีผลต่อชีวิตอย่างไร? ฟารีสีเชื่อถึงพระเจ้าที่รักเฉพาะคนดีดีและรังเกียจคนไม่ดี ผู้คนปฏิบัติเหมือนกับพระเจ้าที่พวกเขาเคารพนับถือ ดังนั้น พวกฟารีสีจึงรีบเรียนรู้ที่จะรักเฉพาะคนดีดีอย่างพวกเขาเท่านั้น และมองดูอย่างหยามเหยียดต่อคนที่ไม่ดี และคนบาปอย่างพวกคนเก็บภาษี



พี่น้องครับ พระเยซูเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง เพราะพ่อคิดว่า พระองค์ไม่อยากให้เราเป็นอย่างฟารีสี เพราะ “พระเยซูเจ้าตรัสเล่าเรื่องอุปมานี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่น” ตรงกันข้าม คนเก็บภาษี ไม่วางใจในตนเองหรือสิ่งใดใดที่ตัวเขาเองได้ทำ แต่วางไว้”ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” พ่อเองเชื่อว่า ไม่มีใครดีที่สุดในโลก หรือไม่มีคนใดที่เลวจนไม่อาจทำความดีได้ คนบาปนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้า ข้อนอกและภาวนาว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” (v. 13). และนี่เองที่ทำให้ชายคนนี้ กลับบ้านด้วยสันติสุขในจิตใจกับพระเจ้า



พี่น้องครับ เราทุกคนก็มาหาพระเหมือนกันเพื่อนมัสการและสวดภาวนา เราทุกคนหวังจะกลับบ้านด้วยสันติสุขในพระเจ้า ให้เราเลียนแบบอย่างจากคนเก็บภาษีคนนั้น เพื่อจะรู้ถึงเคล็ดลับของการภาวนา, การนมัสการพระเจ้า ประการที่ 1 ไม่ควรฟังผู้อื่นหรือแม้แต่ความคิดของตนเอง ว่า พระเจ้าจะทรงโกรธเราและไม่มีทางอภัยให้กับเรา ประการที่ 2 ต้องยอมรับตนเองถึงความบกพร่องของตนเองและวางชีวิตของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งทรงพระทัยกว้างใหญ่กว่าบาปใดใด ที่สุด ให้เราสัญญากับพระเจ้าว่า เราจะไม่ดูถูกผู้อื่นซึ่งอาจเป็นคนบาปที่อาจมีข้อบกพร่อง แต่ต้องพยายามช่วยเหลือให้บุคคลเหล่านั้นได้พบหนทางกลับมาหาพระเจ้า เหมือนดังที่ คนเก็บภาษีที่ช่วยให้เราได้พบกับพระเจ้า และต้องไม่ลืมว่า “ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น’



ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

\(^_^)/ ดูรูปไปก่อนนะครับ


ดูรูปไปก่อนนะครับ ช่วงนี้ว่างน้อยมาก

วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ฉันเป็นคนใช้ไร้ประโยชน์...........

บทเทศน์ ส.27 เทศกาลธรรมดา ปี C ประจำวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2007


"Wang li"


อ่านพระวาจา ......คลิกที่นี่





ชายคนหนึ่งตกจากหน้าผา ในระหว่างที่ลอยตกลงมานั้น เขาก็คว้ากิ่งไม้ยึดเหนี่ยวไว้ได้ แต่ก็ไม่สามารถจะไต่กลับขึ้นไปได้ ถ้าตกลงไปข้างล่างก็ต้องตายแน่นอน ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาก็มองขึ้นไปบนฟ้า และตะโกนขึ้นไปว่า “มีใครอยู่บนนั้นไหมครับ?” มีเสียงหนึ่งตอบลงมาว่า “ใช่แล้ว,เราอยู่นี่ เจ้าเชื่อในเราหรือเปล่า?” ชายหนุ่มก็ตอบไปว่า “ลูกเชื่อพระองค์,เชื่อพระองค์จริงๆ โปรดช่วยลูกด้วยเถิด” เสียงนั้นก็ตอบว่า “เอาหล่ะ ถ้าเจ้าเชื่อในเรา, เจ้าก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดใด เราจะช่วยเจ้า เอาหล่ะปล่อยมือจากกิ่งไม้ได้แล้ว” ชายหนุ่มนั้นก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตะโกนกลับขึ้นไปอีกครั้งว่า “ข้างบนนั้นหน่ะ,มีคนอื่นอีกไหม?”
พี่น้องครับ ชายคนนี้เป็นผู้มีความเชื่อหรือเปล่า? แน่นอนมีแน่ เขาเชื่อว่า พระเจ้าทรงมีอยู่ เขาเชื่อในพลังของการภาวนา เขาเชื่อว่าพระเจ้าสามารถช่วยเขาจากอันตรายของชีวิตได้ ดังนั้นเขาจึงภาวนาต่อพระเจ้า แต่ถ้าเขาเชื่อในพระเจ้าในขณะที่กำลังปีนอยู่นั้น ทำไมเขาจึงไม่ปฏิบัติตามที่พระเจ้าทรงบอก?? ทำไมเขาไม่ปล่อยมือจากกิ่งไม้ที่เขายึดไว้? พระเจ้าช่วยเขาไม่ได้แล้วหรือ? เราได้ฟังเรื่องนี้ก็อาจจะรู้สึกขำขำ เพราะว่าบางครั้งในชีวิตเราก็เป็นเหมือนชายคนนี้แหละ เราเชื่อในพระเจ้า แต่เมื่อสิ่งต่างๆ ที่เราได้ทำ สิ่งที่เรายึดถืออยู่ในชีวิตไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ เราก็ยึดสิ่งนั้นไว้ในมือของเราเองและมองหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างอื่นสำหรับตัวของเราเอง เราเชื่อ แต่เรายังเป็นคนที่ยังมีความเชื่อน้อย


บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าก็เช่นกัน, ก็เป็นคนที่มีความเชื่อน้อย พวกเขาเชื่อในพระเยซูและก็ติดตามพระองค์ แต่เมื่อเขาเห็นทหารมาจับพระเยซูเจ้าไป ขณะที่อยู่ในสวนเกทเสมานี พวกเขาก็ละทิ้งพระเยซูเจ้าไป พวกเขาเป็นคนมีความเชื่อน้อย

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ พวกเขาจึงมาหาพระเยซูเจ้าและบอกกับพระองค์ว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” คนที่ไม่รู้ และไม่รู้ตัวว่า ตัวเองนั้นกำลังไม่รู้ เขาเรียกว่า คนไม่ฉลาด(คนโง่) แต่คนที่ไม่รู้ แต่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ เขาเรียกว่า คนฉลาด พวกสาวกรู้ว่า ความเชื่อของพวกเขานั้นยังไม่เพียงพอ พวกเขาจึงพยายามที่จะเพิ่มพูนความเชื่อของพวกเขาให้มากขึ้น อะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ความเชื่อนั้นไปเพิ่มพูนขึ้นใน 1 ปีที่ผ่านมา เราเข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจกี่ครั้ง, เราสัมมนาพระคัมภีร์หรือศึกษาพระคัมภีร์กี่ครั้ง? เราอ่านหนังสือไปกี่เล่ม? สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเครื่องหมายที่บอกว่า ความเชื่อของเราเพิ่มพูนขึ้นขนาดไหน

และเพื่อที่จะตอบกับศิษย์ของพระองค์ ในการเพิ่มพูนความเชื่อ พระเยซูเล่าเรื่องของคนใช้ที่กลับมาจากท้องนาและมาเตรียมอาหารให้เจ้านายของเขาและคอยเฝ้าดูในขณะที่เจ้านายรับประทานอาหาร พี่น้องลองคิดดูว่า ทำไมเจ้านายจึงไม่ให้คนรับใช้ที่เพิ่งกลับจากทุ่งนา น่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานทำไร่ ตากแดดร้อน เหนื่อย หิว ไปทำตามความต้องการของตัวเอง คือ ไปหาอาหารกินเองและพักผ่อน ดูเหมือนเจ้านายใจร้าย แต่สิ่งที่พ่อเชื่อว่า พระเยซูต้องการบอกกับเราก็คือ ถ้าเราแต่ละคน เติบโต เป็นผู้ใหญ่ทางความเชื่อแล้ว เราควรทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยเป็นอันดับแรกสุดในชีวิตของเราตลอดเวลา ถ้าเรามีความเชื่อแล้ว เราจะม่าบ่นว่า ว่า เราได้ทำงานเพื่อพระเจ้ามาตลอดทั้งวันแล้ว ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้วและกลายเป็นว่า พระเจ้าจะต้องมาตั้งใจฟังดูความต้องการของเราหรือ? ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เราต้องลืมตัวเองและทำงานเพื่อพระเจ้า และรู้ว่า พระประสงค์ของพระเจ้าจะมาถึงเรา เมื่อไรอย่างไรนั้น ตามแต่พระองค์จะเห็นสมควร (วันฝังศพ คุณพ่อคมกฤส อานามนารถ " เราคงต้องยอมรับในสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาต" )

