
อาทิตย์ที่ 20 เมษายน ค.ศ.2008
เด็กชายคนหนึ่งอายุ 5 ขวบ อยู่ในครัวกับแม่ของเขาที่กำลังเตรียมทำกับข้าว แม่จึงบอกให้เขาไปหยิบของที่ห้องใต้ดิน เด็กชายคนนั้นจึงบอกว่า “แม่ครับ ข้างล่างมันมืดมากเลยนะครับ และผมก็กลัวมากด้วย” แม่ก็ย้ำอีกว่า ไม่เป็นไรลูกไม่ต้องกลัวปลอดภัยแน่นอน” แต่ก็ไม่สำเร็จเด็กน้อยก็ไม่ยอมไป ที่สุดแม่ก็บอกว่า “เอาหละลูก พระเยซูจะอยู่กับลูกนะ” เด็กน้อยจึงเดินไปที่ประตูและเปิดประตูช้าๆ มองเข้าไปก็เห็นว่ามันมืดมากก็ไม่กล้าเข้าไป เด็กน้อยเกิดความคิดบางอย่าง จึงตะโกนเข้าไปในความมืดนั้นว่า “พระเยซูครับ ถ้าพระองค์อยู่ในนั้น ช่วยกรุณาส่งของมาให้ผมด้วยครับ ขอบคุณครับ”
ความกลัวของเด็กน้อยคนนี้ คล้ายกับความกลัวของบรรดาศิษย์ของพระเยซูในเวลาที่พระเยซูกำลังจะจากพวกเขาไป พวกเขากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับโลกเพียงลำพัง ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูได้พยายามทำเหมือนกับแม่ของเด็กน้อยคนนั้นได้ทำ คือ อย่ากลัวเลย แม้ว่า พระองค์จะไม่อยู่ที่นั่น กับพวกเขาก็ตาม
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ใจของท่านทั้งหลาย จงอย่าหวั่นไหวเลย” (John 14:1a). ศิษย์ของพระเยซูเกิดความกลัว และพระเยซูทรงปลอบโยน ให้กำลังใจพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเอาชนะความหวาดกลัว พร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า
เหตุผลที่พระเยซูเจ้าบอกก็คือ “ถ้าท่านเชื่อในพระเจ้า ท่านก็เชื่อในเราด้วย”(14:1b). เป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อในพระเจ้า พระองค์เป็นจิตซึ่งเรามองไม่เห็น แต่สิ่งที่ท้าทายมากกว่านั้นก็คือ การเชื่อในสิ่งที่มองเห็นได้ ในแบบธรรมดาๆ มีเนื้อมีหนัง ซึ่งเราทุกคนรู้กันอยู่แล้ว สิ่งที่ท้าทายมากกว่านั้นคือ การเชื่อในการบังเกิด การรับเอากาย ความรัก พละกำลังของพระเจ้า ที่ปรากฏมาในตัวของมนุษย์ซึ่งบางครั้งก็อ่อนแอ ซึ่งขาดความรัก,ความรู้, ขาดคุณธรรมจริยธรรมที่ดี ที่แข็งแรง นี่คือความท้าทายที่เราต้องเชื่อในตัวของมนุษย์หรือ? พี่น้องเชื่อในพระเจ้า (ง่ายมาก) พี่น้องเชื่อในพระเยซู มนุษย์คนหนึ่ง(นี่คือส่วนที่ยากกว่า)
ศิษย์ของพระเยซูมองเห็นพระเจ้าในตัวของพระเยซู ตราบเท่าที่พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา พวกเขาไม่กลัว แต่พวกเขาไม่เห็นพระเจ้าในเพื่อนพี่น้อง เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน มีความอ่อนแอ ต้องตายเหมือนกัน
ศิษย์ของพระองค์แยกพระเยซูออกไปอยู่ต่างหาก พวกเขาแยกพระองค์ออกจากมนุษย์ทั่วไป พระเยซูพยายามบอกพวกเขาว่า ถ้าพระเจ้าทำงานของพระองค์ผ่านทางพระเยซู พระเจ้าเองก็จะทำงานผ่านทางมนุษย์คนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
พระเยซูวางพระองค์เองอยู่ในระดับเดียวกันกับมนุษย์ทั่วไป เพื่อให้พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าสามารถใช้พวกเขา เพื่องานของพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน พระองค์บอกว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วยและจะกระทำกิจการที่ใหญ่กว่านั่นอีก เพราะเรากำลังไปเฝ้าพระบิดา” (verse 12).
วันนี้ พวกเราบางคนอาจเหมือนฟิลิป คำภาวนาที่เราสวดอาจเป็นดังนี้ “พระเจ้าข้าโปรดทำให้เราเห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว”(verse 8). โปรดแสดงให้เราเห็นพระเจ้าในพระศาสนจักรด้วยเถิด โปรดแสดงให้เราเห็นพระเจ้าที่กำลังมีส่วนในเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกนี้ด้วยเถิด คำตอบของพระเยซูคืออะไร ? “ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราดำรงอยู่พระบิดา?'
พี่น้องครับ เมื่อเราเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักร หรือในโลกของเรา ซึ่งอาจไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เราจึงไม่ควรต่อว่าพระเจ้าว่า พระองค์ไปอยู่ที่ไหน ทำไมพระองค์ละทิ้งพวกเรา แต่ตรงกันข้าม พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอ แต่สิ่งที่เราควรถามกับตัวเองก็คือ “ทำไมพวกเราไม่พบกับพระองค์?” ทำอย่างไรเราจึงจะกลับมาเดินในหนทางของพระองค์ได้อีก พระเจ้ากำลังตรัสอะไรกับเรากับชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตเรา? อย่าให้ใจของพวกเราวุ่นวายเลย เราเชื่อในพระเจ้า ให้เราเชื่อในตัวของเพื่อนมนุษย์ชายหญิง ซึ่งถูกสร้างให้มีความเหมือนกับพระเจ้า .
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน
2 ความคิดเห็น:
บางครั้งลูกเองก็เหมือนเด็กน้อยคนนั้น คงต้องอ่านบทเทศน์นี้หลายๆครั้งไว้เตือนใจ
ลูกได้อ่านบทเทศน์พ่อแล้ว ลูกอาจเป็นเหมือนเด็กน้อยในบ้างครั้งของชีวิต ขอบคุณนะค่ะ ที่ให้ความคิดกระจ่างในการดำเนินชีวิต
แสดงความคิดเห็น