วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สมโภชพระคริสตสมภพ 2008


บทเทศน์วันคริสตมาส[1]


พี่น้องที่รัก ในวันคริสตมาส สิ่งที่เราทุกคนให้ความสนใจก็คือ การบังเกิดของพระเยซูเจ้าในคอกสัตว์ที่เมืองเบธเลแฮม เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั่วโลกก็ระลึกถึงเหตุการณ์นี้อยู่ ดวงดาวที่นำพญาสามองค์ไป ไม่ได้หยุดที่พระราชวัง แต่มาหยุดอยู่ที่คอกสัตว์

พี่น้องรู้สึกแปลกใจบ้างหรือไม่ว่า ทำไมพระเจ้าจึงได้เลือกที่จะเกิดในคอกสัตว์ พระเจ้ามาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยอะไรใครได้และอยู่กับพ่อแม่ที่ยากจน ห่างไกลจากบ้านเกิด และสุดท้ายต้องอพยพหนีไปประเทศอียิปต์ พระองค์เลือกเกิดในที่ที่เงียบเหงา,ไม่มีแสงไฟสว่างไสว ห่างไกลจากพระราชวังและความร่ำรวยใดใด สิ่งที่สะท้อนในเรื่องนี้คือ พระบุตรพระเจ้าได้เปลี่ยนมุมมองของโลกในเรื่อง ชื่อเสียงและความสำเร็จ

คนกลุ่มแรกที่มีส่วนในการบังเกิดของพระเยซูก็คือ คนเลี้ยงสัตว์, บรรดาสัตว์ต่างๆ ที่ล้อมรอบพระองค์ในค่ำคืนนั้น (ไม่มีชื่อเสียง+ไม่มีความสำเร็จใดใด)

พี่น้องครับ สิ่งต่างๆ เหล่านี้รับประกันกับเราได้เลยว่า พระคริสตเจ้าเป็นของคนธรรมดาๆ อย่างเราๆ พระองค์ทรงเลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกับเรา อยู่ข้างคนที่อาจรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอและถูกเอารัดเอาเปรียบในสังคม

พี่น้องครับ การฉลองในวันนี้เป็นมากกว่าการฉลองที่เราระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 2000 ปีที่แล้ว เพราะมันเตือนเราว่า พระเจ้ารักเรามากๆๆๆ พระองค์จึงได้ส่งพระบุตรมาอยู่ท่ามกลางเราเพื่อช่วยเรา เพื่ออภัยบาปของเราและบอกเราถึงหนทางกลับไปหาพระบิดา

พระเยซูเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้เรามนุษย์ผู้อ่อนแอได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า ลงมาหาเราในสภาพของทารกตัวน้อยๆ และทำให้เรารู้สึกถึง “ความรัก” มากกว่า “ความกลัว”

พี่น้องครับ ปีนี้พ่อได้เลือกเอาคำว่า “พระเจ้ารักเราทุกคน” ติดไว้ที่นี้ เพราะพ่อได้อ่านพระคัมภีร์และพบคำต่างๆมากมาย พยายามค้นหาว่า มีคำไหนที่จะชัดเจนเพื่อจะได้บอกกับพี่น้องในวันคริตมาสนี้ และพ่อได้พบคำคำนี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว เราเองคงได้พบคำคำนี้ในชีวิตของเราทุกๆวัน และพ่อหวังเช่นนั้น

พี่น้องครับ วันคริสตมาสไม่ใช่วันที่เรามองดูว่า พระเยซูเจ้ามาเกิดอยู่ท่ามกลางเราเท่านั้น แต่เราต้องดูว่า เราต้องทำสิ่งใดเพื่อแสดงออกว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า นั่นหมายความว่า เราจำเป็นต้องทำชีวิตของเราให้เป็นเครื่องหมายแห่งความรัก โดยเฉพาะเวลาที่เราปฏิบัติต่อเพื่อนพี่น้องของเรา
พี่น้องครับ พ่อขอเชิญชวนเราทุกคนเป็นพิเศษ คริสตมาสนี้ เรานั่งลง รำพึง ไตร่ตรองดูว่า ตลอดปีที่ผ่านมา เราเคยปิดประตูหัวใจไม่ต้อนรับพระเยซูบ้างหรือไม่? ชีวิตของเรานั้นได้พยายามปฏิบัติต่อกันและกันเป็นอย่างไร? และหากเรายังปฏิบัติในเรื่องต่างๆเหล่านี้น้อยไป ก็เป็นข้อตั้งใจดีของเรา ที่เราจะให้ความรักต่อกันและกันมากขึ้นในปีใหม่นี้ ลูกจะเป็นลูกที่ดีของพระมากขึ้น จะตั้งใจช่วยเหลือกันและกันมากขึ้น เพราะว่า ความสุขและสันติที่แท้จริงนั้นมาจากข้างใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระเจ้าได้มาบังเกิดในหัวใจของเรา

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน


[1] คพ.พรชัย วิลาลัย , บทเทศน์โอกาสฉลองคริสตมาส ปี 2005 ณ วัดพระมารดานิจจานุเคราะห์ กรุงเทพฯ



เสียงต่างๆ ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เกิดขึ้นรอบวัดของเรา
ในวันคริสตมาส[1]



ใกล้ถึงวันคริสตมาสอีกแล้ว ตื่นเต้น ! ตื่นเต้น ! . . . ไชโย คริสตมาสอีกแล้ว ดีใจจังเลย . . .อย่าลืมเตรียมปาก ท้องและตังค์อีก 5 บาทด้วยนะ . . . ปีนี้งบตกแต่งสถานที่ ทำไมสูงตั้งเป็นหมื่น . . . เขาต้องรวมค่าใช้จ่ายเรื่องแสงและ เสียงด้วยนะ . . .โป๊ก ! โป๊ก! โป๊ก !
ฉากนี้ต้องแขวนให้สูงหน่อย . . . นี่เป็นการซ้อมครั้งสุดท้าย แล้วนะ จริงจังกันหน่อย . . . นี่เธอจะไปร้องเพลงตามบ้านกับ เขาจริง ๆ หรือ . . . สุขสันต์วันคริสตมาส . . . ชาวโลกทั้งหลาย ชื่นใจยินดี มีพระราชา ประสูติ . . . เมอร์รี่คริสตมาส ครับ
ไปดูเข่งใบนั้นดีกว่า อยู่ใกล้ๆ อาสนวิหาร (.....................)ซะด้วย . . . ดูซีมี ของเต็มไปหมดเลย คุ้ยเร็ว . . . ว้า ! มีแต่กระดาษและ เศษขยะทั้งนั้น . . . เฮ้ย ลองคุ้ยลึก ๆ อีก เผื่อเจอเศษอาหารอยู่ข้างล่างบ้าง . . . รีบหน่อยพี่ หนูหนาวจัง . . . นั่นไงเจอแล้ว อาหารเพียบ . . . อ้วก . . . เหม็น . . . ใช่ อาหารเหม็นบูดหมดเลย . . . ทำไมพวกเค้าไม่เก็บไว้ให้เราบ้างนะ . . . ถ้าพวกเค้าเอาตังค์ ที่ซื้อกระดาษ ไปซื้อเสื้อให้เราก็ดี . . . ใช่ซี เราคงไม่ต้องหิว และหนาวอย่างนี้ . . . นี่ เธออย่าโง่ไปหน่อยเลย วันคริสตมาส ใครเขาจะมาคิดถึงเรา เขาคิดถึงพระเจ้าต่างหาก . . . การเอาตังค์ ไปซื้อของแพง ๆ มาติด มาปะ แล้วก็ฉีกทิ้งในวันต่อมา กินอาหาร ก็กินทิ้งกินขว้าง เนี่ย . . . นะ . . . คิดถึงพระเจ้า . . . แน่นอน ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ทำกันทุกปีหรอก . . . พระเจ้าคงชมเชย พวกเขามากซีนะ . . . โธ่เอ๊ย ! วัดอะไรกันเนี่ย ไม่เห็นได้เรื่อง กองขยะยังมีความหวังมากกว่าอีก
********************************
[1] จากอินเตอร์เน็ต , จำที่มาไม่ได้

“คริสตมาสอีกแล้ว”




“คริสตมาสอีกแล้ว”[1]


ทำไมต้องพูดว่า "อีกแล้ว ?" ก็เพราะว่านี่เป็นเรื่องที่เคยพูดกันมาหลายครั้งแล้ว !
ใช่ครับ ! เรื่องคริสตมาสนี้ ได้รับการเล่าขานมาไม่น้อยกว่า 2000 ปีแล้ว !
แล้วทำไมยังเล่ากันต่อมานะหรือครับ ?
ก็เพราะว่า นี่เป็นเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยายเสียอีก !
คุณเคยอ่านเรื่อง "คริสตมาส" นี้มาก่อนไหมครับ ?
ถึงจะเคยอ่านหรือเคยฟังมาแล้ว แต่ลองอ่านหรือฟังดูอีกสักครั้งสิครับว่าเหมือนกันหรือแตกต่างกัน !

เรื่องมีอยู่ว่า ...
แรกเดิมที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์อย่างคุณกับผมขึ้นมาพระองค์ทรงประสงค์จะให้มนุษย์อย่างเราอยู่ดีมีสุข อยู่ในสวนสวรรค์ที่เรียกว่า สวนเอเดน ! แต่มนุษย์ผู้เป็นบรรพบุรุษของเราไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ !
ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าทรงให้มนุษย์อยู่ในสวนฟรี ๆ ให้มีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนเล่นมากมาย ให้มีคู่ครองอยู่เคียงข้าง ให้มีน้ำ พืช ผัก ผลไม้ เป็นอาหารไม่ขาด พูดง่าย ๆ ก็คือ พระเจ้าให้ทุกอย่างที่จำเป็น ไม่ขาดสิ่งใดเลย ! เพียงแต่พระองค์ขอข้อเดียวเท่านั้น คือ "อย่าแตะต้องผลไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่ง"
น่าคิดนะครับ ต้นไม้เป็นพันเป็นหมื่นต้น ยกเว้นเพียงผลของต้นเดียว อย่ากิน ! แต่สุดท้าย ก็เข้าทำนอง "กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา"
มนุษย์คู่แรกในสวนเอเดนได้ทำลายมิตรภาพ และความไว้วางใจของพระเจ้าไปเสียสิ้น ! ใช่ครับ ! ทั้งอาดัม เอวา พร้อมกันทรยศพระเจ้า ด้วยการกินผลไม้ต้องห้ามนั้น !
ผลคือ ทั้งสองถูกขับออกจากสวนเอเดนที่เรียกว่า "สวนบรมสุขเกษม"
ไปอย่างน่าเสียดาย !
จากนั้น ก็ไม่เคยมีใครได้เข้าไปในสวนสวรรค์นั้นเลย !

วันเวลาผ่านไปนานแสนนาน จนถึงกำหนดเวลาที่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงเห็นว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงช่วย มนุษย์จะไม่มีทางได้กลับเข้าสู่สรวงสวรรค์เลย
ดังนั้นเอง พระองค์จึงได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาในโลกนี้ เพื่อเริ่มต้นขบวนการกู้ชีวิตมนุษย์ ให้ไปสู่สวรรค์ ที่เรียกว่า "Mission Impossible" ขนานแท้ !
เพราะไม่มีมนุษย์คนใด หน้าไหนจะทำได้
จะมีก็แต่พระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น !

พระเจ้าองค์สูงสุดจึงทรงถ่อมพระทัย ด้วยพระเมตตากรุณาเสด็จลงมาจากฟากฟ้าสู่แดนดินในสภาพทารกน้อย ดังที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลอันยิ่งใหญ่ว่า...

"แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาประสูติจากสตรีเพศ และทรงถือกำเนิดใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร" (กาลาเทีย 4:4-5)

ในที่สุด ... พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าได้ทรงเข้ามาในโลก โดยใช้นามว่า "เยซู" ซึ่งแปลว่า "ผู้ช่วยให้รอด" ส่วนสมญานามหรือตำแหน่งของพระองค์ คือ "คริสต์" ซึ่งแปลว่า "ผู้ที่ได้รับการเจิมแต่งตั้ง"
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเรียกพระนามของพระบุตรของพระเจ้าเต็มชื่อ เต็มยศ ก็จะเรียกว่า "พระเยซูคริสต์ !"

วันหรือเทศกาลที่พระองค์มาประสูติ ก็เรียกเป็นชื่อไทย ๆ ว่า วันหรือเทศกาล "คริสตสมภพ" แต่ที่คุ้น ๆ หูกันหน่อย ก็คือ "คริสตมาส" คำนี้อาจจะตีความได้ 2 แบบ
1. แบบไทย ๆ ก็พูดว่า "คริสตมาส" หมายถึง ช่วงเวลาที่พระคริสต์มาบังเกิด ! เพราะมาจากคำว่า ... "คริสต + มาส (เดือน)"
2. แต่ถ้าตีความแบบสากลหน่อย ก็ต้องบอกว่า "คริสตมาส" มาจากคำว่า "CHRISTMAS" หมายถึง "พิธีระลึกถึงการที่พระคริสต์เสด็จมาประสูติ"
เพราะคำว่า "มาส" (mas) นี้มาจากคำว่า "Mass" (แมส หรือ มิซซา) ซึ่งหมายถึง "พิธีเฉลิมฉลองเพื่อขอบคุณพระเจ้า"
ดังนั้น "Christmas" จึงมีความหมายว่า
"การเฉลิมฉลองเพื่อขอบคุณพระเจ้า สำหรับการที่พระเยซูคริสต์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ (เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด) !"
ช่างน่าตื่นเต้น และน่ายินดีเหลือเกิน ที่มนุษย์อย่างคุณและผมได้รับความสนพระทัย และพระเมตตาคุณจากพระเจ้าอย่างสุงสุดในวัน "คริสตมาส" นี้ นั่นคือ
"พระบุตรพระเจ้าผู้สูงสุดได้ลงมาบังเกิดเป็นบุตรของมนุษย์ผู้ต่ำต้อย เพื่อทำให้บุตรของมนุษย์ผู้ต่ำต้อยอย่างเราได้กลับกลายเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด ! " เหมือนกับที่ทูตสวรรค์ลงมาแจ้งข่าวดีนี้ในคืนวันคริสตมาสแรกของโลก ...
"อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังพวกท่าน เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่จะมาถึงคนทั้งหลาย เพราะว่าในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของพวกท่านคือพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้ามาประสูติที่เมืองดาวิด" (ลูกา 2:10-11)

คุณก็เช่นกัน ไม่ว่าคุณกำลังประสบกับเคราะห์กรรมใดในชีวิต หรือมีชีวิตที่ไร้ความหมาย วันนี้ พระคริสต์เจ้าจากฟ้าสวรรค์ จะนำความหมาย และความรอดมาสู่ชีวิตของ ! เพียงแค่คุณทูลกับพระองค์ด้วยความจริงใจว่า ... "พระเยซูคริสต์เจ้า ขอเข้ามาในใจของข้าพเจ้าด้วย !"
คุณจะพบกับความอัศจรรย์ของ "คริสตมาส" ในชีวิตของคุณ ! ในชีวิตของคุณ ! แล้วคุณจะลังเลอยู่ทำไมล่ะ ? ลองดูสิครับ !

*****************************
[1] อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ , http://www.geocities.com/thirayost2/web_biblestory/chrismas4.html

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ส.4 เตรียมรับเสด็จฯ ปี B







วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2008


1. ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งทุกคนกำลังเตรียมละครวันคริสตมาส เด็กเล็กๆ คนหนึ่งรู้สึกไม่ชอบบทบาทที่เธอได้รับ จึงอยากจะเปลี่ยนบทกับเพื่อนของเธอ คุณครูก็เลยถามว่า ทำไมจึงอยากเปลี่ยนบทกับเพื่อน เด็กน้อยตอบว่า “ก็เพราะว่า เป็นเทวดานั้นมันง่ายกว่าเป็นแม่พระตั้งเยอะ”

2. พี่น้องครับ เด็กน้อยคนนั้นพูดถูกที่ว่า การเป็นแม่ของพระคริสต์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ตรงข้ามกลับเป็นเรื่องยากยิ่งนัก พ่อเชื่อว่า พระเยซูไม่ได้อยากเกิดที่เบ็ธเลแฮมเลย สถานที่ที่พระองค์อยากที่จะลงมาบังเกิดมากที่สุดก็คือ ในหัวใจของเราทุกคน

3. แม่ของพระคริสต์หมายถึงแม่พระเสมอ แต่ชื่อมารีย์ มารดาของพระคริสตเจ้าก็มีสองความหมาย แม่พระเป็นของพระคริสต์ฝ่ายร่างกาย ที่รับพระเยซูในพระครรภ์ของพระนางและให้กำเนิดพระองค์ เป็นภาระหน้าที่สูงสุดที่แม่พระได้รับ คนอื่นทำแทนไม่ได้ และในอีกความหมายหนึ่งก็คือ แม่พระเป็นแม่ของพระคริสต์ฝ่ายวิญญาณด้วย บทบาทนี้เป็นบทบาทที่ใช้ได้กับเราคริสตชนทุกคน เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นชายหญิงหรือเด็กๆ เราสามารถเป็นเหมือนแม่พระ และควรที่จะเป็นเหมือนแม่พระด้วย

4. 46ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสกับประชาชนอยู่นั้น มารดาและพี่น้องของพระองค์ มายืนอยู่ข้างนอก ต้องการจะพูดกับพระองค์ (47)48พระองค์จึงทรงตอบผู้ที่มาทูลนั้นว่า ‘ใครเป็นมารดา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?’ 49แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า ‘นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา 50เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา’ (Matthew 12:46-50)

5. นั่นแสดงว่า 1) พระเยซูคาดหวังว่า เราทุกคนไม่ใช่แค่เป็นพี่น้องชายหญิงเท่านั้น แต่ต้องเป็นเหมือนแม่พระด้วย (2) หนทางที่จะเป็นเหมือนแม่พระก็คือ เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั่นเอง แม่พระตอบรับต่อพระเจ้า และถ้าพระเจ้าเสด็จมาหาเราเวลานี้เพื่อบอกให้เราทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนกับที่บอกแม่พระ เราจะสามารถตอบรับเช่นเดียวกับที่แม่พระตอบต่อทูตสวรรค์ไหม??

6. หลายๆ ครั้งในชีวิตของเรา การเป็นเหมือนกับแม่พระได้ เราคงต้องสวดเหมือนแม่พระว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ จงเป็นไปแก่ข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (Luke 1:38).

7. เป็นบทภาวนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะได้นำพระเจ้าจากสวรรค์มาสู่จิตวิญญาณและร่างกายของหญิงธรรมดาคนหนึ่ง เป็นบทภาวนาที่นำความยิ่งใหญ่มาสู่มนุษย์ทุกคน พระเจ้ามาเป็นมนุษย์ในองค์พระเยซู

8. เป็นบทภาวนาที่เปลี่ยนโลกตลอดกาล ตลอด 2000 ปีที่ผ่านมา โลกกำลังบอกว่า “ขอให้ความตั้งใจของฉัน จงสำเร็จไป” แต่แม่พระบอกว่า “ขอให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จไป”

9. แน่นอนว่า ไม่ง่ายในการเป็นแม่ของพระคริสตเจ้า แต่วันนี้ แม่พระแสดงให้เราเห็นว่าจะเป็นได้นั้นต้องทำอย่างไร นั่นคือ การฟังเสียงของพระเจ้าและตอบรับกับพระเจ้า แม้ว่าบางครั้งบางอย่างที่เป็นแผนการณ์ของพระเจ้านั้น จะดูขัดกับแผนการของตัวเราเอง

10. พี่น้องครับ อีก 2-3 วันก็คริสตมาสแล้ว แม่พระเตือนใจเราว่า คริสตมาสที่ดีที่สุด มิใช่ที่เบ๊ธเลแฮม แต่ในส่วนลึกสุดของหัวใจของเรานั่นเอง

11. ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ส. 3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จฯ ปี B



อาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม 2008



สิ่งที่ถือว่า คริสตชนเราละเลยในการปฏิบัติมากที่สุด ก็คือ การชื่นชมยินดี พระวาจาของพระเจ้าสอนเราให้ชื่นชมยินดี ให้มีความเชื่อและความรัก คำสั่งของพระเจ้าคือให้เราชื่นชมยินดี และใน ส.3 ของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้ พระศาสนจักรก็เตือนใจเราให้ระลึกถึงสิ่งที่เราหลงลืมไปนี้เป็นพิเศษ


· พี่น้องครับ ส.3 ของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้ ถูกเรียกว่า “Guadete Sunday” Guadete เป็นภาษาลาตินแปลว่า “ความยินดี” เป็นพระวาจาที่นำมาจากจดหมายของ น.เปาโลถึงชาวเธสะโลนิกา ซึ่งเป็นบทอ่านที่สองในวันนี้ “พี่น้อง จงร่าเริงยินดีเสมอ” เป็นคำสั่งที่เป็นแง่บวก ทุกที่ทุกเวลาร่าเริงเสมอ ไม่ได้เป็นเงื่อนไขว่า ให้เราเก็บความยินดีไว้เฉพาะเวลาที่เรากำลังดีดีอยู่เท่านั้น


· พี่น้องครับ มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง วันหนึ่งพ่อกลับจากที่ทำงานและประกาศว่า พ่อได้ทำเงินหายไปหมดแล้วเพราะหุ้นส่วนได้ต้มพ่อไปหมดและหนีไปกับเงินทั้งหมด และในเย็นวันนั้นเอง ผู้เป็นแม่ก็ออกไปและได้ขายเครื่องประดับราคาแพงของเธอและซื้ออาหารสำหรับมื้ออาหารที่หรูหรา ผู้คนก็วิพากษ์วิจารณ์เธอถึงความบ้าระห่ำในสถานการณ์เช่นนี้ ในเวลาที่ครอบครัวกำลังลำบาก แต่ผู้เป็นแม่ก็บอกกับทุกๆคนว่า “ช่วงเวลาแห่งความยินดีก็คือเวลานี้แหละ คือ เมื่อเวลาที่เราต้องการมันมากที่สุด ไม่ใช่ในอนาคตหรืออาทิตย์หน้า!!” ความกล้าหาญของแม่คนนี้ที่ทำให้ครอบครัวของเธอมีความสุขและมีความหวังเพื่อเผชิญหน้ากับอนาคตด้วยความมั่นใจและวางใจในพระเจ้าว่า พระองค์จะประทานทุกสิ่งให้


· พี่น้องครับ วันนี้ น.เปาโลให้บอกกับเราว่า เราต้องทำมันตลอดเวลา “จงร่าเริงยินดีเสมอ จงอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ในพระคริสตเยซู” ทุกเวลา ทุกสถานการณ์เราต้องร่าเริงยินดี, สวดภาวนาและขอบพระคุณ น.เปาโลให้เพิ่งคำสั่งนี้เพื่อสะท้อนถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับผู้ที่จะติดตามพระเยซูเจ้า ในฐานะที่พี่น้องอยู่ในโลก พี่น้องรู้ดีว่า ชีวิตในโลกนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ (วันแต่งงาน) แต่ชีวิตหลังความตายนั้นจะเป็นความสุขสำราญ ความหวังของเราจึงไม่ได้อยู่ในชีวิตนี้เท่านั้น จึงเป็นเหตุผลท่า ทำไมเราคริสตตังค์จึงสามารถร่าเริงยินดีทั้งในเวลาที่มีความสุขและในเวลาที่มีความทุกข์ เหมือนอย่างที่พระเยซู


· พี่น้องครับ นอกจากนั้นแล้ว น.เปาโล ยังได้บอกถึงสิ่งที่เราไม่ควรทำ สิ่งที่เราควรหลีกเลี่ยง
“อย่าดับไฟของพระจิตเจ้า อย่าดูหมิ่นการประกาศพระวาจา จงทดสอบทุกสิ่งและยึดสิ่งที่ดีงามไว้ จงละเว้นความชั่วทุกรูปแบบ”


ท่านต้องไม่ขัดขวางการนำทางของพระจิตเจ้า ไม่ละทิ้งพระวาจาของพระ ละเว้นความชั่วทุกรูปแบบ น.เปาโลต้องการกระตุ้นเตือนเราและให้เราหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตที่อยู่ในตัวของเรา ในฐานะมนุษย์นั้น เรามีทั้งส่วนที่เป็นร่างกายและจิตใจ คริสตชนบางคนก็ให้ความสนใจอยู่กับเรื่องของสิ่งของและละเลยเรื่องของจิตวิญญาณ พี่น้องสามารถมองเห็นได้จาก การเตรียมสำหรับคริสตมาส เราสนใจเรื่องการประดับตกแต่งบ้านของเรามากกว่าการทำความสะอาดฝ่ายจิตใจ เราตระเตรียมของขวัญให้กับครอบครัวและเพื่อนๆ มากกว่า เตรียมของขวัญให้กับตัวเองซึ่งเราต้องเตรียมเพื่อพระเจ้า


· พี่น้องครับ เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า เป็นเวลาที่เราต้องเตรียมไม่เฉพาะฝ่ายร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจก็สำคัญมากๆ ที่เราต้องเตรียมสำหรับการมาของคริสตเจ้า


· พี่น้องครับ ที่สุดแล้ว น.เปาโลบอกกับเราถึงวิธีการที่จะได้รับชีวิตพระ ไม่ใช่วิธีการที่เราจะได้รับโดยพลังของเรามนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทำให้สำเร็จในเรา “ขอองค์พระเจ้าผู้ประทานสันติ บันดาลให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์ ขอพระองค์ทรงคุ้มครองท่านให้พ้นคำตำหนิทั้งด้านจิตใจ วิญญาณและร่างกาย เมื่อพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเสด็จมา พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ” ชีวิตสู่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ น.เปาโล บอกกับเรานี้ว่า โอกาสเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้เป็นชีวิตของพระเจ้าที่มาอยู่กับเรา เป็นพระเจ้าเองที่ทรงทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อให้เราตอบรับพระองค์ว่า “ตกลง” และยอมจำนนต่อพระองค์ทั้งหมดของชีวิตของเรา


· ชีวิตแห่งความร่าเริงยินดีเป็นสิ่งที่ยาก แต่พระเจ้าที่ทรงเรียกร้องเราให้ทำสิ่งนี้ในชีวิต พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มอบสิ่งนี้ให้กับเรา พระองค์สัตย์ซื่อต่อเรา และพระองค์จะกระทำสิ่งต่างๆนี้ในชีวิตของเราแน่นอน


· อาแมน

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ส.2 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B




อาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2008


ครูใหญ่โทรศัพท์ไปบ้านของครูคนหนึ่งเพื่อดูว่า ทำไมเขาถึงไม่อยู่ที่โรงเรียน มีเสียงเด็กเล็กๆ เป็นคนรับสาย “Hello?”
“พ่อของเธออยู่ไหม” ครูใหญ่ถาม“อยู่ครับ” เด็กกระซิบเบา“ขอคุยหน่อยได้หรือเปล่า” ครูใหญ่ถามต่อ“ไม่ได้ครับ” เด็กตอบ“แล้วแม่อยู่ด้วยหรือเปล่า” ครูใหญ่ถามต่อ“อยู่ครับ” “ขอคุยได้เปล่า”เด็กน้อยตอบอีกว่า “ไม่ได้ครับ”“เอาหล่ะ แล้วมีใครอยู่ใกล้ๆบ้างหรือเปล่า?”“มีครับ” เด็กกระซิบตอบ “มีตำรวจครับ”“มีตำรวจเหรอ งั้นขอคุยกับตำรวจได้เปล่า?”“ไม่ได้ครับ เขากำลังยุ่งอยู่”เด็กกระซิบต่อ“ทำอะไรยุ่งอยู่เหรอ” ครูใหญ่ถาม“ก็กำลังคุยกับพ่อผม แม่ผมแล้วก็พนักงานดับเพลิงครับ” came the child’s answer.“พนักงานดับเพลิงเหรอ? มีนั่นมีไฟใหม้บ้านหรือไฟใหม้อะไรเหรอเปล่า?” asked the worried man.“ไม่มีครับ” whispered the child.“อ้าว แล้วตำรวจกับพนักงานดับเพลิงมาทำอะไรที่นั่นหละ”เด็กจึงค่อยกระซิบตอบว่า “พวกเขากำลังหาตัวผมอยู่ครับ”


พี่น้องครับ เป็นเรื่องยากมากๆ สำหรับหน่วยกู้ภัยที่จะแสวงหาเด็กคนนี้ ตราบใดที่เด็กคนนี้ยังซ่อนตัวอยู่ ในพระวาจาวันนี้ ยอห์น บัปติสได้ร้องเรียกให้ผู้คนในแคว้นยูเดีย ออกมาจากทะเลทรายเพื่อให้พระเจ้าได้พบพวกเขา


การมีประสบการณ์ในทะเลทราย หมายถึงการทิ้งสิ่งต่างๆ ไว้เบื้องหลัง ทิ้งสาระต่างๆ ของชีวิต เช่น ชีวิตการทำงาน, ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หรือชีวิตประจำวันในชีวิตนักบวช พระเจ้าไม่สามารถทำอะไรกับเราได้มากนัก หากเรายังหวังและวางใจในสิ่งต่างๆ ของโลกนี้ และเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้สามารถให้ความหมายกับชีวิตของเราได้ หากหัวใจของเราไม่มีที่ว่าง ก็ไม่มีใครเขามาในหัวใจของเราได้ แม้แต่พระเจ้า


ในพระคัมภีร์ ทะเลทรายยังหมายถึงที่ที่เราสามารถพบกับพระเจ้าได้ ชาวอิสราเอลเดินทาง 40 ปีในทะเลทรายได้พบพระเจ้าและเรียนรู้หนทางของพระเจ้าในทะเลทราย และในทะเลทรายนั้นเอง พวกเขาได้กลายเป็นประชากรของพระเจ้า และพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา แต่ประการแรกก็คือ พวกเขาต้องเลิกคิดถึงสิ่งดีดีในชีวิตทั้งหมดที่ได้รับในประเทศอียิปต์เสียก่อน “เราระลึกถึงปลาที่เราเคยกินในอียิปต์โดยไม่ต้องซื้อ ทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ หัวกระเทียม” (กดว 11:5). พระเยซูเจ้าเอง ก่อนที่พระองค์จะเริ่มภารกิจของพระบิดา พระองค์ใช้เวลา 40 วัน 40 คืนในทะเลทราย(ความหมายของเลย 40 ในพระคัมภีร์= มากมาย) เป็นเวลาสำหรับการแสวงหาและสร้างความสนิทสัมพันธ์กับพระบิดาอย่างลึกซึ้ง การเรียกผู้คนไปสู่ทะเลทรายของยอห์น หมายความว่า ให้พวกเขาละทิ้งความหวังทั้งหมด หรือ ความปลอดภัยในชีวิตทั้งหมด และเรียนรู้ที่จะหวังและวางใจในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว


ยอห์น เจริญชีวิตในสิ่งที่เขาสอน วิถีชีวิต,การแต่งตัว,อาหารการกิน, แสดงให้เห็นว่า ความหมายของชีวิตนั้นมิได้อยู่ที่สิ่งของภายนอก แต่อยู่ที่ชีวิตที่สนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า ชีวิตสมถะ ไม่ต้องมีอะไรสะดวกสบายนัก ไม่ต้องกังวลกับชีวิตในสังคม แต่มีหัวใจที่สนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า


การเข้าสู่ทะเลทรายเป็นขั้นแรกของการกลับใจที่แท้จริง คือ การยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างและเอาชีวิตของตนมาวางต่อหน้าพระเจ้า เพื่อให้พระองค์พบเห็นเราได้ง่ายที่สุด นั่นคือ การกลับใจ


พี่น้องครับ ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จนี้ พระศาสนจักรเตือนใจเราให้ฟังเสียงของ ยอห์น บัปติสต์ เพื่อเป็นทุกข์ กลับใจ ใช้โทษบาป เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมน้อมรับพระผู้ทรงเสด็จมา เป็นโอกาสดีที่เราจะได้มอบชีวิตของเราทั้งหมดให้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสร้างเราขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อเราได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็มีที่ว่างให้พระเจ้าในชีวิตของเรา และเราได้พบหนทางที่แท้จริงของการกลับใจ ผ่านทางแบบฉบับของท่านยอห์น บัปติสต์ด้วย


ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่ท่าน

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เด็กเล็กๆ


Tuesday of the First Week of Advent, Dec. 2 Luke 10: 21-24


เด็กๆ มองเห็นสิ่งต่างๆ โดยไม่เสแสร้ง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระเจ้า พวกเขาธรรมดาและราบเรียบ พวกเขามีความเชื่อและความวางใจ พวกเขาไม่มีความหยิ่งผยองซึ่งเป็นรากเหง้าของปีศาจ พวกเขาเปิดปรีชาญาณ,พระหรรษทานและความช่วยเหลือของพระเจ้า และไม่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวของพวกเขาเอง


พระวาจาในวันนี้สอนเราในความธรรมดาๆ ว่า เราเตรียมพร้อมกับการเสด็จมาบังเกิดของพระผู้ไถ่ ที่มาสู่เราโดยไม่เสแสร้ง,หลอกลวง หรือสิ่งใดๆ เราเห็นพระองค์อย่างไร พระองค์ก็เป็นอย่างนั้น พระองค์แสนจะธรรมดา สุภาพและยากจน ไม่เคยมองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพระองค์ แต่สิ่งที่เรามองเห็นจากพระองค์ก็คือ พระองค์แสวงหาน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าเสมอ


เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า เป็นเทศกาล U TURN เพื่อเป็นทุกข์และกลับใจ และเตรียมชีวิตจิตใจของเราต้อนรับพระเยซูผู้ทรงเสด็จมา


ขอพระเยซู ช่วยเราให้ละม้ายคล้ายพระองค์ยิ่งขึ้นและเหมือนกับเด็กเล็กๆที่พระองค์ได้กล่าวถึงเสมอๆในพระวรสารให้เป็นรูปแบบสำหรับเราทุกคน

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ส.34 เทศกาลธรรมดา ปี A - 23 พ.ย.2008-สมโภชพระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล


สมโภชพระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล


วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีพิธีกรรม ซึ่งเราฉลองพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล บทอ่านในบทอ่านที่หนึ่งนั้นสะท้อนให้เห็นภาพกษัตริย์ในรูปแบบที่พระเยซูทรงเป็น และหากจะถามว่า การเป็นกษัตริย์ของพระเยซูนั้นมีความหมายต่อพวกเราอย่างไร ? เพื่อที่จะบอกได้ว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของพระอาณาจักรของพระองค์ เราคงต้องพยายามทำความเข้าในสิ่งที่บอกในบทอ่านจากประกาศกเอเสเคียลเสียก่อน


ในบทอ่านที่หนึ่งนั้น ประกาศกเอเสเคียล ได้พูดถึงพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นดังนายชุมพาบาลผู้เลี้ยงแกะแห่งชนชาติอิสราเอล กษัตริย์แห่งอิสราเอลซึ่งถูกอ้างว่า เป็นพระเจ้าที่สามารถมองเห็นได้และถูกให้ภาพของการเป็นนายชุมพาบาล แต่ในบรรดากษัตริย์ทั้งหลายเหล่านั้น มิได้มีชีวิตในบทบาทที่พวกเขาได้เป็นคือมิได้เป็นดังนายชุมพาบาลที่ดีซึ่งแตกต่างจากการนำชนชาติอิสราเอลของพระเจ้า รูปแบบบายชุมพาบาลในแบบของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเน้นย้ำก็คือ รูปแบบของการให้และการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยเฉพาะในเรื่องความยุติธรรมและอำนาจต่างๆ และนี่คือสิ่งที่ในบทอ่านที่หนึ่งบอกกับเรา


เราจะตามหาแกะที่หาย ตัวไหนหลงทางไป เราจะนำกลับมา ที่บาดเจ็บก็จะทำแผลให้ ตัวไหนอ่อนแอ ก็จะบำรุงให้แข็งแรง ที่อ้วนท้วนแข็งแรงอยู่แล้ว ก็จะทะนุถนอมไว้ เราจะเลี้ยงมันอย่างที่ควร(ยุติธรรม) (Ezekiel 34:16).


พี่น้องที่รัก สัญญาของพระเจ้าที่ทรงมอบให้กับเราดูแลประชากรของพระองค์คืออะไร?? ในฐานะที่เราทุกคนเป็นคริสตชน เราได้เห็นแบบอย่างที่ดีที่สุดจากพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ที่เราทำการฉลองในวันนี้ พระองค์ได้ทรงเริ่มการเป็นกษัตริย์ของพระองค์ แต่พระองค์จะกลับมาถึงในวันพิพากษาเพื่อทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ ในวันนั้นพระองค์จะนั่งบนพระบัลลัง พิพากษาชายและหญิงจากทุกชนชาติ ไม่ว่าเด็กชายหรือเด็กหญิง ดุจดังแยกแกะออกจากแพะ


กิจการที่เฉพาะเจาะจงที่พระเยซูทรงกล่าวถึงเป็นพิเศษ เพื่อช่วยในการแยกแยะดังที่ปรากฏในพระวรสารก็คือ (i)การเลี้ยงผู้หิวอาหาร (ii) การให้น้ำแก่ผู้หิวกระหาย(iii)การให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ขัดสน (iv) การให้ที่พักพิง (v)การเยี่ยมเยียนผู้ต้องขัง(vi) การดูแลผู้เจ็บป่วย


ทุกคนจะได้รับการพิพากษา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคริสตชนหรือไม่ก็ตาม และไม่ขึ้นกับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรของพระเจ้าหรือไม่


พี่น้องครับ ข่าวดีสำหรับเราทุกคนก็คือ เราโชคดีที่สุดที่เรามีกษัตริย์ที่พระองค์ทรงสนใจเราแต่ละคน และทรงช่วยเหลือเราไม่แต่เฉพาะเวลาที่เราต้องการพระองค์หรือในเวลาปกติของชีวิต หรือในเวลาที่ต้องการพระองค์มากที่สุด แต่พระองค์ทรงอยู่เพื่อช่วยเราเสมอในทุกกรณี


ความท้าทายสำหรับเราทุกคนในวันนี้ก็คือ ให้เราลืมความต้องการของตนเองและแบ่งปันความรักของเราออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิดถึงผู้อื่นมากขึ้นโดยเฉพาะบุคคลในครอบครัวของเรา พยายามแบ่งปันความรักและสันติสุขและความสุขแก่ผู้อื่นเสมอ


‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ส.33 เทศกาลธรรมดา ปี A - อาทิตย์ที่ 16 พ.ย.2008



TALENT???


ชายคนหนึ่งบ่นต่อว่าพระเจ้าว่า “เขาได้เฝ้าสวดภาวนาทุกวันเป็นเวลา 3 ปี เพื่อขอพระเจ้าให้เขาถูกลอตเตอรี่ พระเจ้าให้เขาสวดและบอกว่า จะได้รับ แต่ทำไมตลอดเวลา 3 ปีเขาจึงไม่ถูกลอตเตอรี่เลยสักครั้งเดียว?” เสียงพระเจ้าตอบกลับมาว่า “ลูกที่รัก ก่อนอื่นหมด ลูกต้องซื้อลอตเตอรี่ก่อนนะ???” เรื่องเล่านี้บอกกับเราว่า ถ้าเราต้องการชนะ ก็ต้องอาศัยความพยายามของเราด้วยเช่นเดียวกัน


พี่น้องครับ พระวาจาในวันนี้บอกกับเราว่า “ชายคนหนึ่งได้ออกเดินทางและมอบเงินให้กับคนใช้สามคน 5,2,1 ตาแลนท์ คนใช้ที่ได้รับเงิน 1 ตาแลนท์คือคนที่มีความสามารถน้อยที่สุด เขาไม่ได้เป็นคนเก่งกาจหรือเป็นอัจฉริยะ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เจ้านายได้ให้เงินแม้รู้ว่า คนใช้คนนี้ไม่มีความสามารถอะไร เราเองซึ่งเป็นลูกๆ ของพระองค์ก็เช่นกัน เราเองได้รับคนตาแลนท์ ขึ้นอยู่กับว่า เราเปรียบเทียบตัวเราเองกันใคร
เมื่อเจ้านายกลับมา และคนใช้สองคนแรก “เอาไปลงทุนและเกิดกำไร” ด้วยเงินที่พวกเขาได้รับ ส่วนคนที่สาม ไปขุดดินเอาเงินฝังไว้และไม่เกิดผล ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น คำตอบก็คือ เขาอาจกลัวว่า เขาจะเสียเงินจำนวนนี้ไปถ้าเขาเอาเงินไปลงทุน เขาอาจคิดว่า “ดีแล้วหล่ะ ถ้าเราเอาเงินทั้งหมดนี่ไปลงทุน ก็คงเสี่ยงมาก เราคงจบเพียงเท่านี้ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย เก็บไว้เฉยๆดีกว่า”????


คริสตชนจำนวนไม่น้อยก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เพราะเรามองดูตัวเราเองกับพระพรต่างๆที่เราได้รับ แล้วก็บอกว่า ฉันทำอะไรไม่ได้หรอก สมมุติว่าหญิงคนหนึ่งรักการร้องเพลงมาก แต่ไม่เข้าร่วมคณะนักขับร้อง ไม่ฝึกซ้อมเพราะเธอกลัวว่า เธอไม่มีพรสวรรค์ในการร้องเพลง? หรือเด็กหนุ่มที่ต้องการประกาศพระวาจาของพระเจ้าแต่เขากลัวว่าเขาไม่มีความรู้ในพระคัมภีร์หรือเทววิทยาดีพอ? สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ทำอะไร แล้วก็เดินตามทางของคนใช้คนที่สามในวันนี้ที่ฝังเงินของตนเองไว้


พี่น้องครับ เรื่องที่ทำให้ประหลาดใจก็คือ เมื่อเจ้านายกลับมาและพบกับคนใช้ทั้งสาม คนแรกและคนที่สอง ได้รับคำชมที่เหมือนๆ กันก็คือ ดีมากเจ้าเป็นคนใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด” ทั้งหมดนี่แสดงว่า รางวัลที่ได้รับ มิได้เป็นไปตามสัดส่วนของกำไรที่ทำขึ้นมา แต่อยู่ที่แต่ละคนได้ทำเต็มที่ตามส่วนที่ตนเองได้รับ

สิ่งสำคัญก็คือ ทำไมคนใช้คนที่สามจึงตัดสินใจฝังเงินของตนเอง อาจเป็นไปได้ว่า เขาเปรียบเทียบเงินของตนเองกับคนใช้อื่นๆ ที่ได้มากกว่า มองเห็นตัวเองอยู่ท้ายสุดและเริ่มหมดกำลังใจ เขาไม่ได้ตระหนักว่า ด้วยเงินหนึ่งตาแลนท์ที่เขามี ถ้าเขาใช้เต็มที่ เขาก็จะได้รับรางวัลเท่าเสมอกับคนที่ได้ 5 หรือได้ 2


พี่น้องครับ เราทุกคนในวัดแห่งนี้ได้รับอย่างน้อย 1 ตาแลนท์แล้ว นั่นคือ พระพรแห่งความเชื่อ สิ่งที่เราต้องรับผิดชอบก็คือ เราต้องไม่เก็บหรือรักษาความเชื่อนั้นไว้เพียงตัวเราเท่านั้น แต่ต้องพยายามทำให้เกิดผล เราต้องทำให้ความเชื่อนั้นเติบโตและมีคุณค่ามากขึ้น นั่นหมายความว่า บางทีเราอาจต้องเสี่ยง,เราอาจโดนท้าทาย, เราอาจไม่สะดวกสบายหรือมีความลำบากใจบ้าง แต่เราได้พยายามทำเต็มส่วนที่เราได้รับตาแลนทตา พระเจ้าได้มอบตาแลนท์ให้กับเราแล้ว ดังนั้น จงทำให้มันเกิดผลในชีวิตของเราเถิด


ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

ทำทุกสิ่งด้วยความรัก



บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก
ถึงฟิเลโมน ฟม 1:7-20


ท่านที่รักยิ่ง ความรักของท่านทำให้ข้าพเจ้ายินดีและได้รับกำลังใจเป็นอย่างมาก เพราะท่านนำความสงบสุขมาสู่ดวงใจของประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเดชะพระคริสตเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้ามีอำนาจจะสั่งท่านให้ทำสิ่งใดก็ได้ แต่ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะขอร้องให้ท่านทำด้วยความรักมากกว่า ผู้ที่ขอร้องนี้คือข้าพเจ้า เปาโล ซึ่งเป็นคนชราและขณะนี้เป็นนักโทษเนื่องจากพระคริสตเยซูด้วย ข้าพเจ้าขอร้องท่านเพื่อบุตรคนหนึ่งของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดขณะที่ถูกจองจำคือโอเนสิมัส ในอดีต เขาไม่มีประโยชน์ใดต่อท่าน แต่ขณะนี้ เขามีประโยชน์ทั้งต่อท่านและต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากำลังส่งเขากลับมาหาท่าน นั่นคือข้าพเจ้าส่งดวงใจของข้าพเจ้ามาด้วย อันที่จริงแล้ว ข้าพเจ้าต้องการให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่ เขาจะได้รับใช้ข้าพเจ้าแทนท่านขณะที่ข้าพเจ้าถูกจองจำเพราะข่าวดี แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการทำสิ่งใดโดยท่านไม่เห็นชอบ เพื่อมิให้ท่านทำความดีเพราะถูกบังคับ แต่ทำด้วยความสมัครใจ ข้าพเจ้าคิดว่า เขาถูกพรากไปจากท่านระยะหนึ่ง เพื่อจะกลับมาอยู่กับท่านตลอดไป มิใช่ ในฐานะทาส แต่ในฐานะที่ดีกว่ามาก คือเป็นน้องชายที่รัก ถ้าเขาเป็นที่รักอย่างยิ่งของข้าพเจ้า เขาจะต้องเป็นที่รักของท่านมากกว่าสักเท่าใดเล่า ทั้งในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์และในฐานะที่เป็นพี่น้องในองค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านยังยอมรับว่าข้าพเจ้า เป็นมิตรกับท่าน ก็จงต้อนรับเขาเช่นเดียวกับที่ท่านจะต้อนรับข้าพเจ้า ถ้าเขาทำผิดต่อท่านเรื่องใด หรือเป็นหนี้ท่านเท่าใด ก็จงจดลงในบัญชีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนด้วยมือของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้า เปาโล จะชดใช้ให้ทั้งหมด ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงหนี้สินอื่นที่ท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า ดีแล้ว น้องรัก หวังว่าท่านจะทำตามที่ข้าพเจ้าขอร้อง เพราะท่านศรัทธาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทำให้ดวงใจของข้าพเจ้าเป็นสุขสงบในพระคริสตเจ้าเถิด

ข้อคิด


· ท่านเปาโลเขียนจดหมายถึงฟีเลโมน เพื่อฝากฝัง โอเนซิมัส ให้ทำงานแทนท่าน (เพราะท่านทำงานไม่ได้แล้ว)

· ท่านขอร้องต่อฟีเลโมนให้ประกาศข่าวดีด้วยความรัก มากกว่าจะใช้การบังคับฟีเลโมนให้ทำ (แม้ว่าท่านจะสามารถบังคับได้)

· ท่านได้รับกำลังใจจากคนอื่นเป็นอย่างมาก (เพราะฟีเลโมนนำความสงบสุขมาสู่ประชากรของพระเจ้า)

· เปาโลเขียนจดหมายนี้ในคุก (ทั้งแก่ชราและติดคุก แต่ยังให้กำลังใจผู้อื่นเสมอ)

· ท่านติดคุกเพราะประกาศข่าวดีของพระเยซูเจ้า (แต่มิได้ท้อแท้ในการประกาศข่าวดี)

· ท่านไม่ต้องการให้ผู้อื่นทำความดีเพราะถูกบังคับ แต่ให้ทำความดีด้วยความสมัครใจ

· ท่านยินดียอมรับหนี้สิน(ความผิดพลาดบกพร่อง) ของผู้อื่น แต่ตัวท่านเองไม่ติดใจเอาความใคร (ให้อภัยทุกอย่างแก่ทุกคน)

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2008



ฉลองพระมหาวิหารลาเตรัน

จากการศึกษาเรื่องอุบัติเหตุ แสดงให้เห็นว่า (A) 20% เสียชีวิตจากรถมอเตอร์ไซค์ (b) 17% เสียชีวิตในบ้านของตัวเอง (c) 14% เสียชีวิตเพราะเดินอยู่ตามถนนและข้างทาง(d) 16% เสียชีวิตจากการเดินทางอากาศ,รถไฟ,ทางน้ำ (e) 32% เสียชีวิตในโรงพยาบาล (f) มีเพียง .001% ที่เสียชีวิตในวัดในขณะที่มานมัสการพระเจ้า ดังนั้น จากการศึกษาพบว่า สถานที่ปลอดภัยที่สุดไม่ใช่ที่รถยนต์ของท่าน,หรือบ้านของท่าน,หรือโรงพยาบาล แต่เป็นที่วัดนั่นเอง


พี่น้องครับ วันนี้เราทำการฉลองการอภิเษกพระมหาวิหาร ยอห์น ลาเตรัน ในกรุงโรม / ทำไมเราจึงต้องทำการฉลองวิหารนี้ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเรามากมาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เป็นการเตือนให้เราระลึกถึงความสำคัญของวัดที่เป็นสิ่งก่อสร้างว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับการพบกับพระเจ้า.


ในประวัติศาสตร์ พระมหาวิหาร น.ยอห์น ลาเตรัน เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงโรม และอยู่ในอันดับสูงสุดของวัดในโลกนี้ ต่อจากพระมหาวิหาร น.เปโตร ดังนั้นจึงเรียกได้ว่า เป็นพระมหาวิหารแม่ของวัดทั้งหลาย ดังนั้น เมื่อเราทำการฉลองนี้ เราจึงฉลองธรรมล้ำลึกของการประทับอยู่ของพระเจ้าและการสร้างที่ทำให้เรามีสถานที่สำหรับนมัสการพระองค์ และหมายถึงวัดทุกๆที่ในโลกนี้ด้วย


เรารู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราสร้างวัดก็เพื่อจะได้มีสถานที่นมัสการพระองค์ พระสิริรุ่งโรจน์ก็มาถึงวัดแห่งนั้นและสามารถเรียกได้ว่า เป็นบ้านของพระเจ้า


กษัตริย์ซาโลมอน ระลึกถึงพระธรรมล้ำลึกนี้ในบทภาวนาที่พระวิหารกรุงเยรูซาเล็มว่า “ดูเถิด ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงที่สุดยังรับพระองค์อยู่ไม่ได้ พระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างขึ้น จะรับพระองค์ไม่ได้ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด” (1 Kings 8:27). ดังนั้น เมื่อเราฉลองความพิเศษของพระเจ้าในวัดแล้ว เราต้องคิดถึงตัวของเราเองที่ พระเจ้าทรงประทับอยู่ด้วย มิใช่คิดถึงแต่พระวิหารอย่างเดียว พระเจ้ายังคงอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่พระองค์เผยแสดงพระองค์เองในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ในบุคคลอื่นๆ ,สถานที่,และสิ่งต่างๆมากมาย วัดหรือวิหารก็เป็นรูปแบบหนึ่งในการประทับอยู่ของพระองค์


ในสมัยแรกเริ่มของพระศาสนจักร ผู้คนไปวัดกัน,มีส่วนร่วมในพิธีบ้าง,รับศีลมหาสนิท,และกลับบ้านโดยที่ไม่รู้ว่า คนที่นั่งอยู่ข้างๆในวัดแห่งนั้นเป็นใคร พิธีนั้นเลยดูเหมือนว่า เราลืมไปว่า จริงๆแล้วเราเป็นพี่น้องกัน เป็นพี่น้องชายหญิงในพระคริสตเจ้าและเรามานมัสการพระเจ้าในฐานะที่เราเป็นพี่เป็นน้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน


ดังนั้น สังคายนาวาติกันที่ 2 ได้เสนอการปรับเปลี่ยนพิธีกรรม โดยเฉพาะพระสงฆ์นั้นให้หันหน้ามาสู่ประชาชนในเวลาถวายมิสซาและมอบสันติสุขให้แก่กันและกันในมิสซา

ทุกวันนี้ คริสตชนบางคนหลงลืมไปว่า วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และต้องเคารพบุคคลอื่นๆ ที่มาร่วมในพิธีมิสซาด้วย คริสตชนบางคนก็ลืมไปว่า วัดเป็นสถานที่ประทับอยู่ของพระเจ้า เมื่อเข้ามาในวัดแล้วจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร? บางทีก็หลงลืมไป ยกตัวอย่างเช่น การแต่งตัวที่ไม่เหมาะสมกับการมาวัด,การไม่จุ่มน้ำเสกเวลาเข้าวัด,การไม่แสดงความเคารพต่อพระแท่นบูชาก่อนเข้าที่นั่งของตนหรือก่อนออกจากวัด , การคุยกันในวัด, โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ


พี่น้องครับ การขาดหายไปของสำนึกว่า วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วัดเป็นสถานที่นมัสการพระเจ้า อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บรรดาเยาวชนขาดความกระตือรือล้นไม่สนใจในการมาวัด,ไม่สนใจการภาวนาอีกต่อไป ถ้าพวกเขามาวัดและคิดว่า ก็แค่คนมานั่งรวมๆกัน ไม่มีอะไรน่าสนใจ น่าเบื่อ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามเราทุกคนตระหนักว่า วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ที่เราจะพบกับพระเจ้า พร้อมกับเพื่อนพี่น้องและด้วยตัวของเราเอง เราจึงพาตัวเองมาวัด มาทั้งกาย มาทั้งใจ เมื่อยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้าให้มากกว่าประสบการณ์ความรู้สึกเบื่อหน่ายในการมาวัด.


พี่น้องครับ วันนี้เราทำการฉลองการอภิเษกพระมหาวิหาร น.ยอห์น ลาเตรัน เชิญชวนเราให้ระลึกถึงความเชื่อของเราในบ้านของพระเจ้าในวัดของเรา บ้านแห่งการภาวนาและเปลี่ยนแปลงนิสัยพร้อมทั้งปฏิบัติตนเพื่อให้เราแต่ละคนสามารถพบกับพระเจ้าได้ง่ายขึ้น และพร้อมให้พระเจ้าทรงสามารถพบกับเราได้ง่ายขึ้นในทุกครั้งที่เรามาวัดเพื่อพบกับพระองค์


ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน.

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เปลี่ยนปัญหาเป็นปัญญา....โดย รินใจ







เปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา

รินใจ

"ปัญหา"เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากเลี่ยงหลีก แต่ไม่มีใครที่หนีมันพ้นได้ เพราะปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในเมื่อเราไม่มีวันหนีปัญหาพ้น จะไม่ดีกว่าหรือหากเราเตรียมใจให้พร้อมเพื่อต้อนรับมันอยู่เสมอ


การมองว่า "ปัญหา"เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น เช่นเดียวกับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์มากนัก แต่วิธีที่ดีกว่านั้นก็คือการเปลี่ยน "ปัญหา" ให้กลายเป็น "ปัญญา" เพราะนอกจากจะไม่ทุกข์หรือ "ขาดทุน"แล้ว ยังได้ประโยชน์เป็น "กำไร"กลับมาด้วย


ขอให้สังเกตคำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกัน


ปัญหาสามารถก่อให้เกิดปัญญาได้หากรู้จักมองหรือใคร่ครวญกับมัน นักเรียนจะเฉลียวฉลาดได้ก็เพราะหมั่นทำการบ้าน การบ้านนั้นคืออะไรหากไม่ใช่ปัญหาหรือโจทย์ที่ต้องขบคิด ถ้าครูไม่ขยันให้โจทย์หรือตั้งคำถามให้นักเรียนขบคิด นักเรียนก็ยากที่จะเกิดปัญญาได้


คนทั่วไปนั้นเมื่อเจอปัญหาก็จะเป็นทุกข์หรือกลัดกลุ้มไปกับมัน แต่ถ้าลองตั้งสติและพิจารณาให้ดี ปัญหาก็จะกลายเป็นปัญญาได้ไม่ยาก เมื่อ ๘๐ ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียไว้ในจานเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยเรื่องไข้หวัด วันหนึ่งเขาพบว่ามีเชื้อราเข้าไปปนเปื้อนและทำลายแบคทีเรียที่เพาะเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาต้องเพาะแบคทีเรียขึ้นใหม่


เจ้าเชื้อราตัวนี้สร้างปัญหาให้นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ แต่แทนที่จะโมโห เขากลับฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้ามันฆ่าแบคทีเรียที่เพาะในจานได้ มันก็ต้องกำจัดแบคทีเรียที่ในร่างกายคนได้เช่นกัน ปัญญาเกิดขึ้นแก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ทันที นำไปสู่การค้นพบเพนนิซิลินหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งในเวลาไม่นานสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้คืออเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่งนั่นเอง


โลกก้าวหน้าได้เพราะเรารู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา มองให้แคบลงมา ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากประสบวิกฤต บางคนเป็นโรคหัวใจเจียนตาย ภัยร้ายได้บังคับให้เขาต้องหันมาทบทวนชีวิตของตน และพบว่าการหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ตัดขาดจากผู้อื่น และจมอยู่กับความหดหู่เศร้าหมอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขามีอาการดังกล่าว เขาจึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เข้าหาผู้คน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น และปล่อยวางความกังวลหม่นหมอง ไม่นานสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เขายอมรับว่า การเป็นโรคหัวใจเป็นสิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขา


เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดี จะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด ไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน" ถ้ามองให้ดี ในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน


อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตช์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้นในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่ จะว่าไปแล้วปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให้เราคร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความไม่ทุกข์แฝงอยู่เสมอ ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins เด็กชายบรู๊ซ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว)ได้พลัดตกลงไปในหลุม เมื่อพ่อช่วยขึ้นมาแล้ว ได้ถามลูกว่า "รู้ไหมทำไมคนเราถึงหกล้ม?" ลูกนึกไม่ออก พ่อจึงเฉลยว่า "ก็เพื่อเราจะได้รู้วิธีลุกขึ้นมาไงล่ะ"


ความทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้นก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง



ขอขอบคุณ ที่มา ต้นเรื่อง http://www.budpage.com/ba186.shtml

ธรรมะสำหรับเด็กแนว...............หลวงพี่เอี้ยง วัดมะนาวหวาน....





คลิกที่รูปเพื่อดูรูปที่ใหญ่ จะได้อ่านง่ายๆ ครับ


พอดีไปเยี่ยมเวปของพี่น้องชาวพุทธ ได้เห็นการ์ตูนธรรมะ อ่านแล้วแนวดี....ฮิฮิ


เลยเอามาฝากกันครับ อ่านแล้วก็ได้แนวคิด แล้วเอามาประยุกต์กันดีกว่า ..........





ตอน ขอโทษ



http://www.budpage.com/



วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ส.17 เทศกาลธรรมดา ปี A

อ่านพระวาจาประจำสัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา ปี A คลิกที่นี่


สวัสดีพี่น้องที่รักทุกท่าน จากพระวาจา 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา อุปมาเรื่อง ผู้หว่าน, ข้าวสาลีและข้าวละมาน และบทสรุปในวันนี้คือ พระอาณาจักรของพระเจ้า คือ เป้าหมายของชีวิตเรา


บทอ่านที่ 1 เราได้ยินสิ่งที่กษัตริย์หนุ่มซาโลมอนวอนขอจากพระเจ้า สิ่งที่เขาขอนั้น ไม่ใช่ความร่ำรวย หรือความมั่นคง ชีวิตยืนยาวหรือชัยชนะเหนือศัตรู และที่สำคัญนั้น ซาโลมอนไม่ได้ขอเพื่อตนเอง แต่เพื่อรับใช้ประชากรของพระเจ้าตามพระประสงค์


สิ่งที่ท่านวอนขอคือ “ขอพระองค์ประทานความคิด ความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ เพื่อจะได้วินิจฉัยประชากรของพระองค์ เพื่อข้าพเจ้าจะได้แยกแยะความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่ว” ซาโลมอนได้ขอ “ปรีชาญาณ” จากพระเจ้า และพระเจ้าทรงตอบสนองซาโลมอน โดยทรงสัญญา
“เราให้เจ้ามีจิตใจที่ประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ จนไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า และไม่มีใครที่จะเกิดมาภายหน้าเจ้าเหมือนเจ้า”
ซึ่งความหมายของพระวาจาตอนนี้คือ พระเจ้าประทานความปรีชาสูงสุดให้แก่ซาโลมอน
ถ้าเราจะสรุป เราคงต้องยอมรับว่า “ความสามารถ ปรีชาญาณ การสามารถแยกแยะความดีจากความชั่ว” นั้น มาจากพระเจ้า พระเจ้าประทานปรีชาญาณนี้แก่ผู้ที่วอนขอไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อความดีงามของประชากรพระเจ้า


บทอ่านที่ 2 พระเจ้าเรียกเราทุกคนให้เป็น “บุตรของพระเจ้า” ดังนั้นเราจึงต้องเป็น “ผู้ชอบธรรม” ดังเช่นพระเจ้า เพราะเราได้รับพระลักษณะของพระเจ้าใน ชีวิตของเรา เราคือ “พระฉายา” ของพระเจ้า นั้นหมายความว่า เรามีสิริมงคลของพระเจ้า ชีวิตของเราจึงต้องเต็มไปด้วยความเหมือนพระเจ้า
นั่นคือ ความสามารถในแยกแยะความดีจากความชั่ว


พระวรสาร พระเจ้านั้นเป็นดังขุมทรัพย์ล้ำค่าสูงสุดที่เราต้องยอมละจากทุกสิ่ง ขายทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งพระลักษณะของพระเจ้า
“เมืองสวรรค์” ไข่มุกเม็ดงามที่สุด ที่ต้องยอมขายทุกอย่างเพื่อให้ได้มา หรือเหมือนอวนใหญ่ที่จับปลาทุกชนิดและสามารถแยกแยะปลาดีจากปลาที่ไม่ดี


จำเป็นเหลือเกินที่เราจะต้องมีความเข้าใจ และสามารถแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วอย่างแท้จริงไม่ใช่หรือ?
· เราเห็นข่าวดีแท้จริงคือ พระเจ้า พระลักษณะของพระเจ้า ความสามารถของพระเจ้าที่ซาโลมอนได้รับและความสามารถนั้น พระลักษณะนั้นที่เปาโลบอกว่า เราได้รับโดยทางศีลล้างบาป เราเป็นเหมือนพระคริสตเจ้า
· พระเยซูเจ้าตรัสข่าวดีแท้คือ ความสามารถของพระเจ้านั้นเอง การแยกแยะความดีจากความชั่ว และเรียกร้องให้ผู้ติดตามพระองค์ต้องเข้าใจ
· พี่น้องที่รัก นี่คือข่าวดีจากพระวาจาในวันนี้ ข่าวดีของพระเจ้าเราได้รับจากพระองค์ จากพระวรสาร เราซึมซับข่าวดีหรือคุณค่านี้ดีเพียงใด?
· ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นฉันใด เราในฐานะของบุตรพระเจ้า เราเองก็ย่อมต้องมีผลดี เหมือนกับภาพลักษณ์ของพระเจ้าฉันนั้น ซึ่งในผลนี้คือ การแยกแยะความดีจากความชั่วนั่นเอง
· และในชีวิตจริงของเรานั้น ความดีความชั่วที่เราพบประจำวัน เราแยกแยะออกไหม?
· เรากับพี่น้องของเรา กับคนในครอบครัวของเรา เราอยู่กันด้วยปรีชาญาณของพระเจ้าเพียงใด หรือเราอยู่กันด้วยตามใจเราเท่านั้น
· ขอให้พระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารเป็น “ปรีชาญาณ” ของเราเสมอไป ขอให้ขุมทรัพย์ของเราคือ พระคริสตเจ้าและพระวาจาของพระองค์เสมอไปเทอญ

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

หมายเหตุ อ้างอิงจากข้อคิดจากพระวาจาวันอาทิตย์ โดย คพ.สมเกียรติ ตรีนิกร * พระสงฆ์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ


วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต-------Dalai Lama



Dalai Lama

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอัน มหาศาลดุจกัน


2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน


3. จงปฏิบัติตาม 3Rs 3.1 เคารพตนเอง (Respect for self) 3.2 เคารพผู้อื่น (Respect for others) 3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)


4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์


5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม


6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ


7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข


8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน


9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป


10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด


11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง


12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต


13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต


14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ


15. จงสุภาพกับโลกใบนี้


16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง


17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่


18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ


19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

หมาขี้เรื้อน............................



หมาขี้เรื้อน- - -
ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอกยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อนเพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้วผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสานพระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลา นานเป็นแรมเดือน แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกันปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลงเห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จัก ใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชาครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูงมีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมดมองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตูนึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ
อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่างเห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัยรวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูกอีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วยท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคันแต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักทีเลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใด ไม่แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็น แล้วขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้นในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่น วายนึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดูยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเองเมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก
"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา" โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ???



***********************************************************

แม่สอนว่า..........






แม่สอนว่า..........

เพื่อน ๆ บอกผมว่าทำไมมึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด

แต่เรียนเก่งจังวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน


เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมพอมึงมีตังค์

มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น

ถึงเราจะมีตังค์น้อย แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา


เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมมึงชอบเล่นกีฬา

เล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก


เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี

ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน


เพื่อน ๆ ผมบอกว่าทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม

ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ เป็นเด็กเสริฟอาหารหรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษตังค์แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา


เพื่อน ๆ ผมบอกว่าทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ มึงตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้ ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้ เพื่อน ๆ ผมบอกว่าทำไมมึงถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะผมบอกเพื่อนว่า แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์แม่กูสอน ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่าคำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด


เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมากมายจังเลยวะ

ผมบอกเพื่อนว่า ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้

ก็เพราะ " แม่กูสอน" แม่กูสอนอะไร

กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่แม่กูไม่ได้สอน

แต่กูทำ แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้วแม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่

แต่......กูรักแม่ว่ะใครไม่รัก..................กูรัก



********************

คำคมจาก ขงเบ้ง - Forward Mail.....

