วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550

ส.25 เทศกาลธรรมดา ปี C_2


ส.25 เทศกาลธรรมดา ปี C_2

ฑูตสวรรค์องค์หนึ่ง ปรากฏตัวในที่ประชุมของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และบอกกับคณบดีว่า “เรามาเพื่อมอบรางวัลแห่งการอุทิศตนทำงานรับใช้สังคมของเจ้า เราจะให้เจ้าเลือกพรใดพรหนึ่งจากสามประการนี้ 1. ทรัพย์สมบัติ 2. ชื่อเสียงโด่งดัง 3. ปรีชาญาณ ความรอบรู้
โดยไม่ลังเล คณบดีท่านนั้นก็ร้องขอ “ข้าฯอยากได้ ปรีชาญาณความรอบรู้” “ท่านจงได้รับทันที!!!!” ฑูตสวรรค์กล่าวและหายตัวไป ทุกคนก็มารุมถามท่านคณบดี ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในวงกลมมีแสงแห่งปรีชาญาณ ที่สุดก็มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมาว่า “ท่านช่วยพูดอะไรสักนิดหนึ่งซิ” หัวหน้าคณบดีคนนั้นก็กล่าวว่า “ข้าฯคิดว่า ข้าน่าจะขอเงินมากกว่า”
พี่น้องครับ ปรีชาญาณ หรือ ความรอบรู้ ของผู้รับใช้ในวันนี้ แสดงให้เราเห็นว่า บางคนก็ใช้ความรอบรู้ในการทำสิ่งดีดี,สิ่งที่มีคุณค่าความหมายได้ แต่บางคน,บางกลุ่ม,ผู้ก่อการร้าย ก็ใช้ความฉลาดรอบรู้นี้ ในการสร้างความแตกแยก,ความทุกข์ทรมานให้กับผู้อื่นในสังคม
พี่น้องครับ พระวาจาวันนี้ท้าทายเราว่า “ให้เราเป็นคนฉลาดในการแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า ไม่เหมือนกับ คนที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจที่แสวงหาการเห็นแก่ตัว,พวกพ้อง, และชื่อเสียงเกียรติยศ เพียงเท่านั้น”
พระเยซูเจ้าทรงยกตัวอย่าง ผู้จัดการที่ฉลาดในการดูแลกิจการของเจ้านาย เพื่อสอนเราให้ฉลาดในการรับใช้พระเจ้า เราทุกคนถูกท้าทายให้เลียนแบบอย่างความฉลาดของผู้จัดการคนนี้ มิใช่เลียนแบบอย่างความไม่ซื่อสัตย์ของ ผู้จัดการคนนั้น “นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้น ว่าเขาทำอย่างเฉลียวฉลาด” (Luke 16:8).
พี่น้องครับ ทำไมเจ้านายที่กำลังตัดสินใจจะไล่ผู้จัดการคนนี้ออกไป บัดนี้ได้เปลี่ยนใจมาชมเชยผู้จัดการคนนี้? บางทีผู้จัดการคนนี้ อาจทำงานของเจ้านายอย่างขอไปที, ทำตามหน้าที่และทำอย่างไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่และขาดจินตนาการในการทำงานเลย ไม่มีเลย!!! ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจของเจ้านายจึงย่อยยับ เจ้านายจึงตัดสินใจจะไล่ผู้จัดการนี้ออกไป “เศรษฐีจึงเรียกผู้จัดการมาถามว่า “เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป” (verse 2).
ผู้จัดการนี้จึงเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายของการตกงาน นี่คือสถานการณ์ที่เป็นเรื่องจริงจังมากสำหรับเขา ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย จึงพูดกับตัวเองว่า ”ฉันจะทำอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว จะไปขอทานก็อายเขา (verse 3). เขารู้ว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก และคิดถึงวิธีการที่จะช่วยเขาให้รอดพ้นและมีอนาคตที่จะอยู่ต่อไป เจ้านายจึงนึกชมเพราะว่า ถ้าผู้จัดการนี้คิดอย่างชาญฉลาดตั้งแต่ต้น เขาคงไม่ต้องมาประสบกับความล้มเหลวในชีวิตอย่างแน่นอน
พี่น้องครับ เรื่องอุปมานี้สอนเราให้ “ควรเป็นผู้จัดการที่ฉลาด” เราทุกคนถูกเรียกให้เป็นผู้จัดการที่ฉลาด พระเจ้าได้มอบความวางใจทั้งหมดให้กับเราทุกคนในอันที่จะดูแลสิ่งสร้างของพระองค์ในฐานะ ผู้จัดการของพระองค์ เช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าเอง ก็ทรงไว้วางใจมอบพระอาณาจักรของพระเจ้า,พระอาณาจักรแห่งความรัก,ความยุติธรรมและสันติ ไว้ในมือของพวกเราในฐานะผู้จัดการของพระองค์
สันติภาพของโลกและความเป็นหนึ่งเดียวกัน การฟื้นฟูสิ่งต่างๆ ในพระเยซูคริสตเจ้า เป็นเรื่อง เป็นธุระของพวกเราทุกคน ทั้งในส่วนรวมและเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลด้วย ซึ่งพระเยซูเจ้าเรียกว่าเป็นพระอาณาจักรของพระเจ้า เป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ทั้งผู้ที่รับศีลบวชและผู้ที่ไม่ได้บวช ทุกคนมีหน้าที่นี้ด้วยเช่นกัน จะต้องช่วยกันนำพระอาณาจักรของพระเจ้าให้กับผู้อื่นโดยการเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน
และแน่นอนว่า เราจำเป็นที่จะมีแหล่งแห่งพระพรที่จะทำภารกิจนี้ เรามีความเชื่อแท้ เรามีพละกำลังของพระจิตเจ้าในจิตใจของเรา, และเราทุกคนมีเวลา ไม่ช้าก็เร็ว เราทุกคนก็จะถูกเรียกเพื่อไปพบพระเจ้า และพระองค์ก็จะมองดูว่า เราได้ใช้พระพรต่างๆ นี้อย่างไร
พี่น้องครับ แม้ว่าในโลกซึ่งดูเหมือนว่า เราเจริญชีวิตอย่างยากลำบากและตกอยู่ในอันตราย คล้ายๆ กับผู้จัดการในเรื่องนี้ ผู้จัดการรู้สึกว่า ไม่มีใครช่วยเขาได้และรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต และต้องทำบางอย่าง ทำไมเราจึงต้องหลอกตนเองว่า เรากำลังปลอดภัย ในขณะที่ชีวิตฝ่ายวิญญาณของบางคนอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย เราอาจคิดว่า ไม่มีอะไร, ทำไปได้ ไม่เป็นไร ฯลฯ เราคงไม่ต้องคอยเวลาอีกต่อไป เพราะเวลาที่เราแต่ละคนจะแสดงความฉลาด คือ เวลานี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย คือ การที่เราพยายามดำเนินชีวิตด้วยความฉลาดเพื่อแสวงพระอาณาจักรของพระเจ้า
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่ท่าน

ไม่มีความคิดเห็น: