วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน ค.ศ.2008





ส.3 เทศกาลปัสกา ปี A


พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า มีนักท่องเที่ยวอเมริกันผู้หนึ่ง ได้ไปเยี่ยมรับไบชาวโปแลนด์ซึ่งมีชื่อเสียงมาก ชื่อว่า คาอิม เมื่อเขาเข้าไปในบ้านของรับใบ ก็รู้สึกประหลาดใจมากเพราะในบ้านนั้นมีแต่เพียงชั้นวางหนังสือ, โต๊ะ+เก้าอี้ว่างๆ เขาจึงถามรับใบว่า “รับใบ เฟอร์นิเจอร์ในบ้านท่านไปไหนหมดซะหล่ะ” รับใบตอบว่า “และคุณหล่ะ , เฟอร์นิเจอร์ของคุณอยู่ไหน?” “ของผมรึ” นักท่องเที่ยวงงงง “รับใบครับ ผมเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่นะคร้าบ ผมแค่ผ่านมาเท่านั้น” รับใบตอบว่า “ผมก็เหมือนกัน”


พ่อเริ่มต้นเล่าเรื่องนี้ในวันนี้ ก็เพื่อนำไปสู่การแบ่งปัน ที่พ่อนำมาจากบทอ่านที่ 2 จากจดหมาย น.เปโตร ฉบับที่ 1 ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อให้กำลังใจต่อบรรดาคริสตชนที่กำลังถูกเบียดเบียน เพราะได้เชื่อในพระเยซูเจ้า เปโตรต้องการให้คริสตชนมั่นคงในความเชื่อในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก


แต่ข้อความของ น.เปโตร ไม่ใช่มอบให้กับชาวยิวเท่านั้น แต่สำหรับคริสตชนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วย นั่นหมายถึงพวกเราทุกคนด้วย พ่อเชิญชวนให้ฟังประโยคสำคัญนี้พร้อมกัน
“ถ้าท่านเรียกพระองค์ผู้พิพากษาตามการกระทำของแต่ละคนโดยไม่ลำเอียงว่า “พระบิดา” ก็จงดำเนินชีวิตขณะที่อยู่ในต่างแดนนี้ด้วยความเคารพยำเกรงพระองค์”


พี่น้องครับ ความเชื่อกับชีวิตประจำวันนั้น เปรียบเหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน ความเชื่อที่ไม่มีผลต่อชีวิตก็เป็นความเชื่อที่ไม่มีประโยชน์ พี่น้องลองคิดดูเล่น ๆ ว่า เราเป็นคริสตตังค์ มีความเชื่อ เริ่มต้นจากศีลล้างบาป เติบโต แต่บอกว่าไม่อยากปฏิบัติชีวิตคริสตชน และชีวิตที่ไม่เดินตามความเชื่อ ก็เป็นชีวิตที่หาความจริงไม่ได้


น.เปโตร เตือนเราที่กำลังอยู่ต่างแดน เพราะท่านได้สำนึกว่า โลกนี้ไม่ใช่บ้านแท้ของเรา เราดำเนินชีวิตในโลกนี้ ก็เพื่อกลับไปสู่บ้านแท้ซึ่งมีพระบิดาของเราอยู่ที่นั่น


พระเจ้าไม่ทรงตัดสินเรา เพราะเราเป็นชนชาติอะไร, เรามีเงินมากแค่ไหน, สถานะทางสังคมเป็นอย่างไร, ศาสนาอะไร, แต่ตัดสินตามการกระทำของเรา ดังนั้น เราจึงต้องเอาความเชื่อและการปฏิบัติ ไปควบคู่กัน
ถ้าหากเราแปลประโยคต่างๆ เหล่านี้ให้เข้ากับชีวิตของเรา จิตใจของเราต้องบอกว่า เพราะการดำเนินชีวิตในโลกนี้เป็นการอยู่ต่างถิ่น (ถูกเนรเทศ) พระเจ้าที่เรานมัสการนี้เป็น บิดาแห่งพระเมตตา แต่ พระองค์ก็ทรงตัดสินอย่างยุติธรรมด้วยเช่นกัน เราจึงควรดำเนินชีวิตนี้โดยเกรงกลัวต่อพระเจ้า ความเกรงกลัวนี้ต้องเป็นลักษณะที่เราเคารพยำเกรง เกรงอกเกรงใจด้วยความรักและเคารพ เพราะไม่ต้องการให้พระขุ่นเคืองพระทัย ไม่ใช่กลัวการลงโทษ


พี่น้องคงได้รับชมการถ่ายทอดพิธีมิสซาปลงศพของสมเด็จพระสันตะปาปา เราคงมีความรู้สึกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดพิธี บทเพลง บุคคลสำคัญต่าง ๆที่มาร่วมในพิธี ผู้คนมากมายหลายล้านคนทั่วโลกที่จับตาดูพิธี


สิ่งที่พ่อประทับใจที่สุดในพิธีวันนั้นก็คือ โลงศพ โลงไม้ธรรมดา เรียบง่าย ธรรมดาที่สุด แต่บ่งบอกถึงสัจธรรมและความเรียบง่ายของพระองค์ได้อย่างครบถ้วน ไม่มีดอกไม้วางข้างโลง บนโลง หน้าโลง ฯลฯ มีแต่ความเรียบง่าย ที่สะท้อนให้เห็นว่า บุคคลที่อยู่ในนั้น ต้องการให้โลกเป็นอย่างไร สงบ ราบเรียบ สันติสุข


ความเชื่อของพระสันตะปาปา แสดงออกมาในกิจการของพระองค์ มิใช่เพียงพระองค์มีตำแหน่งเป็นพระสงฆ์ พระสันตะปาปา แต่เป็นสิ่งที่พระองค์ทำตั้งแต่เกิดมาได้รับศีลล้างบาป สิ่งที่พระองค์ได้ทำ ก็คือ นำความรัก, สันติสุข , ความหวังให้กับทุกคน ให้ทุกคนมีความสุขต่อไป ไม่ต้องเสียใจ แต่ให้มีความหวังว่า วันหนึ่งหากเราได้ปฏิบัติชีวิตในความเชื่อเช่นเดียวกับพระองค์ท่านแล้ว เราก็จะได้รับการตัดสินด้วยพระเมตตาและพระยุติธรรมของพระเจ้า เช่นเดียวกับพระองค์ท่านด้วย


ขอให้เราทุกคนตระหนักว่า ชีวิตของเราทุกคนเป็นการเดินทางแสวงบุญในโลกนี้ เพราะทรัพย์สมบัติที่แท้จริง คือพระอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง


ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ลูกชอบบทเทศน์นี้มากเลยคุณพ่อ

Cat Lim กล่าวว่า...

ไม่ได้มาอ่านหลายอาทิตย์ แต่เมื่อได้อ่านแล้วก้อได้ข้อคิดทุกครั้ง ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