คำคมจาก ขงเบ้ง


ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว 'ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน'


นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ


ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น


ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี


ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย


เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด
เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร


เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้ การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่


อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น


เมื่อนักการฑูตพูดว่า 'ใช่' เขามีความหมายว่า 'อาจจะ'
เมื่อนักการฑูตพูดว่า 'อาจจะ' เขามีความหมายว่า 'ไม่'
เมื่อนักการฑูตพูดว่า 'ไม่' เขาไม่ใช่นักการฑูต

(เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)



เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า 'ไม่' หล่อนมีความหมายว่า 'อาจจะ'
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า 'อาจจะ' หล่อนมีความหมายว่า 'ใช่ หรือ ได้'
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า 'ใช่ หรือ ได้'
หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี

(สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ)
55555555555++

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ส.16 เทศกาลธรรมดา ปี A - วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 2008

อ่านพระวาจาประจำสัปดาห์ คลิกที่นี่




สวัสดีพี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า

สัปดาห์นี้พระวาจาของพระเจ้าเป็นเรื่อง “ข้าวสองแบบที่ขึ้นปะปนกัน” นอกจากเรื่องนี้แล้ว พ่อยังเห็นว่า มีพระวาจาอีก 2 เรื่องที่มีความหมายใกล้เคียงกัน มาเปรียบเทียบในคราวเดียวให้พี่น้องเป็นข้อคิดสะกิดใจในสัปดาห์นี้
เรื่อง 1. ข้าวละมานกับข้าวสาลี
2.ชาวประมงที่จับปลาได้ คัดเลือกปลาดีและปลาเลวออกจากกัน
3.เรื่องต้นมะเดื่อที่ไร้ผล ปลูก 3 ปีไม่มีผล



พี่น้องครับ ข้าวละมานและอวนมีความหมายแบบเดียวกัน คือ ขณะที่เราเจริญชีวิตอยู่ในโลก พระเป็นเจ้าทรงปล่อยให้คนดี คนชั่วอยู่ปะปนกัน แบบนาข้าวสาลี มีข้าวละมาน(ข้าวป่า) ขึ้นแซมอยู่ ทำนองเดียวกัน อวนจับได้ทั้งปลาดีและปลาขี้ริ้ว ส่วนต้นมะเดื่อไร้ผล จะถูกโค่นเผาไฟ ถ้าไม่บังเกิดผล


พี่น้องครับ
· เนื้อเรื่องแรก กล่าวว่า เมืองสวรรค์เปรียบได้กับบุรุษที่เอาข้าวสาลีพันธ์ดีไปหว่านลงในนาข้าว ตกกลางคืนศัตรูผู้ริษยาก็เอาข้าวละมานมาหว่านทับลงไป เมื่อต้นข้าวเติบโตออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏออกมาด้วย ลูกจ้างจึงไปบอกนายและออกความเห็นว่า “จะถอนมันออกดีไหม?” นายตอบว่า “อย่าเลยเกรงว่า ขณะถอนข้าวละมาน ก็จะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย รอไว้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ให้ลงมือเกี่ยวข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แล้วเก็บเกี่ยวข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉาง”
· พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า “เมื่องสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนปากใหญ่ หย่อนลงในทะเล และติดปลาทุกชนิด เมื่อลากอวนถึงฝั่งแล้ว ชาวประมงจะเลือกปลาดีใส่เข่ง ส่วนปลาเลวก็ขว้างทิ้งไป
· ที่สุดพระองค์ตรัสถึงบุรุษผู้หนึ่งปลูกมะเดื่อไว้ในสวน 3 ปีแล้ว ที่เขาออกไปเก็บผล ก็ไม่พบเลย...เขาจึงพูดกับคนสวนว่า “ตัดมันทิ้งเสีย รกที่เปล่าๆ” แต่คนสวนตอบว่า “นายครับ ขอลองใส่ปุ๋ย ดายหญ้า พรวนดิน ดูอีกสักปี ...ถ้าปีหน้าไม่ออกผลอีก ก็ตัดทิ้งไปเถอะครับ”
พี่น้องครับ ถ้าเราหยุดพิจารณาดูรอบตัวเรา ก็จะพบทั้งคนดีและคนเลว แบบเดียวกับตามไร่ตามสวน มีต้นพืชผักผลไม้ที่ดีน่ารับประทาน แต่ก็ไม่วายมีหญ้ารกหนามร้ายคอยเบียดบังปะปนอยู่เสมอ... เราต้องหมั่นถางหมั่นดายหญ้าร้ายทิ้งฉันใด...เราก็พึงพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเสมอฉันนั้น



เราอยู่ในโลก ก็ต้องระมัดระวังคนชั่วคนพาล และอิทธิพลต่างๆของเขา คนชั่วนั้นบางทีปรากฏทีท่าน่าเคารพก็ได้ ที่เรียกว่า “หน้าซื่อใจคด” ดังนั้นตราบใดที่เรายังมองไม่เห็นในใจของกันและกัน ก็จำต้องอาศัยกาลเวลาพอสมควรเพื่อพิจารณาตัดสินจากพฤติกรรมของเขา


พี่น้องที่อ่านหนังสือพิมพ์, ฟังวิทยุ หรือดูรายการโทรทัศน์ ,อินเตอร์เน็ต อาจจะพบ หรือเห็นภาพอาชญากรรม ที่ท่านไม่เคยนึกฝันมากก่อนก็ได้ ยิ่งกว่านั้น มีคำกล่าวว่า “อาชญากรสำคัญๆนั้น มิใช่ชาวคุกทุกคนหรอกครับ...แต่ผู้ที่ยังลอยหน้าลอยตา มียศ มีเกียรติในสังคม ที่เราต้องโค้งคำนับ ยกมือไหว้นั่นแหละ อาจจะเป็นอาชญากรที่ยิ่งใหญ่กว่าเสียอีกก็ได้” พระเจ้าผู้เดียวทรงล่วงรู้สารพัด แม้ความคิดล้ำลึกในใจ พระองค์ผู้เดียวทรงพระยุติธรรมสูงสุด


พี่น้องครับ แต่พระเจ้าก็ทรงพระเมตตาเหลือล้น ทรงพากเพียรรอคอยคนบาปกลับใจ เวลาเจริญชีวิตในโลกนี้คือ “เวลาแห่งพระมหากรุณา” ชาวเราจงใช้วันเวลา อายุไม่มากนักนี้ ให้เป็นประโยชน์ที่สุด อย่าให้เป็นดั่งต้นมะเดื่อไร้ผล ที่เจ้าของคาดโทษ เตรียมจะโค่นเผาไฟเลย จงเปลี่ยนวิถีชีวิตของท่านในขณะที่ท่านยังอยู่ในเวลาแห่งพระมหากรุณาเถิด


สุขสันต์วันพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

คำแนะนำในการฟังเทศน์-55555555



เช้าวันอาทิตย์อีกแล้ว สัตบุรุษทั้งหลายพากันมาร่วมพิธีกรรมทางศาสนาทุกคนร่วมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันในมิสซาบูชาขอบพระคุณ แต่เราจะได้อะไรบ้างจากการร่วมพิธีนี้ หลายคนอาจจะตอบว่าได้รับศีลมหาสนิทซึ่งเป็นพระกายของพระเยซูเจ้า แต่นอกจากนี้แล้ว เรายังได้รับฟังคำเทศน์สั่งสอนของพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีด้วย พูดถึงเรื่องคำเทศน์สอนนี้แล้วนั้น พวกเราได้รับอย่างแน่นอน แต่เราสามารถนำไปใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์ได้มากสักเท่าใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรา ว่าต้องการคำเทศน์นั้นมากน้อยเพียงไรแต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า ในส่วนลึกๆ แล้วทุกคนก็อยากจะได้รับประโยชน์จากคำเทศน์นี้อยู่แล้ว ผมจึงขอนำเสนอวิธีการง่ายๆ ที่ควรพึงปฏิบัติในการฟังเทศน์มาแบ่งปันให้ทุกท่านได้ทราบกัน
1. พึงระลึกอยู่เสมอว่า การฟังพระวาจาของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็น จำไว้เถิดว่า สำหรับพระอาจารย์เจ้าแล้วพระวาจาเป็นสิ่งสำคัญ พระองค์เองไม่ได้เขียนอะไรเลย พระองค์ได้สั่งพวกอัครสาวก ไม่ใช่ให้เขียนแต่ให้สอนนักบุญเปาโลเขียนไว้ว่า “ความเชื่อมาจากการฟัง” ท่านบอกพวกเราว่าท่านไม่ได้ส่งมาเพื่อโปรดศีลล้างบาปแต่เพื่อประกาศพระวาจาของพระคริสตเจ้า และในปัจจุบันบนธรรมาสน์ พระสงฆ์ไม่ได้ทำอะไรนอกจากการเทศน์สอนเกี่ยวกับพระคริสตเจ้า ซึ่งได้มอบแก่เราโดยทางอัครสาวก ได้ยินด้วยหูของพวกเขาเอง นั่นก็หมายความว่าพระอาจารย์ของเราต้องการจะบอกบางอย่างกับ “ฉัน” โดยอาศัยเสียงของพระสงฆ์ และเราก็ควรกระหายที่จะรับฟังว่านั้นคืออะไร
2. สำรวมจิตใจก่อนการเทศน์จะเริ่มขึ้น ในการฟังเทศน์นั้นไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม การสำรวมเป็นการกระทำอันประเสริฐที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ ตามปกติแล้วนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พวกเขาจะทำสมาธิให้แน่วแน่ก่อนการแสดงชุดพิเศษ นักกรีฑาก่อนการแข่งขัน พวกเขาจะผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หายใจลึกๆ และหลับตาในทำนองเดียวกัน พวกเราก็ควรจะเตรียมจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่ผู้เทศน์กำลังพูด การภาวนาที่ร้อนรน วอนขอพระจิตเพื่อประทานความรัก การกระหายความถูกต้องและเที่ยงธรรมและความชื่นชมยินดีเสมอในความบรรเทาของพระองค์ ก็จะช่วยให้เราสามารถรับฟังข่าวสารจากพระเจ้า และบทภาวนาที่เร่าร้อนที่เราวอนขอพระเจ้าเพื่อผู้เทศน์ได้เป็นกระบอกเสียงที่ทรงประสิทธิภาพ ในการนำข่าวสารของพระเจ้ามาสู่ชาวเราควรเป็นสิ่งที่พึงกระทำ
3. มีความสนใจแน่วแน่ต่อบทเทศน์ หลายครั้งที่การเทศน์จบลงอย่างไม่เป็นท่า หรือเทศน์อย่างไม่น่าสนใจ เมื่อท่านต้องพบกับความวอกแวกที่น่ารำคาญ และใบหน้าที่แสดงถึงความเบื่อหน่ายของผู้ฟัง นักพูดคนใดก็ตามต่างก็พึงพอใจที่มีผู้ฟังจ้องมองเขาขณะที่พูดอย่างสนอกสนใจ จงพยายามทำให้ผู้เทศน์เกิดความประทับใจว่า คุณกระหายที่จะฟังสิ่งที่เขาจะพูดกับคุณอย่างจริงใจ
4. มีการตอบสนองต่อสิ่งที่เขากำลังพูด หลังจากสนทนาสองสามนาทีทางโทรศัพท์ คุณจะพบว่าไม่มีใครอยู่ใช่ไหม? เช่นเดียวกัน มันน่ารำคาญสำหรับพระสงฆ์ที่กำลังเทศน์ที่จะมองออกไปยังผู้คนเพียงเพื่อจะพบว่า ไม่มีใครฟังเขาอยู่เลย หรือก็แย่ไปกว่านั้น เพื่อที่จะดูว่าใบหน้าที่แสดงอาการเฉยเมยเหล่านั้นพูดว่า เขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ความพยายามแสดงความสุภาพ โดยให้ความสนใจต่อผู้พูดอย่างจริงจังและเต็มใจ เป็นวิธีการหนึ่งที่คุณทำได้ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของบทเทศน์
5. ประยุกต์ใช้สิ่งที่คุณรับฟังกับชีวิต ไม่มีใครที่ครบครันแล้ว เราทุกคนพบว่ามีส่วนต่างๆ ในชีวิตที่ควรปรับปรุงให้งดงามยิ่งขึ้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า และของมนุษย์ ถ้าเราผู้ฟังพระวาจาของพระเจ้า จะทุ่มเทพละกำลังในการประยุกต์ใช้บทเทศน์ เหมือนกับทีเราพยายามวิพากษ์วิจารณ์ผู้เทศน์แล้ว เราจะเป็นสุขมากเพียงใด
6. แสดงความชื่นชม การเทศน์เป็นงานที่โดดเดี่ยว ผู้เทศน์จะไม่หมดกำลังใจเลยหากเขาได้รับความชื่นชมจากผู้ฟังบ้าง ไม่ใช่การยกยอจนเกินไปหากแต่เป็นคำขอบคุณที่จริงใจต่อผู้เทศน์ สำหรับการเทศน์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เขาเทศน์อย่างเต็มที่ ไม่มีนักเทศน์คนใดที่จะปรับปรุงการเทศน์ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์ที่ร้ายกาจหรือสิ่งที่น่าหดหู่ ความไม่สนใจใยดี
7. เสนอแนะหัวข้อในการเทศน์ ไม่เป็นการลำบากที่จะหาหัวข้อในการเทศน์ แต่ปัญหาอยู่ที่การหาหัวข้อที่น่าสนใจจริงๆ และสอดคล้องกับกลุ่มผู้ฟัง ข้าพเจ้าจะมีความสุขมากเพียงใดถ้าหลังจากการเทศน์ตอนเช้า ข้าพเจ้าได้รับจดหมายเขียนว่า “คุณพ่อที่รักดิฉันได้รับฟังบทเทศน์ของคุณพ่อเรื่องการพลีกรรมในมิสซารอบ 10.30 เมื่อวานนี้ ดิฉันคิดว่ามีประโยชน์มากที่ได้ฟังคุณพ่อพูดถึง การยอมรับประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในชีวิตประจำวันด้วยความอดทน ปล่อยวางและอุทิศสิ่งเหล่านี้เพื่อผู้อื่นที่ต้อนทนทุกข์มากกว่าพวกเรา ดิฉันใคร่จะเสนอให้คุณพ่อเทศน์เกี่ยวกับ “การอดทนต่อลูกๆ ของพวกเรา” ในวันใดวันหนึ่งเร็วๆ นี้”ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดแทนพระสงฆ์คนอื่นได้ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าจดหมายเช่นนี้จะทำให้ข้าพเจ้ากระตือรือร้น ในความพยายามที่จะแสดงบนธรรมาสน์ถึงสิ่งที่สวยงามเพื่อพระเจ้า (และผู้ฟัง) ในครั้งต่อไป
8. เตรียมตัวล่วงหน้า ข้อเสนอแนะนี้น่าจะเหมาะกับผู้เทศน์มากกว่าผู้ฟัง แต่จำเป็นที่เราจะต้องเตรียมพร้อมก่อนการเทศน์ในสัปดาห์ต่อไป ฉันอาจถามผู้เทศน์ล่วงหน้าสักหนึ่งอาทิตย์เกี่ยวกับหัวข้อของบทเทศน์ของอาทิตย์ต่อไป ในระหว่างอาทิตย์นั้นฉันอาจพิจารณาไตร่ตรองเกี่ยวกับหัวข้อนั้นและเมื่อเวลาเทศน์มาถึง โดยธรรมชาติแล้วฉันก็อยากจะฟังในสิ่งที่ผู้เทศน์กำลังพูด ฉันคิดว่าฉันน่าจะตั้งใจฟังมากยิ่งขึ้น
9. ควรมีทัศนะที่ดีต่อผู้เทศน์ พระสงฆ์นั้นมีรูปร่างและหุ่นที่หลากหลายแตกต่างกันไป อีกทั้งสติปัญญาและน้ำเสียง การที่จะคอยให้ความสนใจนักพูดที่มีสุ้มเสียงแบบนักจัดรายการวิทยุนั้น ก็เท่ากับว่าคุณเกือบจะไม่ได้สนใจอะไรเลยเพราะพระสงฆ์ส่วนมากไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ สิ่งเดียวที่จะช่วยในการเข้าใจในขณะฟังเทศน์ก็คือ การใคร่ควรอย่างศรัทธา ถึงความคิดที่ผู้เทศน์กำลังเสนอ และปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาหล่อเลี้ยงวิญญาณของคุณนี่แหละเป็นสิ่งที่พระอาจารย์เจ้าได้เรียกร้องจากผู้ที่ติดตามพระองค์ พวกอัครสาวกไม่ได้ทำให้พวกต่างศาสนากลับเป็นคริสตชนเพราะความหล่อ หรือน้ำเสียงที่ชวนฝันของพวกเขา บางคนพูดถึงนักบุญเปโตรว่า เป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ งานของพระคริสตเจ้าสำเร็จลุล่วงไปโดยอาศัยการเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ร้อนรนในการประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้าแก่ผู้ฟัง
10. ให้การสนับสนุนในการจัดหาเครื่องขยายเสียงที่มีคุณภาพ ในยุคไฮไฟ และโลกของอีเล็กทรอนิกส์อย่างปัจจุบัน ไม่มีเหตุผลเลยที่พระสงฆ์จะต้องพยายามแหกปากร้อง เพื่อให้คนอื่นได้ยิน แต่ในโบสถ์คาทอลิกของเรายังมีไมโครโฟนถูกๆ ลำโพงที่ส่งเสียงน่ารำคาญ และเครื่องเสียงที่ด้อยคุณภาพอยู่มาก ข้าพเจ้าไม่อาจบรรยายความรู้สึกในธรรมาสน์ได้ เมื่อสามารถได้ยินเสียงของตนเองที่ดังออกมาและชัดเจนสิ่งนี้จะช่วยให้กำลังใจข้าพเจ้าที่จะพูดสิ่งใดก็ตามอย่างคุ้มค่า และด้วยความกระตือรือร้น
ให้เรามาเป็นผู้เชี่ยวชาญในศีลปะแห่งการฟังเถอะ