ความเชื่อที่ช่วยให้เพียงแต่รอดพ้น มิใช่เป็นความเชื่อในพระเจ้า ความเชื่อหมายถึง ไม่ว่าฉันจะรอดหรือไม่รอดพ้น ฉันจะยึดความเชื่อของฉันไว้กับความรักของพระเจ้าที่มีต่อตัวฉัน นี่คือข้อผิดพลาดของชายหนุ่มคนนั้นที่คิดถึงพระเจ้า เฉพาะให้พระองค์ช่วยให้รอดพ้น แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์จะช่วยให้รอดและมีความรักต่อเขา พระเจ้ารักอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อเราทุกคน คริสตังค์หลายคนเฝ้ามองหาอัศจรรย์ในชีวิต รอคอยและหวังให้พระเจ้าทำอัศจรรย์ในชีวิต แต่สิ่งที่พระวาจาได้สอนเราในวันนี้ ความเชื่อที่แท้จริง ที่เติบโตแล้วคือ ความเชื่อที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากว่า พระเจ้าตอบสนองต่อความต้องการของเรามากน้อยเท่าไร ทันทีทันใด แต่ อยู่ที่ น้ำใจของเราที่จะรับใช้พระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการคิดราคาค่าจ้างใดใด ขอให้วันนี้เราร่วมกับบรรดาศิษย์ของพระองค์และร้องขอให้พระองค์ “โปรดเพิ่มพูนความเชื่อให้พวกเราด้วยเถิด”

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550

ลาซารัส......คนที่ถูกมองข้ามไป

บทเทศน์ ส.26 เทศกาลธรรมดา ปี C ประจำวันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2007
โดย “เศษดิน”

พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า
ชายคนหนึ่งถูกนำไปอยู่ต่อหน้าบังลังค์ตัดสินของพระเจ้า ผู้พิพากษาก็เปิดหนังสือแห่งชีวิต เปิดไปจนหน้าสุดท้ายก็หารายชื่อชายคนนั้นไม่เจอ!!!! ผู้พิพากษาก็ประกาศว่า ที่ของชายคนนี้คือนรกเท่านั้น ชายคนนั้นก็ประท้วงว่า “แต่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ,ผมไม่ได้ทำอะไรเลย!” ผู้พิพากษาตอบว่า “ถูกต้องครับ, นี่แหละที่ทำให้ท่านต้องไปอยู่ในนรก!!! ”


อุปมาเรื่อง เศรษฐีกับลาซารัส ทำให้เราผู้ฟังอาจสงสัยว่า ทำไมชายผู้ร่ำรวยจึงต้องตกนรก ??? พระวรสารไม่ได้บอกว่า เศรษฐีมีความละโมบในทรัพย์สินเงินทองหรือ? , พระวรสารไม่ได้บอกว่า เศรษฐีทำสิ่งใดผิดต่อลาซารัสผู้ยากจนหรือ??, ตรงกันข้าม เราเองก็ไม่ได้ยินว่า ลาซารัสได้ร้องขอและถูกเศรษฐีปฏิเสธหรือ? และที่สุดเราก็ไม่ได้ยินว่า เศรษฐีนั้นได้กระทำอาชญากรรมหรือว่าทำความชั่วร้ายสิ่งใดเลย สิ่งที่เราพวกเราได้ยินทั้งหมดก็คือ เขากินอาหารอย่างไร,แต่งตัวอย่างไร คือ ทำอย่างที่คนร่ำรวยคนอื่นๆ ขาก็ทำกัน อย่างที่เขาเองก็มีสิทธิจะต้องทำ แล้วทำไมเศรษฐีจึงต้องถูกส่งไปนรกด้วย???

นี่คือคำถามสำคัญ
บ่อยครั้งที่เราคิดว่า บาปคือการทำผิดในด้าน ความคิด ทางวาจา และการกระทำ แต่เราได้ลืมอย่างที่ 4 ไปและสำคัญมากด้วยก็คือ การละเลย นั่นคือสิ่งที่เราสวดเวลาสวดบท “ข้าพเจ้าขอสารภาพบาป” ว่าดังนี้ “ว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปมากมาย ด้วยกาย วาจา ใจและด้วยการละเลย” ถูกต้องนะครับพี่น้องที่เราได้ลืมประการที่ สี่ นั่นคือ การละเลย นี่เองที่ทำให้เราอาจไปอยู่ในนรก เหมือนกับเศรษฐีในวันนี้

ลาซารัสผู้ยากจน “นั่งอยู่ที่ประตูบ้าน” ของเศรษฐี แต่เศรษฐีไม่เคยแม้แต่จะเหลียวมอง ”ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ข้างนอก, ก็มิใช่ธุระอะไรของผม” ผมดูแลเอาใจใส่ในธุระของผมเอง คนอื่นๆ ก็ควรสนใจในธุระของพวกเขาเองด้วย ต่อมา เศรษฐีนั่นอาจโทรเรียกตำรวจและรายงานว่า มีคนแปลกหน้านั่งอยู่ที่ประตูหน้าบ้านของเขา, ในเวลาเดียวกัน สุนัขก็มาเลียแผลของลาซารัส แล้วลาซารัสก็ตาย เทศบาลก็มาเก็บศพลาซารัสและนำไปฝังไว้ในหลุมที่ไม่มีชื่อ แล้วเศรษฐีก็อาจจะกลับเข้าบ้านและนั่งดื่มกาแฟไป พี่น้องครับ เศรษฐีไม่ได้ทำอะไรผิดต่อลาซารัสเลย ไม่ได้ทำเลย!!!! แต่เศรษฐีพลาดในการทำความดี พลาดในการยื่นมือออกไปช่วยเหลือและแบ่งปันสิ่งเล็กๆ น้อยๆให้กับลาซารัส ให้กับผู้อื่น บาปของเศรษฐีคือ การละเลย และเป็นเหตุให้เขาต้องไปนรก

พี่น้องครับ อีกปัญหาหนึ่งสำหรับวันนี้ก็คือ ทำไมลาซารัสจึงได้ไปสวรรค์ ในพระวรสารไม่ได้บอกว่า ลาซารัสเป็นผู้ชอบธรรม,เป็นคนของพระเจ้า,หรือได้ทำความดีอะไรสักหนึ่งอย่าง, แต่นั่นก็คือ เรื่องอุปมานี้มีความหมายมาก เพราะเป็นเรื่องอุปมาที่พระเยซูเจ้าเล่าแล้วมีชื่อปรากฏอยู่ในเรื่องที่เล่าด้วย

ชื่อ “ลาซารัส” เป็นภาษาฮีบรูมาจากคำว่า เอลีอาซาร์ ซึ่งหมายความว่า “พระเจ้าคือพระผู้ทรงช่วยเหลือ” ดังนั้นชื่อของลาซารัส จึงมิใช่เป็นแค่ชื่อของชายผู้ยากจน, แต่เป็นชายยากจนที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า นี่จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่บอกได้ว่า ท่านอยู่ในสวนสวรรค์พร้อมกับอับราฮัม ก็เพราะความเชื่อและความใจในพระเจ้า ท่านได้เข้าสวรรค์มิใช่เพราะท่านยากจนแต่เพราะ “ท่านเป็นผู้เชื่อและวางใจในพระเจ้า” นั่นเอง

บางคนที่อ่านพระวาจาในตอนนี้ก็สรุปเอาง่ายๆ ว่า “คนร่ำรวยจะกลายเป็นคนยากจนและคนยากจนจะกลับกลายเป็นคนร่ำรวย” แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญของเรื่องเล่านี้ เพราะว่า คนร่ำรวย,เศรษฐีที่ใช้ความร่ำรวยของตนเองเพื่อรับใช้พระเจ้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็จะได้รับการอวยพรในชีวิตหน้าด้วยเช่นเดียวกัน และคนยากจนซึ่งมีชีวิตในโลกนี้ มีแต่ความขมขื่น,ทุกข์ระทมใจ แต่กลับปฏิเสธไม่ยอมเชื่อและไม่วางใจในพระเจ้าเฉกเช่นเดียวกับลาซารัสในวันนี้ ก็จะได้รับความทุกข์ทรมานในชีวิตหน้าด้วยเช่นเดียวกัน

พี่น้องครับ ข่าวดีสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ถ้าพี่น้องรู้สึกเหมือนกับลาซารัส,มีความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน และความเจ็บปวดในชีวิตในเรื่องต่างๆ สังคมหลงลืมพี่น้องไป และถูกลืมแม้แต่จากบุคคลที่พระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้

ขอให้พี่น้อง จงดำเนินชีวิตของพี่น้อง ด้วยความเชื่อและวางใจในพระเจ้าต่อไป จงรู้ไว้เถิดว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีสำหรับวิญญาณของเราในวาระสุดท้าย และถ้าพี่น้องรู้สึกว่า ตัวเองได้รับพระพรของพระมากมาย มีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต มีความสุขอย่างล้นเหลือ หรือว่า พอจะมีอยู่บ้าง จงเปิดประตูบ้านของท่านและมองดู บางที ตรงหน้าประตูบ้านของพี่น้อง อาจพบลาซารัสกำลังนั่งอยู่ที่ประตูบ้านของพี่น้องแต่เราไม่ได้สนใจต่อลาซารัสเลย

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องครับ

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550

แสงสว่าง...ส่องโลก.




Light of The world........




พระวาจาในวันนี้ พระเยซูเจ้าเพิ่งจะบอกกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า พวกเขาเป็นแสงสว่างส่องโลก แล้วพระองค์จึงบอกกับพวกเขาต่อไปว่า “ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่เขาย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้”

เราได้ยินคำว่า แสงสว่างมามากมายในชีวิตของเรา และเราก็ต้องได้ยินคำคำนี้บ่อยๆ อีกต่อไป ขอให้เรารู้ว่า นี่คือ “เครื่องหมาย” หรือ “สัญลักษณ์” คำที่บอกว่า เราคือแสงสว่าง พระเยซูทรงเป็นแสงสว่างนั้น เป็นแสงสว่างแห่งพระวาจาและกิจการของพระองค์ เราทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้โลกของเราดีขึ้น
พระเจ้ามอบแสงสว่างให้กับเราทุกคน, มอบพรสวรรค์และความสามารถต่างๆ เพื่อทำให้โลกเราน่าอยู่

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550

ส.25 เทศกาลธรรมดา ปี C_2


ส.25 เทศกาลธรรมดา ปี C_2

ฑูตสวรรค์องค์หนึ่ง ปรากฏตัวในที่ประชุมของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และบอกกับคณบดีว่า “เรามาเพื่อมอบรางวัลแห่งการอุทิศตนทำงานรับใช้สังคมของเจ้า เราจะให้เจ้าเลือกพรใดพรหนึ่งจากสามประการนี้ 1. ทรัพย์สมบัติ 2. ชื่อเสียงโด่งดัง 3. ปรีชาญาณ ความรอบรู้
โดยไม่ลังเล คณบดีท่านนั้นก็ร้องขอ “ข้าฯอยากได้ ปรีชาญาณความรอบรู้” “ท่านจงได้รับทันที!!!!” ฑูตสวรรค์กล่าวและหายตัวไป ทุกคนก็มารุมถามท่านคณบดี ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในวงกลมมีแสงแห่งปรีชาญาณ ที่สุดก็มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมาว่า “ท่านช่วยพูดอะไรสักนิดหนึ่งซิ” หัวหน้าคณบดีคนนั้นก็กล่าวว่า “ข้าฯคิดว่า ข้าน่าจะขอเงินมากกว่า”
พี่น้องครับ ปรีชาญาณ หรือ ความรอบรู้ ของผู้รับใช้ในวันนี้ แสดงให้เราเห็นว่า บางคนก็ใช้ความรอบรู้ในการทำสิ่งดีดี,สิ่งที่มีคุณค่าความหมายได้ แต่บางคน,บางกลุ่ม,ผู้ก่อการร้าย ก็ใช้ความฉลาดรอบรู้นี้ ในการสร้างความแตกแยก,ความทุกข์ทรมานให้กับผู้อื่นในสังคม
พี่น้องครับ พระวาจาวันนี้ท้าทายเราว่า “ให้เราเป็นคนฉลาดในการแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า ไม่เหมือนกับ คนที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจที่แสวงหาการเห็นแก่ตัว,พวกพ้อง, และชื่อเสียงเกียรติยศ เพียงเท่านั้น”
พระเยซูเจ้าทรงยกตัวอย่าง ผู้จัดการที่ฉลาดในการดูแลกิจการของเจ้านาย เพื่อสอนเราให้ฉลาดในการรับใช้พระเจ้า เราทุกคนถูกท้าทายให้เลียนแบบอย่างความฉลาดของผู้จัดการคนนี้ มิใช่เลียนแบบอย่างความไม่ซื่อสัตย์ของ ผู้จัดการคนนั้น “นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้น ว่าเขาทำอย่างเฉลียวฉลาด” (Luke 16:8).
พี่น้องครับ ทำไมเจ้านายที่กำลังตัดสินใจจะไล่ผู้จัดการคนนี้ออกไป บัดนี้ได้เปลี่ยนใจมาชมเชยผู้จัดการคนนี้? บางทีผู้จัดการคนนี้ อาจทำงานของเจ้านายอย่างขอไปที, ทำตามหน้าที่และทำอย่างไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่และขาดจินตนาการในการทำงานเลย ไม่มีเลย!!! ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจของเจ้านายจึงย่อยยับ เจ้านายจึงตัดสินใจจะไล่ผู้จัดการนี้ออกไป “เศรษฐีจึงเรียกผู้จัดการมาถามว่า “เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป” (verse 2).
ผู้จัดการนี้จึงเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายของการตกงาน นี่คือสถานการณ์ที่เป็นเรื่องจริงจังมากสำหรับเขา ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย จึงพูดกับตัวเองว่า ”ฉันจะทำอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว จะไปขอทานก็อายเขา (verse 3). เขารู้ว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก และคิดถึงวิธีการที่จะช่วยเขาให้รอดพ้นและมีอนาคตที่จะอยู่ต่อไป เจ้านายจึงนึกชมเพราะว่า ถ้าผู้จัดการนี้คิดอย่างชาญฉลาดตั้งแต่ต้น เขาคงไม่ต้องมาประสบกับความล้มเหลวในชีวิตอย่างแน่นอน
พี่น้องครับ เรื่องอุปมานี้สอนเราให้ “ควรเป็นผู้จัดการที่ฉลาด” เราทุกคนถูกเรียกให้เป็นผู้จัดการที่ฉลาด พระเจ้าได้มอบความวางใจทั้งหมดให้กับเราทุกคนในอันที่จะดูแลสิ่งสร้างของพระองค์ในฐานะ ผู้จัดการของพระองค์ เช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าเอง ก็ทรงไว้วางใจมอบพระอาณาจักรของพระเจ้า,พระอาณาจักรแห่งความรัก,ความยุติธรรมและสันติ ไว้ในมือของพวกเราในฐานะผู้จัดการของพระองค์
สันติภาพของโลกและความเป็นหนึ่งเดียวกัน การฟื้นฟูสิ่งต่างๆ ในพระเยซูคริสตเจ้า เป็นเรื่อง เป็นธุระของพวกเราทุกคน ทั้งในส่วนรวมและเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลด้วย ซึ่งพระเยซูเจ้าเรียกว่าเป็นพระอาณาจักรของพระเจ้า เป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ทั้งผู้ที่รับศีลบวชและผู้ที่ไม่ได้บวช ทุกคนมีหน้าที่นี้ด้วยเช่นกัน จะต้องช่วยกันนำพระอาณาจักรของพระเจ้าให้กับผู้อื่นโดยการเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน
และแน่นอนว่า เราจำเป็นที่จะมีแหล่งแห่งพระพรที่จะทำภารกิจนี้ เรามีความเชื่อแท้ เรามีพละกำลังของพระจิตเจ้าในจิตใจของเรา, และเราทุกคนมีเวลา ไม่ช้าก็เร็ว เราทุกคนก็จะถูกเรียกเพื่อไปพบพระเจ้า และพระองค์ก็จะมองดูว่า เราได้ใช้พระพรต่างๆ นี้อย่างไร
พี่น้องครับ แม้ว่าในโลกซึ่งดูเหมือนว่า เราเจริญชีวิตอย่างยากลำบากและตกอยู่ในอันตราย คล้ายๆ กับผู้จัดการในเรื่องนี้ ผู้จัดการรู้สึกว่า ไม่มีใครช่วยเขาได้และรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต และต้องทำบางอย่าง ทำไมเราจึงต้องหลอกตนเองว่า เรากำลังปลอดภัย ในขณะที่ชีวิตฝ่ายวิญญาณของบางคนอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย เราอาจคิดว่า ไม่มีอะไร, ทำไปได้ ไม่เป็นไร ฯลฯ เราคงไม่ต้องคอยเวลาอีกต่อไป เพราะเวลาที่เราแต่ละคนจะแสดงความฉลาด คือ เวลานี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย คือ การที่เราพยายามดำเนินชีวิตด้วยความฉลาดเพื่อแสวงพระอาณาจักรของพระเจ้า
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่ท่าน

อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี C


อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี C


สวัสดีพี่น้องที่รักทุกคน วันนี้เราอยู่ห่างไกลจากสมัยของพระเยซูเจ้ามาก ถึง 2000 ปี แต่วันนี้เราได้ฟังเรื่องที่พระเยซูเจ้าเล่าเปรียบเทียบ และรู้ได้เลยว่า เรื่องวันนี้ทันสมัยมาก ก็คือเรื่อง “เงิน”

พี่น้องที่รักครับ จุดมุ่งหมายของพระวรสารในวันนี้ ก็เพื่อที่จะเตือนเรามิให้แสวงหาเงินทอง หรือให้เงินทองเป็นเป้าหมายของชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว พี่น้องครับ ปัจจุบันเงินมีบทบาทกับชีวิตของเรามาก ไม่ว่าเราจะมีมากหรือมีน้อย พี่น้องคงทราบดีกว่าพ่อแน่ ๆ ในโลกที่เงินสามารถบันดาลทุกอย่างได้ ทุกที่ที่มีเงิน สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น นั่นคือความจริงในปัจจุบันที่เราไม่อาจปฏิเสธได้

พี่น้องครับ เงินคือสิ่งที่เราต้องใช้ แต่ถ้าเราปล่อยให้เงินเป็นนายของเรา มันก็จะทำลายเรา และกลายเป็นพระเจ้าของเราแทน (บางคนอาจจะบอกว่า ยอมให้มันทำลายดีกว่า เพื่อจะได้มีเงินมาก ๆ ) แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องไม่ลืมก็คือ เมื่อเราไปถึงจุดสุดท้ายของชีวิต สิ่งที่จะถูกนับก็คือ ความดีที่เราทำ ไม่ใช่นับว่า ใครมีอะไรมากกว่ากัน โดยเฉพาะในเรื่องของทรัพย์สมบัติ

พี่น้องที่รักครับ เมื่อวานผมได้ไปประธานในการฉลองวัดแห่งหนึ่ง ชื่อว่า วัด น.มีคาแอล ซึ่งเป็นวัดน้อยแห่งหนึ่งขึ้นสังกัดกับอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ พี่น้องคงจะงง วัดนี้อยู่ตรงไหนของแผนที่ประเทศไทย ก็เป็นวัดเล็ก ๆ จะเรียกว่าวัดก็ไม่เชิง ต้องเรียกว่าบ้านน่าจะเหมาะกว่า ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำน้อย ในจังหวัดอ่างทอง

สิ่งที่ทำให้ผมพิศวงใจก็คือ ปกติเมื่อการฉลองวัด ก็จะมีการประกาศประชาสัมพันธ์ เชิญชวน แจ้งว่า ห้องอาหาร,จอดรถ,ห้องน้ำ ฯลฯ ในขณะที่ลำโพงนั้นก็หันหน้าไปทางที่ที่แก้บาปด้วย คนไปแก้บาปก็ต้องตะโกนสู้กัน พระสงฆ์ก็ตะโกนสอน บอกกิจใช้โทษบาปกันไป ก็จะเป็นประมาณนี้
แต่สำหรับที่นี่ วัดน้อยอ่างทอง ไม่มีอย่างที่ว่าเลย ผมได้พบความสงบ อย่างที่ไม่มีการฉลองวัดแห่งไหน ๆ ในสังฆมณฑลของเราจะทำได้ คือ ไม่มีเสียงประชาสัมพันธ์ใดใดทั้งสิ้น ทุกคนรู้กันเองว่า อาหารทานที่ไหน, ห้องน้ำไปทางไหน , ที่แก้บาปก็คือ บนวัด ใครมาถึงก่อนก็นั่งสวดไปเอง ไม่มีการก่อสวด ฯลฯ

พ่อรู้สึกขอบคุณ คุณพ่อที่จัดการฉลองวัดนี้ พ่อรู้สึกว่า สัตบุรุษและพระสงฆ์ที่มาร่วมในมิสซาเมื่อวานคงมีความรู้สึกที่ไม่ต่างจากพ่อ และพ่อเชื่อว่า พระเจ้าต้องการและในความสงบแบบนี้ เราจะพบพระเจ้าได้ง่ายกว่า และยิ่งถ้าเรามีความสงบในใจของเรา เราก็จะยิ่งพบพระเจ้าได้ง่ายขึ้นแน่ ๆ
พี่น้องครับ มีคำกล่าวที่ว่า “เงินเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวง” พี่น้องเห็นด้วยกับประโยคนี้หรือไม่ครับ?? สำหรับพ่อ นี่คือความจริง แต่ยังมีช่องว่างก็คือ ขึ้นอยู่ว่า เราใช้เงินอย่างไร เมื่อเงินเข้าครอบงำชีวิตของเรา เราก็จะพลาดเป้าหมายชีวิตง่าย ๆ พ่อขอยกตัวอย่างของเด็ก ๆ นักเรียน ถ้าชีวิตพ่อแม่มีแต่เงิน ทำอะไรก็ใช้เงิน ไม่ได้ให้ลูกใช้ความพยายาม ใช้ความสามารถที่ถูกต้อง ใช้ความอดทนในการเก็บหอมรอบริบ อยากได้เงินก็แบมือขอพ่อแม่อย่างเดียว ผลก็คือ ครอบครัวก็มีปัญหา และมาแสดงออกที่โรงเรียน

พระวาจาของพระในวันนี้ นำเราให้ถามตนเองว่า เรากำลังเลือกพระเจ้าหรือเลือกเงินตราเป็นที่หนึ่งในชีวิต ? ถ้าเราได้ใช้สิ่งของของโลก ที่เราเรียกว่าเงินนี้ เป็นทางนำเราไปสู่เป้าหมายในชีวิตหน้า พี่น้องก็มาถูกทางแล้ว

พี่น้องครับ ประสบการณ์สอนเราว่า สิ่งสร้างใดใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่า เราจะพบความสุขและความปลอดภัยในชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ เพราะจุดหมายปลายทางของเราคือ สวรรค์ พระอาณาจักรที่พระเจ้าทรงคอยเราอยู่ เมื่อเรามาสู่จุดหมายปลายทางของชีวิต เราก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย นอกจากความดีงามในชีวิตที่เราได้ทำสั่งสมมาตลอดชีวิต

พี่น้องครับ พ่อขอจบการแบ่งปันในวันนี้ด้วยประโยคที่ว่า “ เงินเป็นอุปกรณ์ที่สามารถซื้อทุกสิ่งได้ ยกเว้น

ความสุข และซื้อตั๋วไปทุกที่ในโลกนี้ได้ ยกเว้นตั๋วไปสวรรค์”
ขอพระเจ้าประทานพระพรสำหรับพี่น้องทุก ๆ คน ให้มีกำลังดำเนินชีวิตอย่างดี แม้เราอาจจะต้องใช้เงินทองและสิ่งของของโลกนี้ แต่ก็ขอให้เราใช้มันเพื่อนำเราไปสู่บ้านแท้ ให้พระเป็นเบอร์หนึ่งในชีวิตของเรา
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่านครับ


วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550

มัทธิว - อัครสาวก ผู้นิพนธ์พระวรสาร



น.มัทธิว - อัครสาวก ผู้นิพนธ์พระวรสาร



วันนี้พระศาสนจักรทำการฉลองนักบุญมัทธิว หนึ่งในอัครสาวกทั้งสิบสอง มัทธิวเป็นผู้เขียนพระวรสารที่ปรากฏเป็นฉบับแรกของพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่
นักวิชาการเชื่อว่า มารโกเป็นผู้เขียนพระวรสารนี้ด้วย พระคัมภีร์บอกว่า มัทธิวเป็นลูกชายของอัลเฟอัสและถูกเรียกให้มาเป็นศิษย์ของพระเยซูในขณะที่ท่านกำลังนั่งเก็บเงินภาษีที่เมืองคาร์เปอร์นาอุม ท่านยังถูกเรียกว่า เป็นพวกเลวีในพระวรสารของมารโกและลูกาอีกด้วย
มัทธิวเขียนพระวรสารเป็นภาษาอาราเมอิก ในปี ค.ศ 42 ท่านได้ออกเดินทางไปต่างแดน และเชื่อว่าท่านได้เริ่มเขียนพระวรสาร ไม่มีใครรู้ชีวิตของท่านมากนัก และแน่นอนว่า ไม่มีใครทราบว่า ท่านตายในลักษณะตามธรรมชาติ หรือได้รับความทุกข์ทรมานในฐานะมรณสักขี
ขอท่านนักบุญมัทธิว วิงวอนเพื่อเราด้วยเทอญ

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550

A BEAUTIFUL ANALOGY!


A BEAUTIFUL ANALOGY!
From forward mail : K Prakairat...


A man went to a barbershop to have his hair cut and his beard trimmed. As the barber began to work, they began to have a good conversation.

They talked about so many things and various subjects.. When they eventually touched on the subject of God, the barber said:
"I don't believe that God exists."
"Why do you say that?" asked the customer. "Well, you just have to go out in the street to realize that God doesn't exist.

Tell me, if God exists, would there be so many sick people?
Would there be abandoned children?
If God existed, there would be neither suffering nor pain.
I can't imagine a loving God who would allow all of these things."
The customer thought for a moment, but didn't respond because he didn't want to start an argument.The barber finished his job and the customer leftthe shop.
Just after he left the barbershop, he saw a man in the street with long, stringy, dirty hair and an untrimmed beard.
He looked dirty and unkempt. The customer turned back and entered the barber shop again and he said to the barber:
"You know what? Barbers do not exist."
"How can you say that?" asked the surprised barber.
"I am here, and I am a barber. And I just worked on you!"
"No!" the customer exclaimed.
"Barbers don't existbecause if they did, there would be no people with dirty long hair and untrimmed beards, like that man outside."
"Ah, but barbers DO exist! " answered the barber.
"What happens, is, people do not come to me."
"Exactly!"- affirmed the customer.
"That's the point! God, too, DOES exist! What happens, is, people don't go to Him and do not look for Him. That's why there's so much pain and suffering in the world."

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2550

He wash away our tears......



He wash away our tears......


Click อ่านพระวาจาประจำ วันอังคารที่ 18 กันยายน ค.ศ.2007


พระวรสารในวันนี้ เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่เราได้เห็นถึงพระเมตตาของพระเยซูเจ้า ที่ทรงตอบสนองกับความต้องการของเพื่อนมนุษย์ พระวรสารวันนี้จึงเป็นภาพของความโศกเศร้าของหญิงหม้ายที่ต้องสูญเสียบุตรชาย (หม้าย = ไม่มีสามี แล้วยังมาเสียลูกชาย ถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสของผู้หญิงในสมัยพระเยซู) แม่ซึ่งร้องให้ไปตลอดทางที่จะส่งลูกไปฝัง พระเยซูเจ้าซึ่งทรงมองเห็นมาโดยตลอด พระองค์ทรง “หยุด” เพื่อมองดู และเรียกให้หนุ่มคนนั้นลุกขึ้น และมอบหนุ่มคนนั้นคืนให้กับแม่ของเขา
หลายครั้งที่ชีวิตของเรา เราแบกรับความทุกลำบากไว้ในหัวใจของเรา ซึ่งทำให้เรารู้สึกหนัก, หนัก, แล้วก็หนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่า เราจะทำอะไรกับมัน? หรือจะทำอย่างไรกับมัน

เหมือนอย่างทุกครั้งที่เราไปแก้บาป หลายครั้งเราก็รู้สึกได้ว่า เราไม่รู้จะทำอย่างไรกับบาปประการนั้น จะจัดการมันอย่างไร? บางครั้งก็อาจรู้สึกได้ว่า พระเจ้าจะทรงอภัยบาปให้กับเราไหม?

ขอให้เรานึกย้อนไปถึงพระวรสารเมื่อวานนี้ที่ทำให้เรารู้ว่า เป็นพระเยซูเองที่ทรง ยกเอาแอกแบกหนักของเราออกไป ถ้า เรายอมจำนนต่อพระองค์ และยอมให้พระองค์ทรงทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเรา

ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่



from : http://www.franciscanretreats.net/Howard/Howard.htm


Your Cross

ดูแล้วเรียงรูปภาพเองนะครับ
















24 คำสอนของแม่


"24 คำสอนของแม่"

1. อย่าโกรธ ทำใจให้กว้าง
2. เมื่อเราลำบากแค่ไหน ก็อย่าฟุ้งซ่าน ให้นิ่งแล้วค่อยๆคิด
3. ชีวิต ถ้าไม่สมหวัง ก็ไม่ใช่เราคนเดียวที่เป็น คนอื่นๆที่ไม่สมหวังเยอะแยะ
4. เลี้ยงลูกน้อง ไม่ใช่ให้ฟุ้งเฟ้อ แต่อย่าให้อาหารเลว
5. ทำงานอะไรก็ได้ แต่อย่าขายศักดิ์ศรีของตนเอง
6. ต้องรู้จักให้
7. อย่าทำตัวโทรม แต่ให้สวยอยู่ในความพอดี
8. เห็นผู้ใหญ่ต้องนอบน้อมและไหว้ทุกครั้ง อย่ามือแข็ง (ข้อนี้จะโดนหนัก หากเผลอไผลไปบ้างเนื้อจะเขียวโดยเร็ว เพราะแม่จะหยิกทันที)
9. ถ้าหาเงินได้มามากๆ ก็ให้เก็บบางส่วน ใช้บางส่วน ทำบุญบางส่วน
10. อย่าดูถูกความคิดใคร แม้แต่เด็ก บางครั้งเราอาจจะได้ความคิดดีๆก็ได้
11. อย่าลืมผู้มีพระคุณ ต้องรู้จักกัตัญญู
12. ถ้าเราจน เราต้องอดทน จงมุมานะ บากบั่น จำเอาไว้ว่า ไม่มีใครจุดไฟส่งท้องว่า เรากินอะไร ในท้องเราไม่อะไรไม่มีใครรู้ไม่ต้องเสียใจ อดทนและพยายามให้ถึงที่สุด แล้วจะประสบความสำเร็จสักวัน
13. ดาบดีเอาไว้ในฝัก ถ้าเรามีดีอยู่ในตัว อย่าเที่ยวอวดตัวว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นๆ แต่ถ้าเราโดนดูถูกเหยียดหยาม ถึงเวลาจริงๆจึงจะพูดได้ว่า ตัวเองมีดีอะไร เวลาดึงดาบออกมาทั้งที ก็ต้องแวววาวและคมกริบเสมอ
14. ดี-ชั่ว อยู่ที่ตัวเอง ใครจะประณามหยามเหยียดก็ช่าง ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่าไปใส่ใจให้เขาพูดจนปากฉีกถึงหูไปเลย
15. อย่าบ้าเงิน ถ้าเรามีเงินมากๆ ก็อย่าบ้ากับมัน อย่าให้เงินมาอยู่เหนือเรา อย่าเปลี่ยนตัวเอง ต้องทำตัวเหมือนเดิม อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง หรือดีวก่าคนอื่นๆ ให้เจียมตัว อ่อนน้อมถ่อมตนไว้เสมอ อย่าให้เงินมันมาใหญ่กว่าใจเรา
16. เมื่อมีเรื่องอะไรที่สำคัญ ต้องปรึกษาพ่อก่อน ต้องถามพ่อทุกครั้ง ถ้าพ่ออนุญาต แม่ก็อนุญาตด้วย
17. การทำอาหารต้องเข้าใจทำ และใส่ใจทำอาหาร ด้วยทำด้วยใจถึงจะอร่อย “แกงเนื้อให้ใส่น้ำเยอะๆ แกงผักให้ใส่น้ำน้อยๆ”
18. ถ้าเราทำธุรกิจผิดพลาด ก็ไม่เป็นไร คิดใหม่ ทำใหม่ได้เสมอ อย่าโทษตัวเอง และต่อไปต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้ เงินหายากนะลูก
19. จงซื่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น
20. ลูกค้าคือผู้มีพระคุณ เขาเอาเงินมาให้เรา ต้องพูดกับเขาดีดีทุกครั้ง
21. ปันคนอื่นฉลาดบ้าง ให้เคารพความคิดคนอื่นด้วย เขาอาจจะเห็นต่างกับเรา
22. ควรกล้าในสิ่งที่ควรกล้า ให้กล้าทำในสิ่งที่ดี
23. ความใน อย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า
24. ทำดีอยู่เป็นนิจ ความดีจะปกป้องตัวเรา

10 สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต


10 สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

1.สิ่งร่ำรวยที่สุดของชีวิต คือ สุขภาพที่แข็งแรง
2. บาปกรรมใหญ่หลวงที่สุดของชีวิต คือ ไม่กตัญญู

3.ความโง่เขลาที่สุดของชีวิต คือ ติดยาเสพติด
4.ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต คือ การทะนงตัว
5.ของกำนัลที่มีค่าที่สุดของชีวิต คือ การให้อภัย
6.ความชั่วช้าต่ำต้อยที่สุดของชีวิต คือ การข่มเหงผู้อื่น
7.ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของชีวิต คือ การเล่นการพนัน
8.การล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต คือ การสิ้นหวัง
9.ความสุขมากที่สุดของชีวิต คือ การช่วยเหลือผู้อื่น
10.การยอมรับและนับถือได้มากที่สุดของชีวิต
คือ ความก้าวหน้า

(ที่มา : สมาคมการค้าผู้ผลิตและผู้จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์การพิมพ์ไทย)

สวรรค์มิใช่เรื่องอัตโนมัติ

สวรรค์มิใช่เรื่องอัตโนมัติ

· เมื่อมิชันนารีกลุ่มแรกเดินทางมาถึง ปาปัวนิวกีนี ก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ชนเผ่าโบราณนี้มีความเชื่อในเรื่องของสวรรค์อยู่แล้ว ทุกคนจะต้องไปที่นั่นหลังจากตายจากโลกนี้ไป
· แต่สำหรับเรื่องราวระหว่างสวรรค์ของชนเผ่ากับสวรรค์ที่พระเยซูพูดถึงนั้นมีความแตกต่างกันมากนัก พระเยซูเตือนเสมอว่า สวรรค์นั้นมิใช่เรื่องอัตโนมัติที่ใครก็เข้าไปได้ แต่เป็นสำหรับผู้ที่ทำสิ่งที่ดีเท่านั้น
· พระเยซูเจ้าตรัสใน มธ 7.14 ว่า “แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย”
· ถ้าหากภาพของสวรรค์เป็นเหมือน ประตู เราก็อาจจินตนาการว่า แต่ละคนก็ต้องมีตั๋วเพื่อจะได้เข้าผ่านประตูนั้นได้
· ตั๋วแรกในชีวิตของเราก็คือ ศีลล้างบาป แต่ตั๋วนั้นก็อาจจะเก่าได้และอาจหมดอายุได้เช่นกัน และก็อาจใช้ไม่ได้แล้ว
· อย่างที่เรารู้กันว่า ตั๋วเครื่องบินหรือตั๋วสำหรับเล่นเกมส์นั้นมีวันหมดอายุกำกับไว้เสมอ เพื่อบอกกับเราว่า หลังจากเวลานั้นหรือช่วงนั้นช่วงนี้ ตั๋วนี้ก็จะหมดอายุและใช้ไม่ได้
· สำหรับตั๋วไปสวรรค์ก็น่าจะคล้ายๆ กัน เราต้องทำให้ตัวเรามั่นใจว่า ตั๋วนั้นยังใช้ได้อยู่เสมอ และถ้าเราไม่ทำตามเงื่อนไขของการไปสวรรค์ ซึ่งมากับชีวิตคริสตชน ตั๋วนั้นก็คงใช้ไม่ได้แน่ๆ

· สิ่งหนึ่งที่เป็นกฏพื้นฐานง่ายๆ ก็คือ เราคงต้องอยู่ใน “สถานะพระหรรษทาน” นั่นหมายถึง การเข้าไปแก้บาป การรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การนำเอาจิตตารมณ์พระวรสารไปปฏิบัติในชีวิตของเราทุกวัน ทั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจได้ว่า ตั๋วของเราที่จะเข้าสวรรค์นั้น ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2550

หายไปนาน เพิ่งนึกได้........


สวัสดีครับ พี่น้องทุกท่าน

หายไปนานมาก (3-4 เดือน) ภารกิจ + เวลา ไม่ลงตัว

ตอนนี้ลงตัวมากขึ้น เลยนึกได้ว่า ตัวเองยังมี บล๊อก (Blog) อยู่ ก็ต้องทำให้เรียบร้อยต่อไปนะครับ

ขอพระเจ้าอำนวยพระพรแด่ท่าน

คพ.พรชัย วิลาลัย

นายร้อยโรมัน ผู้มีความเชื่อในพระเยซู

17 กันยายน 2007

“พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากไปเลย ข้าพเจ้า ไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเอื้อมที่จะออกมาพบกับพระองค์ แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียว ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค”

นี่คือคำพูดของนายร้อยโรมันที่ขอให้พระเยซูรักษาทาสของเขา เป็นคำภาวนาที่แสดงออกถึงความสุภาพและการยอมจำนนต่อพระองค์ นายร้อยและทาสคนนั้นยอมจำนนต่อพระเยซู ยอมรับว่าตนเองปราศจากพลังและขอให้พระองค์ทรงรักษาทาสของเขาด้วย นี่คือหนทางของพระเยซูที่ทรงสอนเราในวันนี้
"the conversion Steps." ขั้นตอนที่สำคัญประการหนึ่งของชีวิตคริสตชนนั่นก็คือ “ขั้นตอนการกลับใจ” เมื่อต้องการเปลี่ยนแปลง, เมื่อต้องการความช่วยเหลือ, รักษาสิ่งต่างๆ ในชีวิต, เราวอนขอพระเจ้า และบอกพระองค์ว่า เราไม่เหลืออะไร,เราไม่มีพลังเพียงพอในการทำสิ่งต่างๆ เราต้องการให้พระเจ้าช่วยเหลือเรา

สิ่งสำคัญก็คือ ขอให้เราสุภาพพอที่จะน้อมรับพระเจ้า และยอมจำนนต่อพระองค์ในชีวิตของเรา และเมื่อเราสวดบทแสดงความทุกข์ ให้เรายอมรับกับพระองค์ด้วยความสุภาพและถ่อมตนของเรา เพื่อพึ่งพาพละกำลังของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา

แปลจาก : http://www.franciscanretreats.net/Howard/Howard.htm

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2550

สมโภชพระตรีเอกภาพ - วัดนักบุญเปโตร สามพราน

พี่น้องที่รัก
เมื่อเรามาวัด หรือสวดภาวนา เราเริ่มต้นด้วยการทำสำคัญมหากางเขน “เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต” เป็นเครื่องเตือนใจเราว่า ทั้งสามพระบุคคลรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
พระเยซูเจ้าทรงตรัสบ่อยๆ ครั้งถึงพระบิดา และตลอดชีวิตของพระเยซู พระองค์ตรัสเสมอว่า พระเจ้านั้นคือ พระบิดาของพระองค์ และพระองค์ตรัสเช่นเดียวกันว่า พระองค์คือพระบุตรแต่องค์เดียวของพระบิดา พระเยซูอธิบายว่า ภารกิจที่พระองค์กระทำนั้นคือ ภารกิจของพระบิดา มาจากน้ำพระทัยของพระองค์ และที่สุด พระเยซูเจ้าทรงแนะนำพระจิตเจ้าให้เราได้รู้จัก ที่พระองค์บอกว่า เป็นพระบุคคลที่แตกต่างจากพระองค์และพระบิดา งานของพระจิตคือ การบันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆ ในพระศาสนจักร ให้งานต่างๆ เป็นไปได้ด้วยดี และนำทุกคนให้เข้ามาสู่ความรักของพระเจ้า
วันนี้พระเยซูเจ้าทรงเผยแสดงเรื่อง พระตรีเอกภาพให้กับเรา ไม่เพียงแต่ต้องการให้เรารู้จักพระเจ้าเท่านั้น แต่รู้ความจริงเกี่ยวกับตัวของเราเองด้วย นั่นคือ * เพื่อให้เรารู้ว่า จุดกำเนิดของชีวิตเราคืออะไร? *เป้าหมายของชีวิตเราคืออะไร? และเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร? เรามีอยู่ โลกมีอยู่ นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา
พระองค์เป็นพระเจ้าที่ทรงมองดูเราเหมือนกับลูกๆ ของพระองค์และอยู่ใกล้ชิดกับเรา ทุกๆ วันจึงเป็นวันแห่งความรักต่อ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ซึ่งเราต้องทำให้พระตรีเอกภาพนี้เป็นส่วนสำคัญ เป็นภาคปฏิบัติของเราในชีวิตจริงของเรา
ความรักเป็นกำลังทำให้เกิด พระตรีเอกภาพ ดังนั้นเมื่อเรารักกัน เราก็มีส่วนร่วมในความรักซึ่งเป็นความรักที่มาจากพระเจ้านั่นเอง
พี่น้องครับ การฉลองในวันนี้ เป็นโอกาสที่เราจะได้รู้ว่า พระเจ้าทรงรักเราและทรงดำเนินความรักนี้ต่อไปเพื่อเราทุกคน การฉลองนี้เรียกร้องเราให้ตอบสนองต่อความรักของพระเจ้า ความรักที่ผ่านทางพระเยซูเจ้าและพระจิตเจ้า และเชิญชวนเราให้มองดูชีวิตของเราทุกๆ วันเพื่อเราจะได้มีส่วนร่วมในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าพระบิดา พระบุตรและพระจิต
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ - จาก คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์



พระวาจาเพื่อชีวิตคริสตชน








  • สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์

    ข่าวดี ลูกา 24:46-53
    (46)พระองค์ตรัสว่า ‘มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องรับทนทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม (47)จะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม (48)ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้
    (49)‘บัดนี้ เรากำลังจะส่งพระผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้มาเหนือท่านทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่านจะได้รับพระอานุภาพจากเบื้องบนปกคลุมไว้’
    (50)พระองค์ทรงนำบรรดาศิษย์ออกไปใกล้หมู่บ้านเบธานี ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพระพร (51)และขณะที่ทรงอวยพระพรนั้น พระองค์ทรงแยกไปจากเขา และทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์ (52)บรรดาศิษย์กราบนมัสการพระองค์แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่ง (53)เขาอยู่ในพระวิหารตลอดเวลา ถวายพระพรแด่พระเจ้า

    ***********************

    มีบางคน แม้ในหมู่อัครสาวกเอง ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเขาคิดว่าการแสดงพระองค์แต่ละครั้งไม่ใช่พระวรกายของพระองค์จริง แต่เป็นเพียงผีของผู้ตายปรากฏมา หรือไม่ก็เป็นเพียงความเพ้อฝันของศิษย์บางคนที่มีจิตใจฟั่นเฟือนอันเนื่องมาจากความผิดหวัง ตกใจกลัว หรือเศร้าเสียใจสุดขีดกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
    พระองค์จึงแสดงพระองค์แก่พวกเขาตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจทำไม เพราะเหตุใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริง ๆ จงคลำตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้พวกเขาดูพระหัตถ์และพระบาท อีกทั้งทรงรับปลาย่างมาเสวยต่อหน้าพวกเขา (ลก 24:36-43)
    พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อพิสูจน์ว่า พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจริง เพราะทรงมีพระวรกายที่จับต้องได้ และสามารถเสวยอาหารได้ด้วย !
    นอกจากพิสูจน์ด้วยการกระทำแล้ว พระองค์ยังอ้างพระคัมภีร์ที่เราได้รับฟังในวันนี้ เพื่อสนับสนุนสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอีกด้วย
    พระองค์ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องรับทนทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม” (ลก 24:46)
    พระองค์กำลังอ้างพระคัมภีร์เพื่อชี้ให้เห็นว่า “กางเขนเป็นสิ่งจำเป็น” !
    เพราะกางเขนคือสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวถึงและเฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว กางเขนคือสิ่งที่อยู่ในแผนการของพระเจ้าตลอดมา หาใช่เกิดจากการวางแผนผิดพลาดจนทำให้พระเยซูเจ้าต้องจนตรอกและถูกตรึงตายบนไม้กางเขนแต่ประการใดไม่
    และหลังจากความตายบนไม้กางเขนผ่านพ้นไปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในแผนการของพระเจ้าและมีกล่าวถึงในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกันก็คือ “การกลับคืนพระชนมชีพ” !
    ทั้งหมดนี้ย่อมนำมาสู่ความจริงที่ว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายโดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น !!!
    ------------------
    เมื่อทรงทำให้บรรดาอัครสาวกแน่ใจใน “การกลับคืนพระชนมชีพ” จนสามารถเป็นประจักษ์พยานยืนยันได้แล้ว สิ่งที่ตามติดมาอย่าง “เร่งด่วน” และ “ทันที” ก็คือคำสั่งที่ว่า
    “จะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาป” (ลก 24:47)
    นี่คือ “ภารกิจ” สุดท้ายที่ทรงมอบหมายก่อนที่พระองค์จะเสด็จจากโลกนี้ไป !
    พระองค์ทรงมอบหมายให้เราออกไปหาทุกคน ทุกชาติ ทั่วโลก
    เรียกร้องให้พวกเขากลับใจ
    และหยิบยื่นการอภัยบาปให้แก่พวกเขา
    นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักรและของเราทุกคน !
    วันคืนแห่งความเศร้าโศกเสียใจเพราะการสิ้นพระชนม์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว บัดนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดีอันเนื่องมาจากการกลับคืนพระชนมชีพ
    เรามีหน้าที่นำความชื่นชมยินดีนี้ไปสู่มนุษย์ทุกคน !
    ------------------
    แม้ภารกิจจะยิ่งใหญ่และเร่งด่วน แต่คุ้มค่าเสมอที่จะรอคอย “ความช่วยเหลือจากพระเจ้า” ด้วยทรงตรัสว่า “บัดนี้ เรากำลังจะส่งพระผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้มาเหนือท่านทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่านจะได้รับพระอานุภาพจากเบื้องบนปกคลุมไว้” (ลก 24:49)
    เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่มีภารกิจใดที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากเราโดยปราศจากความช่วยเหลือจากพระองค์ !
    ธุรกิจที่ขาดการเตรียมตัวอย่างดีย่อมเสี่ยงต่อความล้มเหลวฉันใด ภารกิจที่ขาดการเตรียมตัวอย่างดีก็ย่อมเสี่ยงต่อความล้มเหลวฉันนั้น
    พระเยซูเจ้าจึงตรัสสั่งให้บรรดาอัครสาวก “คอยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม” เพื่อเตรียมตัวรับ “พระอานุภาพจากเบื้องบน” ซึ่งได้แก่พระจิตเจ้า และพวกเขาได้เตรียมตัวอย่างดีที่สุดด้วยการ “อยู่ในพระวิหารตลอดเวลา ถวายพระพรแด่พระเจ้า” (ลก 24:53)
    การอยู่กับพระเจ้า คือการเตรียมตัวที่ดีที่สุด !
    น่าเสียดายที่บางคนมองว่า การปล่อยวางภารกิจและหน้าที่การงานต่าง ๆ แล้วใช้เวลา อยู่กับพระเจ้า เป็นการเสียเวลา
    อันที่จริง การอยู่กับพระเจ้าไม่ใช่การเสียเวลา แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อรับความช่วยเหลือ ความสว่าง และพละกำลังจากพระองค์ ซึ่งจะช่วยให้เราทำหน้าที่และบรรลุภารกิจได้อย่างสมบูรณ์ชนิดที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า “เราจะทำได้” !
    ------------------
    ที่สุด นาทีสุดท้ายของพระองค์ในโลกนี้ก็มาถึงด้วยความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อทรงนำบรรดาศิษย์ออกไปใกล้หมู่บ้านเบธานี ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพระพร และขณะที่ทรงอวยพระพรนั้น “พระองค์ทรงแยกไปจากเขา และทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์” (ลก 24:50-51)
    ไม่มีผู้ใดเห็น และไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระองค์เสด็จสู่สวรรค์อย่างไร ?
    ทุกวันนี้ การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระองค์ยังคงเป็นธรรมล้ำลึก เพราะเหตุการณ์นี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าคำพูดตามประสามนุษย์จะอธิบายหรือพรรณนาได้
    แต่การเสด็จขึ้นสวรรค์อย่างไรนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราคือ “พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์จริง”
    บางคนอาจสงสัยว่า “ทำไมพระองค์ไม่ประทับอยู่กับเรามนุษย์ในโลกนี้ตลอดไป ?”
    จริงอยู่พระองค์สามารถทำเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน แต่อะไรจะเกิดขึ้น ?
    หากพระองค์ประทับอยู่ในโลกนี้แล้วแสดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์ต่อไปเรื่อย ๆ ความตื่นเต้นยินดีจะไม่กลายเป็นความเคยชิน แล้วเป็นความเย็นเฉย และในที่สุดความเชื่อของเราจะไม่พลอยพังทลายไปดอกหรือ ?
    จึงจำเป็นต้องมีเส้นแบ่งระหว่าง “พระเยซูเจ้าบนโลกนี้” กับ “พระคริสตเจ้าบนสวรรค์” !
    นี่คือเหตุผลตามประสามนุษย์ที่พระองค์ “ถูกนำขึ้นสู่สวรรค์” !
    อย่างไรก็ตาม การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า ที่เราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้ มีความหมายสำคัญยิ่งสำหรับเราทุกคน เหตุว่า
    1. เป็นการสิ้นสุดของพระเยซูเจ้าบนโลกนี้ วันเวลาที่บรรดาอัครสาวกเชื่อและแอบอิงอยู่กับพระเยซูเจ้าที่ทรงมีเลือดและเนื้อเหมือนเราได้สิ้นสุดลงแล้ว
    นับจากนี้ไป เราเชื่อและอิงแอบแนบแน่นอยู่กับพระองค์ซึ่งไม่ขึ้นกับ “เวลา” และ “สถานที่” อีกต่อไป
    2. เป็นการเริ่มต้นความชื่นชมยินดี วันเวลาแห่งความหวาดกลัว การหลบซ่อน และฝันสลายได้ผ่านพ้นไปแล้ว
    เพราะหลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ “บรรดาศิษย์กราบนมัสการพระองค์แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่ง” (ลก 24:52)
    ความ “ยินดียิ่ง” นี้เกิดจากความตระหนักว่า นับจากนี้ไป ไม่มีอะไรภายใต้โลกหล้านี้อีกแล้วที่สามารถ “แยกเราไปจากพระองค์” ผู้ทรงเป็นเจ้านายที่รักได้ ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือผู้มีอำนาจปกครอง ... ไม่มีสรรพสิ่งใด ๆ จะพรากเราได้จากความรักของพระเจ้า ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (รม 8:38-39)
    3. เป็นหลักประกันแห่งความมั่นใจ พระเยซูเจ้าที่บรรดาอัครสาวกเคยติดสอยห้อยตามและรับใช้ บัดนี้ พระองค์ทรงประทับอยู่บนสวรรค์
    ช่างก่อให้เกิดความมั่นใจเพียงใดที่เรามี “เจ้านาย” ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้เท่านั้น แต่ยังทรงประทับอยู่บนสวรรค์อีกด้วย
    เจ้านายที่เฝ้ารอเราอยู่บนสวรรค์ก็คือ พระเยซูเจ้าองค์เดียวกันกับที่ทรงรักและทรงเมตตาต่อมวลมนุษย์เมื่อสองพันปีก่อน !
    ความตายจึงไม่ใช่การเดินทางไปสู่โลกแห่งความมืดมิดและน่ากลัวอีกต่อไป
    แต่เป็นการเดินทางไปหา “พระองค์”.....
    หากเราเลือกเดินตามหนทางของพระองค์ตั้งแต่วันนี้ !!

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ข้อคิดสะกิดใจ จากพระวาจา ส.6 เทศกาลปัสกา


วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2007 , ส.6 เทศกาลปัสกา
วัดนักบุญเปโตร สามพราน

ในประเทศทางแถบแอฟริกา ผู้หญิงที่ถวายตัวให้กับพระเจ้านโดยการเป็นซิสเตอร์นั้น ก็จะแต่งตัวคล้ายๆ กับการเข้าพิธีแต่งงานและร้องเพลงรักให้กับพระเยซู
หลายปีต่อมา ซิสเตอร์สาวๆ คนหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตที่ไม่ราบเรียบก็ได้มีโอกาสกลับไปอยู่ในอาราม ซิสเตอร์สาวก็ถามคุณแม่อธิการว่า “คุณแม่ จริงหรือเปล่า ที่เขาว่าเราได้แต่งงานกับพระเยซูเจ้าแล้ว” “เป็นความจริงแล้วลูกที่รัก ลูกถามทำไมหรือ?” “คือ ตั้งแต่หนูบวชมา 5 ปี หนูไม่มีความรู้สึกรักใครเลย”
ซิสเตอร์คนนี้อาจจะไม่รู้สึกรักอะไรเลย เพราะยังคงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูเจ้า ว่าเป็นเหมือนคนที่แต่งงานจริงๆแค่นั้น
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดรักเรา” พระองค์หมายถึงบรรดาศิษย์ของพระองค์ สำหรับพระเยซู “ผู้ใดรักเรา” คืออีกความหมายหนึ่งของคำว่า “ศิษย์ของเรา” , “ผู้ที่เชื่อในเรา” , “คริสตชน” ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตชน กับพระคริสตเจ้า เป็นแก่นแท้ของความรัก นั่นคือสิ่งที่พระเยซูตรัสว่า “ เราไม่เรียกท่านเป็นคนใช้อีกต่อไป ...แต่เรียกท่านเป็นเพื่อน” พวกเราหลายๆ คนอาจรู้สึกดีที่เรานับพระเยซูเป็นเจ้านายมากกว่าที่จะให้พระองค์เป็นเพื่อน การเป็นเจ้านายนั้นมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน แต่การเป็นเพื่อนนั้นไม่มีขีดจำกัด
สิ่งหนึ่งที่พวกเราทุกคนรู้เกี่ยวกับความรักก็คือ เมื่อเวลารักกัน จะต้องการอยู่กับคนที่เรารัก แต่พระเยซูไม่ได้อยู่ให้เราเห็น เราไม่สามารถมองเห็นตัวเป็นๆ ของพระเยซูได้ จับต้องไม่ได้ แล้วเราจะรักพระเยซูที่มองไม่เห็นได้อย่างไร?? นี่คือสิ่งที่พระวาจาในสัปดาห์นี้บอกกับเรา
พระเยซูทรงเตรียมบรรดาศิษย์ของพระองค์ (ผู้ที่รักพระองค์) บอกกับพวกเขาว่า เมื่อพระองค์จะจากโลกนี้ไป พวกเขาจะรักษาความรักที่มีต่อพระองค์ไว้ได้อย่างไร รักษาความรักนี้แม้มองไม่เห็นพระองค์อีกต่อไป
“ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา พระบิดาของเรา จะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จมาพร้อมกับเรามาหาเขา จะ ทรงพำนักอยู่กับเขา (John 14:23).
พี่น้องครับ ถ้าพี่น้องรักพระเยซู 1.ปฏิบัติตามพระวาจา 2.สิ่งนี้ทำให้พระเจ้าทรงรักเรา และ 3.พระเยซูและพระบิดาจะมาอยู่กับเรา
เมื่อเราเข้าใจ 3 ข้อนี้ ช่องว่างระหว่างการที่เรามองไม่เห็นพระเยซูนั้นก็หายไปทันที เพราะถูกเติมเต็มด้วยความเชื่อที่แท้จริง ความเชื่อที่มองไม่เห็นแต่ชัดเจนที่สุดเมื่อเราจากโลกนี้ไป ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ รักษาพระวาจาและปฏิบัติตามพระวาจานั้นอย่างดีในทุกวันเวลาของชีวิตเรา
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

เจ้านายที่แท้จริงของเรา


พระเยซูเจ้าทรงเป็นเจ้านายของเรา
เรื่องราวการกลับใจของ น.ฟรังซิส ซึ่งมีความร้อนรนในการ อัศวิน เป็นอย่างมาก ท่านถูกซุ่มทำร้าย ถูกจับขังคุก และป่วย

หลังจากที่ท่านพักฟื้นที่เมืองอัสซีซี พ่อของท่านก็มาประกันตัว ก็มีเพื่อนๆ อัศวิน ก็ชวนท่านไปอีกเมืองหนึ่งซึ่งกำลังมีการต่อสู้กันอยู่ ฟรังซิสก็อยากไป และคิดว่า ไปครั้งนี้ต้องคุ้มแน่ๆ ได้เป็นอัศวินแน่ๆๆ ต้องพยายามอีกครั้งหนึ่ง

ท่านก็ไปกับเพื่อน คืนแรก ฟรังซิสก็รู้สึกไม่สบายและตัดสินใจนอนพัก ขณะที่ท่านหลับ ท่านได้ยินเสียงหนึ่ง ถามท่านว่า สองอย่างนี้อะไรดีกว่ากัน ?? ติดตามเจ้านาย หรือติดตามคนใช้?? ฟรังซิสตอบว่า “แน่นอนที่สุด, เราต้องติดตามเจ้านายของเรา. แล้วเสียงนั้นก็ถามฟรังซิสว่า แล้วท่านติดตามคนใช้ทำไม? .

ฟรังซิส จำได้ว่า เสียงนั้นคือเสียงของพระคริสตเจ้า ท่านจึงพูดตอบไปว่า “ พระเจ้าข้า พระองค์ต้องการให้ข้าฯ ทำสิ่งใด?” นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ฟรังซิสได้ทำ


ท่านไม่ได้บอกว่า ให้พระองค์ทำสิ่งใดให้กับท่าน แต่ท่านบอกว่า ท่านจะสามารถทำสิ่งใดเพื่อพระองค์ได้บ้าง?


หลังจากสนทนากันแล้ว เสียงนั้นก็บอกให้ ฟรังซิสกลับไปที่เมืองอัสซีซี และพระองค์จะบอกเองว่า จะให้ทำสิ่งใด


หลายครั้ง เราก็อาจติดตาม “คนรับใช้” โดยที่เรามิได้ติดตาม “เจ้านาย” ดังนั้นให้เรายอมจำนนต่อพระเยซูเจ้าและติดตามเจ้านายและมองดูว่า พระองค์ต้องการให้ฉันทำสิ่งใด
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่ท่าน

สวัสดีทุกท่าน


เป็นไงกันบ้างครับ คงจะสบายดีทุกคนนะครับ พ่อก็ย้ายมาได้หลายวันแล้ว ก็คิดถึงบรรยากาศเก่าๆๆ วันเดิมๆ ที่วัดพระมารดาฯ


แม้ว่า จะผ่านมา แต่ก็ยังมีสิ่งต่างๆ ที่ต้องปรับกันต่อไป


พ่อยังไม่ได้เริ่มงานในที่แห่งใหม่ เท่าใดนัก แต่จะเริ่มวันจันทร์ที่ 14 พ.ค.นี้ เชื่อว่า ทุกคนคงมีความสุขดี


เอาไว้พ่อมีอะไร พ่อจะส่งข่าวคราวให้รับทราบ หรืออาจจะบอกเล่าเรื่องราวดีดี ผ่านบล๊อกแห่งนี้ครับ


ขอพระเจ้าอำนวยพระพรแด่ท่าน


คพ.พรชัย วิลาลัย

สันติสุขแบบพระเยซูเจ้า

"Peace I leave with you; my peace I give to you. Not as the world gives do I give it to you. Do not let your hearts be troubled or afraid."

We have said many times before in these homilies, quoting St. Thomas Aquinas, that peace is the tranquility of order. Everything is in its proper place. There is no chaos or disturbance. Jesus tells us in the Gospel selection for today that he is the only real source of this peace.How do we arrive at this true peace? I know only one answer to that question: by surrendering to the Lord, by putting him in control of my life, by letting go and letting God. This is well stated in the 3rd Step of the 12 Steps: We made a decision to turn our will and our lives over to the care of God as we understood Him. The word decision comes from the Latin word, decidere, and means to cut off, to cut away.

In other words, in order to surrender to God we must cut away,cut out, what is standing in the way, blocking my way, from turning my will and life over to God. I must cut away my pride, my over-confidence in myself.

The truth of the matter is that I can't be in control of my life, I can't be in charge, and arrive at the peace I desire.Jesus, help me to make the decision to surrender my life to you. It means letting go with both hands and falling into your hands. It is hard to let go when I know I will fall. Jesus, help me!


God Bless you.

มาตรฐานของพระเยซู

มาตรฐานของพระเยซู
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราก็ไม่สามารถที่จะทำแบบที่พระเยซูบอกได้อย่างสมบูรณ์ แต่เราสามารถพยายามให้ใกล้เคียงมากที่สุด เท่าที่เราจะสามารถทำได้
ความรักที่เรามีต่อผู้อื่น บางครั้งก็เจ็บปวดและยากลำบาก เพราะบางคนก็ดูเหมือนว่า ไม่ต้องการความรัก สิ่งสำคัญสำหรับเราก็คือ รักษาความรักไว้ รักษาคำสอนของพระเยซูไว้ และพระองค์จะทรงช่วยเราให้สามารถทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เอง