หมายเหตุ อ้างอิงจากหนังสืออิสระรายสัปดาห์

ส.15 เทศกาลธรรมดา ปี A - วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2008


บทเทศน์ ส.15 เทศกาลธรรมดา ปี A ชุด 1



****************************


สวัสดีพี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า
พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงสอนเราเรื่อง “ผู้หว่าน” ในขณะที่พระองค์ประทับนั่งอยู่ในเรือ พระองค์ทรงสอนประชาชนมากมาย และดูเหมือนภาพที่เราเห็นชัดคือ “ประชาชนมากมายพากันมาหาพระองค์” หมายความว่า พระวาจาของพระองค์คือ ความกระหายของประชาชนนั่นเอง


พี่น้องครับ สิ่งที่พระองค์ตรัสก็คือ อุปมาเรื่อง “ผู้หว่าน” พระวาจาของพระเจ้า คือพระประสงค์ของพระเจ้าจะต้องสำเร็จ และท่าทีที่สำคัญคือ ขึ้นอยู่กับท่าทีของผู้ฟังพระองค์
เมล็ดที่ตกตามทางเดิน , ตกในดินปนหิน , กอหนาม , เนื้อดินดี


พี่น้องครับ ท่าทีเหล่านี้ คือ อุปมาที่สอนให้เห็นถึงท่าทีของการฟังพระวาจาของพระเจ้า การฟังพระประสงค์ของพระเจ้า การที่จะเกิดผลนั้นก็ขึ้นกับชีวิตและท่าทีของผู้ฟังพระองค์ด้วยว่า จะต้องเป็นชนิดใด


พี่น้องครับ สำหรับผู้ที่เป็นเนื้อดินดี (ผู้ที่มีความสามารถในการกลับใจ) ก็เกิดผลตามความสามารถของตน ตามความเหมาะสมในการฟังพระเจ้า สรุปก็คือ พระวาจาของพระเจ้าต้องเกิดผลอย่างแน่นอน ท่าทีการตอบรับพระวาจาของพระเจ้านั้นดูเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการรับพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความเชื่อ วางใจในพระวาจาของพระองค์


พี่น้องครับ พ่อขอเชิญชวนพี่น้องให้รำพึงตามพ่อสักครู่หนึ่ง
· “พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของเราไหม”?
· ชีวิตของเราเหมือนแผ่นดินแห้งผาก คือ กระหายพระวาจาของพระเจ้าหรือไม่ หรือว่า ชุ่มชื้นเกินไป มีน้ำมากเกินไป แต่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า แต่เป็นน้ำใจของเราฝ่ายเดียวเล่า หรือเต็มไปด้วยกอหนามแห่งชีวิตด้านลบที่คอยกลบลบพระวาจาของพระเจ้า
· ในความลำบาก ความเจ็บปวด ชีวิตปัจจุบัน ดังเช่นเปาโลเน้น เราโดดเด่นในการเผชิญปัญหา ด้วยความเชื่อ การรอคอยพระเจ้า เราเพียรทนเพื่อให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จเพียงใดเล่า · วาจาของพระเจ้าจะต้องเกิดผลไม่ใช่หรือ พี่น้องที่รัก เราฟังพระวาจาของพระเจ้า คำเทศน์ทุกวันอาทิตย์ การอ่านพระวาจาของพระเจ้า เราเชื่อและร่วมมือเพื่อให้พระวาจานั้นเกิดผลเพียงใดในชีวิตของเราเล่า
· เรามีหูเพื่อฟัง ทุกวันเราฟังอะไร เรามีใจเพื่อเชื่อฟัง ทุกวันเราเชื่อฟังอะไร ใคร? ใช่พระเยซูเจ้าหรือไม่ ถ้าใช่ พระองค์สอนข้อสำคัญคือ “จงรักกันและกัน” ไม่ใช่หรือ พระวาจานี้เกิดผลจริงๆไหมในชีวิตเรา


พี่น้องที่รัก ที่สุดแล้ว พระวาจาของพระเจ้าจะไม่เกิดผลได้อย่างไรเล่า ขอพระวาจาเป็นดังสายฝนรดผืนดินแห่งวิญญาณจิตของเราเถิด ขออย่าให้ใจเราแห้งผากเกินไปหรือมีอุปสรรคใดๆต่อพระวาจาของพระเจ้าเลย

สุขสันต์วันพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

หมายเหตุ อ้างอิงจาก พระวาจาประจำสัปดาห์ โดย คพ.สมเกียรติ ตรีนิกร



วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ส.14 เทศกาลธรรมดา ปี A - วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2008










ส.14 เทศกาลธรรมดา ปี A





“ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน”





พี่น้องที่รักครับ ภาระหน้าที่ประจำวันของเราแต่ละคน เป็นเสมือน “แอก” ที่เราต้องแบกไว้ เป็นหน้าที่ที่เราต้องปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเราคริสตชนก็ดูเหมือนว่า มีหน้าที่อีกประการหนึ่งก็คือ การรับใช้พระเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์





พี่น้องครับ คำสัญญาที่พระเยซูบอกกับเราในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะเลิกแบกแอกของเรา เลิกปฏิบัติหน้าที่ของเราต่อพระเจ้า ต่อเพื่อนพี่น้อง วางลงแล้วไปอยู่กับพระเยซู แต่เป็นสิ่งที่พระเยซูสัญญากับเราว่า สิ่งต่างๆที่เป็นประสบการณ์แห่งความยากลำบากในวันนี้ พระองค์จะทำเปลี่ยนให้เป็นความหวานชื่นในการอยู่กับพระองค์





พี่น้องครับ พระเยซูบอกว่า “จงรับแอกของเราแบกไว้และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน” ดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อยที่ว่า เราทุกคนเองมีแอกอยู่แล้วที่ต้องแบกอย่างสาหัส และต้องมารับแอกที่พระเยซูจะมอบให้อีกอันหนึ่งใช่หรือไม่? พระเยซูไม่ได้หมายความอย่างนั้น พระองค์ต้องการให้เราวางภาระหนักต่างๆเหล่านั้นไว้ต่างหาก และรับมาเอาแอกของพระองค์ไว้ เพราะแอกของพระองค์นั้น “อ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา”





แล้วแอกของพระองค์เป็นอย่างไร? แอกของพระเยซูเจ้า ก็คือ บทสรุปของการเป็นคริสตชนของเรา ความรับผิดชอบและหน้าที่ของเรานั่นเอง ดังนั้น การแบกแอกของพระเยซูเจ้า ก็คือ การที่ตัวของเรา มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในฐานะของผู้รับใช้และยอมให้พระองค์ควบคุมชีวิตของเรา



ในสมัยของพระเยซู เวลาที่เขาจะใช้แอก เขาจะเอามันใส่ไว้ที่คอของสัตว์สองตัว เพื่อให้ทั้งสองตัวช่วยกันลากไป ไถนาไปด้วยกัน ดังนั้นมันจึงต้องมีลักษณะเป็นคู่เสมอ
พี่น้องครับ เมื่อพระเยซูเชิญเราให้มาแบกแอกของพระองค์ และเราจะให้ใครมาแบกแอกกับเรา มาเป็นคู่แบกของเรา




พี่น้องครับ คู่ของเราไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพระเยซูเจ้าเอง และในความเป็นจริง แอกนั้นเป็นของพระองค์ ไม่ใช่แอกของเรา แต่เป็นพระองค์เอง ที่เชิญเรามาแบกพร้อมกับพระองค์ แอกจึงต้องแบกกับพระองค์ แบกไปทางเดียวกับพระองค์ ไปมุมมองเดียวกับพระองค์ ผูกติดกับภารกิจของพระองค์ และเพื่อเราจะได้รู้ว่า เราไม่ได้แบกแอกนี้ตามลำพังหรือแค่พละกำลังของเราเองเท่านั้น แต่เราแบกแอกพร้อมกับพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งพละกำลังของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่า พระองค์ไม่ได้เป็นแค่ครูที่ให้การบ้านเราทำ แต่พระองค์เป็นเพื่อนที่ช่วยเราทำการบ้านนั้นๆด้วย



พี่น้องครับ เราต้องไม่ลืมว่า เรากำลังแบกแอกนั้นกับพระเยซูเจ้า ให้เรามีบทภาวนาในแต่ละวันของเราว่า “พระเจ้าข้า โปรดช่วยให้ลูกระลึกได้เสมอว่า ไม่ว่าจะพบเจอปัญหาใดใดในวันนี้ ลูกก็มั่นใจได้เสมอว่า ลูกจะมีพระองค์อยู่กับลูกเสมอ” และเมื่อเราได้ภาวนาดังนี้แล้ว แอกของพระองค์ก็อ่อนนุ่มและภาระที่มีก็เบายิ่งนัก


ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ส.12 เทศกาลธรรมดา ปี A - วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2551





พี่น้องครับ มีพระสงฆ์ท่านหนึ่งก็เดินทางไปเกาหลี ระหว่างที่กำลังอยู่ในหอประชุมแห่งหนึ่ง ก็ได้พบกับผู้หญิงที่กำลังถูกผีสิง และด้วยความกลัว พระสงฆ์ก็หลบไปอยู่ข้างนอก และคิดถึงพระสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ 2-3 คน เพื่อให้มาช่วยไล่ผีในตัวของผู้หญิงคนนั้น
หลังจากที่คิดไป 20 นาที พระสงฆ์ก็เดินกลับเข้าไป และในระหว่างที่เดินเข้าไปนั้น ก็ได้ยินเสียงเรียก เพื่อขอแก้บาป และเมื่อพระสงฆ์หันไป ก็พบผู้หญิงคนนั้นที่กำลังร้องขอการแก้บาปอยู่ ในคืนนั้นเอง พระสงฆ์องค์นั้นก็ได้รู้ว่า มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ที่ทำให้เขาเอาชนะความกลัวต่าง ๆ ในชีวิต ในจิตใจของเขาได้ และรู้ว่า เครื่องประกันความมั่นใจในชีวิตของเขาก็คือ การรู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่ข้างเราเสมอ


พี่น้องครับ เราทุกคนคงเคยที่จะมีความรู้สึก “กลัว” บางสิ่งบางอย่าง กลัวไม่มีคนรัก,กลัวการงานไม่ประสบความสำเร็จ, กลัวการสูญเสียทรัพย์สมบัติ,กลัวสอบตก ฯลฯ แต่วันนี้พระเยซูเจ้าได้กล่าวออกมาว่า “อย่ากลัว”

พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าทรงรู้ว่า ศิษย์ของพระองค์ , หมายถึงพวกเราที่นี้ด้วย จะประสบพบเจออะไรในชีวิต เราจะต้องเจอกับคนที่พูดสิ่งไม่จริง,คนโกง,คนเบียดเบียน,ลูก ๆ ของเราที่อาจดื้ออาจซนมาก จนไม่รู้จะทำอย่างไร, ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของศิษย์ของพระเยซูแน่นอน และตลอดการเดินทางในชีวิตนี้

พี่น้องครับ พระวาจาในวันนี้ เตือนเราว่า อย่าคิดหรือคาดหวังว่า สังคม,ชุมชน,หรือแม้แต่ครอบครัวของเราที่จะรับ “การสอนของพระเยซู” ด้วยหัวใจที่กว้างขวาง เราอาจพบคนที่หัวเราะเยาะเราเมื่อเราเลือกทำในสิ่งที่พระเยซูสอน และเราอาจถูกปฏิเสธ ตั้งแต่ในบ้านของเราเอง เราอาจต้องทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ และพระเยซูเจ้าทรงเห็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล่วงหน้า และเตือนพวกเราในวันนี้

พี่น้องครับ ความกลัวเป็นความรู้สึกที่เราคุ้นเคย เราทุกคนเคยกลัวกันทั้งนั้น และเกิดขึ้นบ่อยๆในชีวิตของเรา เวลาที่เราคิดได้ถึงเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา และเราให้พระมีส่วนในชีวิตของเราเพียงครึ่งเดียว

บางครั้งการที่เราแต่งตัวแบบนี้ ก็เพื่อเราจะได้ไม่โดนคนอื่นหัวเราะเยาะว่า ทำไมแต่งตัวเชยๆ, หรือบางทีเราก็เลือกทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมในชีวิต แม้ว่า เราเองก็รู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่ดีกว่า
บางที เรากลัวเสียเพื่อน ถ้าเรามาวัด ,หรือบางที เราก็ร่วมวงในการนินทาในเรื่องที่เราอาจรู้ความจริงเพียงนิดเดียว , หรือการปฏิเสธในการชวนไปกินดื่มหรือการเสพยาเสพติด ฯลฯ
พี่น้องครับ นี่คือชัยชนะของปีศาจ,ความชั่วร้าย ซึ่งทำให้คนดีดีอาจต้องอยู่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ เพราะเรากลัวการเยาะเย้ยจากผู้อื่น แต่สิ่งนี้กำลังทดสอบความซื่อสัตย์ของเราต่อพระเจ้าอย่างเงียบด้วย

พี่น้องครับ พ่ออยากจะบอกกับพี่น้องว่า ภารกิจของพระเยซู คือการประกาศให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงรักเรา และพระองค์ไม่ลดละในการทำหน้าที่นี้ และสำหรับเรา การติดตามพระเยซูแบบสองจิตสองใจ คงไม่ดีเท่าไร

และยิ่งถ้าในจิตใจในส่วนลึกของพี่น้อง มีความกลัว,ความไม่มั่นใจ เมื่อไรก็เมื่อนั้น พี่น้องต้องสวดภาวนาขอพระหรรษทานเพื่อให้เราเอาชนะความกลัวนี้ให้ได้

พี่น้องครับ ขอให้วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่พระวาจาของพระเจ้า ช่วยเพิ่มพูนความเชื่อและความมั่นใจของเราต่อพระเจ้าให้มากขึ้น เพื่อเราทุกคนจะได้หมั่นทำความดี เดินตามคำสอนของพระเยซูเจ้าทุกวันด้วยความมั่นใจ อย่ากลัวที่จะสวดภาวนา, อย่ากลัวที่จะทำความดี, อย่ากลัวที่จะเสียเวลาอยู่กับพระนาน ๆ ในมิสซา, ในการเฝ้าศีล ฯลฯ

และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิต พระเจ้าจะเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่ง เพราะโลกนี้เป็นของพระ พละกำลังของพระองค์และพระจิตเจ้าจะทำงานท่ามกลางโลกและเรามั่นใจได้เลยถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา และเมื่อเราสิ้นสุดการเดินทางในโลกนี้แล้ว พระเยซูเจ้าเองก็จะรับประกันชีวิตของเราต่อหน้าพระบิดาเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ส.11 เทศกาลธรรมดา ปี A - วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2551





สวัสดีพี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า

ในประเทศอิสราแอล มีทะเลสาบอยู่สองแห่ง นั่นคือ ทะเลสาบกาลิลีและทะเลตาย ทั้งสองทะเลสาบถูกหล่อเลี้ยงด้วยแม่น้ำสายเดียวกัน นั่นคือ แม่น้ำจอร์แดน แห่งหนึ่งเป็นน้ำสะอาด ดื่มกินได้ จับปลาได้ แต่อีกแห่งหนึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิต มีความเค็มสูง

พี่น้องครับ ถ้าทั้งสองแห่ง ถูกหล่อเลี้ยงด้วยแม่น้ำสายเดียวกัน ทำไมแห่งหนึ่งจึงมีน้ำสะอาด ดื่มกินได้ แต่อีกที่กลับเป็นทะเลแห่งความตาย? คำตอบก็คือ ทะเลสาบกาลิลีนั้นมีทางออก แต่ทะเลตายไม่มีทางออก
หรือหากเราเปรียบเทียบ ทะเลสาบกาลิลีนั้น รู้จักรับและรู้จักให้(น้ำ) ในขณะที่ทะเลตายนั้น รับอย่างเดียว และไม่ให้ผู้ใด นอกจากระเหยไปเปล่าๆ

พี่น้องครับ การให้และการรับ ทำให้เรามีชีวิตและให้ชีวิต การรับที่ปราศจากการให้ก็ทำให้เราอยู่นิ่ง ๆและตาย

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าสอนบรรดาศิษย์ว่า ภารกิจที่พวกเขาต้องทำก็คือ “การให้” ให้ในสิ่งที่พวกเขาได้รับจากพระองค์ “เมื่อท่านได้รับมาเปล่าๆ ก็จงให้ไปเปล่า” และหากเราซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ทำได้เช่นนี้ พระอาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงเราแล้ว และกลายเป็นจริงในชีวิตของเรา เพราะเราได้ตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้รับจากพระเจ้า

พี่น้องครับ ในความเป็นจริงแล้ว การเป็นคริสตชนนั้นเป็นชีวิตที่ต้องสำนึกเสมอถึง “การรับ” และ “การคืน” ให้กับพระเจ้า แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ เรามักจะตั้งใจที่จะรับ มากกว่าที่จะคืนให้กับพระเจ้า
เราได้รับ พระหรรษทานแห่งความเชื่อ, เรารับพระวาจาของพระเจ้า,เรารับการอภัยจากพระเจ้า, รับศีลศักดิ์สิทธิ์ ,รับชีวิตใหม่ในพระจิตเจ้า แต่ภารกิจที่สมบูรณ์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราแบ่งปันพระพรที่เราได้รับนี้ ให้กับผู้อื่นด้วย ถ้าเรายังไม่ได้ทำ เราก็คงเหมือนกับทะเลตาย ที่มีแต่รับ ไม่มีการให้
พี่น้องครับ พระเยซูทรงเรียกบรรดาศิษย์และมอบหมายภารกิจให้กับพวกเขา โดยมีเป้าประสงค์ 2 อย่าง 1.ให้พวกเขาอยู่กับพระองค์ เรียนรู้จากพระองค์, เพื่อรับพระหรรษทานและการอวยพร 2.เพื่อที่พวกเขาจะถูกส่งไปประกาศข่าวดี เป็นการแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จากผู้อื่น รับจากพระเยซูและให้กับพี่น้อง
พี่น้องครับ พระวรสารในวันนี้บอกว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ส่งบรรดาศิษย์ของพระองค์ไปมือเปล่า พระองค์รู้ว่า พวกศิษย์และพวกเราทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ จะต้องเจอกับพวกนักกฏหมาย , ผู้มีอำนาจและจิตชั่วต่างๆในโลก ดังนั้น พระองค์จึงได้มอบพลังให้กับมนุษย์ทุกคนและการท้าทายที่เราจะต้องพบในโลกปัจจุบัน ในงานประกาศข่าวดีของพระเจ้าด้วยสันติและความรัก

พี่น้องครับ อาจมีคนถามว่า แล้วเราจะเริ่มอย่างไร? พระเยซูเจ้าสั่งให้ศิษย์เริ่มต้นที่ “ลูกแกะที่หายไป” เริ่มจากคนคุ้นเคย ฯลฯ และสำหรับพ่อ พ่ออยากให้เราเริ่มที่บ้าน สถานที่แรกที่เราเริ่มต้นชีวิต จึงเป็นที่เหมาะสมสำหรับความอบอุ่นของสมาชิกทุกคนในครอบครัวและในเขตวัดของเรา และนั่นคือหนทางในการส่งต่อความเชื่อของเรา ความเชื่อที่เราได้รับจากพระเจ้า และนี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เรามีชีวิตและสดชื่น เหมือนกับทะเลสาบแห่งชีวิตที่ชื่อ ทะเลสาบกาลิลี
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2551

ส.5 เทศกาลปัสกา ปี A







อาทิตย์ที่ 20 เมษายน ค.ศ.2008


เด็กชายคนหนึ่งอายุ 5 ขวบ อยู่ในครัวกับแม่ของเขาที่กำลังเตรียมทำกับข้าว แม่จึงบอกให้เขาไปหยิบของที่ห้องใต้ดิน เด็กชายคนนั้นจึงบอกว่า “แม่ครับ ข้างล่างมันมืดมากเลยนะครับ และผมก็กลัวมากด้วย” แม่ก็ย้ำอีกว่า ไม่เป็นไรลูกไม่ต้องกลัวปลอดภัยแน่นอน” แต่ก็ไม่สำเร็จเด็กน้อยก็ไม่ยอมไป ที่สุดแม่ก็บอกว่า “เอาหละลูก พระเยซูจะอยู่กับลูกนะ” เด็กน้อยจึงเดินไปที่ประตูและเปิดประตูช้าๆ มองเข้าไปก็เห็นว่ามันมืดมากก็ไม่กล้าเข้าไป เด็กน้อยเกิดความคิดบางอย่าง จึงตะโกนเข้าไปในความมืดนั้นว่า “พระเยซูครับ ถ้าพระองค์อยู่ในนั้น ช่วยกรุณาส่งของมาให้ผมด้วยครับ ขอบคุณครับ”


ความกลัวของเด็กน้อยคนนี้ คล้ายกับความกลัวของบรรดาศิษย์ของพระเยซูในเวลาที่พระเยซูกำลังจะจากพวกเขาไป พวกเขากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับโลกเพียงลำพัง ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูได้พยายามทำเหมือนกับแม่ของเด็กน้อยคนนั้นได้ทำ คือ อย่ากลัวเลย แม้ว่า พระองค์จะไม่อยู่ที่นั่น กับพวกเขาก็ตาม
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ใจของท่านทั้งหลาย จงอย่าหวั่นไหวเลย” (John 14:1a). ศิษย์ของพระเยซูเกิดความกลัว และพระเยซูทรงปลอบโยน ให้กำลังใจพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเอาชนะความหวาดกลัว พร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า


เหตุผลที่พระเยซูเจ้าบอกก็คือ “ถ้าท่านเชื่อในพระเจ้า ท่านก็เชื่อในเราด้วย”(14:1b). เป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อในพระเจ้า พระองค์เป็นจิตซึ่งเรามองไม่เห็น แต่สิ่งที่ท้าทายมากกว่านั้นก็คือ การเชื่อในสิ่งที่มองเห็นได้ ในแบบธรรมดาๆ มีเนื้อมีหนัง ซึ่งเราทุกคนรู้กันอยู่แล้ว สิ่งที่ท้าทายมากกว่านั้นคือ การเชื่อในการบังเกิด การรับเอากาย ความรัก พละกำลังของพระเจ้า ที่ปรากฏมาในตัวของมนุษย์ซึ่งบางครั้งก็อ่อนแอ ซึ่งขาดความรัก,ความรู้, ขาดคุณธรรมจริยธรรมที่ดี ที่แข็งแรง นี่คือความท้าทายที่เราต้องเชื่อในตัวของมนุษย์หรือ? พี่น้องเชื่อในพระเจ้า (ง่ายมาก) พี่น้องเชื่อในพระเยซู มนุษย์คนหนึ่ง(นี่คือส่วนที่ยากกว่า)


ศิษย์ของพระเยซูมองเห็นพระเจ้าในตัวของพระเยซู ตราบเท่าที่พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา พวกเขาไม่กลัว แต่พวกเขาไม่เห็นพระเจ้าในเพื่อนพี่น้อง เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน มีความอ่อนแอ ต้องตายเหมือนกัน


ศิษย์ของพระองค์แยกพระเยซูออกไปอยู่ต่างหาก พวกเขาแยกพระองค์ออกจากมนุษย์ทั่วไป พระเยซูพยายามบอกพวกเขาว่า ถ้าพระเจ้าทำงานของพระองค์ผ่านทางพระเยซู พระเจ้าเองก็จะทำงานผ่านทางมนุษย์คนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน


พระเยซูวางพระองค์เองอยู่ในระดับเดียวกันกับมนุษย์ทั่วไป เพื่อให้พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าสามารถใช้พวกเขา เพื่องานของพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน พระองค์บอกว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วยและจะกระทำกิจการที่ใหญ่กว่านั่นอีก เพราะเรากำลังไปเฝ้าพระบิดา” (verse 12).


วันนี้ พวกเราบางคนอาจเหมือนฟิลิป คำภาวนาที่เราสวดอาจเป็นดังนี้ “พระเจ้าข้าโปรดทำให้เราเห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว”(verse 8). โปรดแสดงให้เราเห็นพระเจ้าในพระศาสนจักรด้วยเถิด โปรดแสดงให้เราเห็นพระเจ้าที่กำลังมีส่วนในเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกนี้ด้วยเถิด คำตอบของพระเยซูคืออะไร ? “ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราดำรงอยู่พระบิดา?'


พี่น้องครับ เมื่อเราเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักร หรือในโลกของเรา ซึ่งอาจไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เราจึงไม่ควรต่อว่าพระเจ้าว่า พระองค์ไปอยู่ที่ไหน ทำไมพระองค์ละทิ้งพวกเรา แต่ตรงกันข้าม พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอ แต่สิ่งที่เราควรถามกับตัวเองก็คือ “ทำไมพวกเราไม่พบกับพระองค์?” ทำอย่างไรเราจึงจะกลับมาเดินในหนทางของพระองค์ได้อีก พระเจ้ากำลังตรัสอะไรกับเรากับชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตเรา? อย่าให้ใจของพวกเราวุ่นวายเลย เราเชื่อในพระเจ้า ให้เราเชื่อในตัวของเพื่อนมนุษย์ชายหญิง ซึ่งถูกสร้างให้มีความเหมือนกับพระเจ้า .


ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน