วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ส.3 เทศกาลเตรียมรับเสด็จฯ ปี C - 13-12-2009




Don't Worry Be Happy?


1. สวัสดีพี่น้องที่รัก ในบทอ่านที่สองในวันนี้ น.เปาโลให้มุมมองที่สำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะสามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตของเราได้ "พี่น้อง จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด”(ฟป.4:4) และ "อย่ากระวนกระวายใจถึงสิ่งใดเลย”.(ฟป.4:6) ความหมายคล้ายๆกับเพลงฮิตของ Bobby Mcferin ที่ชื่อว่า, Don't Worry Be Happy?

2. แม้ว่าเราจะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยของเล่นมากมาย , ความสะดวกสบายต่างๆมากมาย แต่มีผู้คนเป็นจำนวนมากที่มีความรู้สึกว่า เขาขาดประสบการณ์แห่งสันติสุขที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขา ตรงกันข้าม เขากลับมีแต่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความกังวลใจในเรื่องต่างๆและความวิตกกังวลมากมาย ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหา อย่างกับเพลงของ บอบบี้ ได้บอกว่า
“อย่าไปกังวลในเรื่องใดใด จงมีความสุขเถิด”
• ทุกชีวิตมีปัญหา เมื่อเรากังวล เราก็ทำให้มันเพิ่มเป็นสองเท่า ฉะนั้น อย่ากังวลเลย จงมีความสุขเถิด
• ถ้าหากเธอไม่มีที่จะหนุนศีรษะนอน มีคนมาขโมยที่นอนของเธอไป จงอย่ากังวลเลย จงมีความสุขเถิด

3. พี่น้องครับ ทั้ง น.เปาโล และบ๊อบบี้ มีสิ่งที่แตกต่างกันก็คือ บ๊อบบี้บอกเราว่า อย่ากังวลเลย จงมีความสุขเถิด แต่ไม่ได้บอกเราว่า ทำไมเราต้องมีความสุข หรือ การไม่ต้องกังวลนั้นสำคัญอย่างไร? ตรงกันข้าม น.เปาโล บอกเราในวันนี้ ว่า ทำไมเราจึงต้องมีความสุข และ เราจะลบล้างความกังวลต่างๆให้หมดไปได้อย่างไร น.เปาโลได้ให้กุญแจที่จะไขไปสู่ความสุขนั้นแก่เราทุกคน.

4. ในส่วนแรกของบทอ่านในวันนี้ บอกกับเราว่า ทำไมเราจึงต้องมีความสุขและละทิ้งความกังวลใจทั้งหลาย "จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด, ข้าพเจ้าขอย้ำอีกว่า จงให้ความอ่อนโยนของท่านทั้งหลายปรากฏแก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว” (4:4-5). เราควรจะมีความสุขมิใช่เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดีชีวิตเราโอเคแล้ว , มิใช่เพราะสุขภาพเราดี ,ฐานะการเงินของเราดี, มิใช่เพราะมีคนเอาของขวัญคริสตมาสกล่องใหญ่ๆ มาให้เรา แต่เป็นการที่เรารู้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว”

5. เราควรที่จะมีความสุข มิใช่เพราะสิ่งที่เราเห็นผ่านมาในอดีต หรือสิ่งที่เราเห็นเฉพาะในวันนี้ แต่เพราะสิ่งที่เราเชื่อว่ากำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต นั่นคือ ความสุขซึ่งมาจากความเชื่อที่ผลิบานและ ความหวังว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเสด็จมาเช็ดคราบน้ำตาของทุกดวงตาที่กำลังร้องให้

6. ชายคนหนึ่ง ป่วยเป็นโรคลูคีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว ก่อนที่ชายคนนี้จะตาย 1 สัปดาห์ ชายคนนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “ทำไมต้องเป็นผม? ผมไม่เคยสูบบุหรี่, หรือแตะต้องแอลกอฮอล์เลยตลอดชีวิต ผมรู้จักคนหลายคนที่ทั้งดื่มและสูบ และดำเนินชีวิตแบบผิดๆ แต่พวกเขาก็ไม่เป็นมะเร็งเลยสักคน แล้วทำไมต้องเป็นผมด้วย"

7. ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้ แต่ น.เปาโล ก็ย้ำเตือนเราในวันนี้ว่า การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะเป็น ความสุขสำหรับผู้ที่เชื่อและมีความหวังในพระองค์

8. ทำไม น.เปาโล จึงบอกเช่นนั้น หากเราศึกษาชีวิตของท่าน เราก็จะรู้ว่า ทำไมท่านจึงเขียนเช่นนั้น เพราะ น.เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้จากในคุก เป็นนักโทษ อยู่ในที่ที่ท่านก็ไม่รู้ว่า จะได้ออกไปจากคุกหรือเปล่า หรือจะมีชีวิตรอดออกไปหรือไม่ ท่านไม่ได้สอนเราด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ท่านสอนเราด้วยชีวิตของท่านเอง "จงชื่นชมยินดีเถิด จงให้ความอ่อนโยนของท่านทั้งหลาย ปรากฏแก่คนทั้งปวงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว”

9. น.เปาโลบอกว่า "อย่ากระวนกระวายถึงสิ่งใดเลย จงทูลขอพระเจ้าให้ทรงทราบ โดยคำอธิษฐาน การวอนขอ พร้อมด้วยการขอบพระคุณ" (4:6) ในทุกสถานการณ์,ในทุกๆ ความยากลำบากหรือปัญหาใดใด น.เปาโลรู้ว่า มีสิ่งหนึ่งที่เราควรทำมากกว่า ความกระวนกระวายก็คือ การยกสิ่งต่างๆ มอบให้กับพระเจ้าในคำภาวนา น.เปาโล ไม่ได้ขอให้เราปฏิเสธปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิต แต่ขอให้เราตั้งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา ด้วยการสวดภาวนา เปลี่ยนความกังวลนั้นเป็นคำภาวนา

10. นั่นหมายถึงการทีเราสามารถ มีชีวิตที่เป็นสุขได้ สุขสันติในพระเจ้า ซึ่งคนรอบข้างเราไม่เข้าใจ "แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินสติปัญญาจะเข้าใจได้นั้น จะคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเยซู" (4:7). เป็นสันติสุขที่พระเจ้าประทานให้ สันติสุขที่ไม่เหมือนกับที่โลกให้ และเราทุกคน เรียนรู้ที่จะวางใจในพระองค์ในทุกสิ่งและทุกๆ สถานการณ์ของชีวิต เราเรียนรู้ที่จะนำทุกสิ่งถวายแด่พระเจ้าในคำภาวนาของเรา

11. ไม่ว่าในเวลานี้ เราจะพบกับอุปสรรคและปัญหาที่ใหญ่โตเพียงใด เราก็ภาวนาด้วยความร่าเริงยินดีและด้วยความมั่นใจเช่นเดียวกับ นักโทษเปาโลในเวลานั้นที่ภาวนาว่า “เชิญเสด็จมาเถิด พระเยซูเจ้าข้า”

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน .....

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ส.2 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี C - 06-12-2009




สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
พระสงฆ์บวชใหม่องค์หนึ่งถูกส่งไปทำงานเพื่อเป็นปลัดของพระสงฆ์อาวุโสที่วัดแห่งหนึ่ง พระสงฆ์หนุ่มก็เข้าไปขอคำแนะนำ พระสงฆ์หนุ่มถามว่า “พ่อครับ ผมจะต้องเทศน์เกี่ยวกับเรื่องอะไรดีครับ?” พระสงฆ์อาวุโสตอบว่า “ให้เทศน์แค่สิบนาทีพอ”
หลายปีผ่านไป ก็มีพระสงฆ์อีกองค์หนึ่งไปทำงานที่ประเทศฝรั่งเศสในช่วงฤดูร้อน ก็ได้รับคำแนะนำจากพระสงฆ์อาวุโสที่นั่นว่า ให้เทศน์และทำมิสซาให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะคนที่มาวัดเขาไม่ชอบเสียเวลานานๆในวัด พระสงฆ์องค์นั้นก็ทำตามด้วยดี
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดเรื่องประหลาดใจ เมื่อมีวงขับร้องประสานเสียงจากประเทศอังกฤษมาแสดงผลงานเพลง “แมสไซยาห์” ของแฮนเดิล โดยวงนั้นมาขับร้องในวัด และใช้เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง ทุกคนในวัดก็ยังปรบมือขอให้วงขับร้องนั้น ร้องเพลงต่อไป
พระสงฆ์องค์นั้นบอกว่า ไม่เคยเห็นสัตบุรุษมีความชื่นชมยินดีขนาดนี้มาก่อนในวัดแห่งนั้น ไม่เคยเห็นความกระตือรือร้นเช่นนั้นมาก่อนเลย พระสงฆ์หนุ่มก็เลยถามพระสงฆ์อาวุโสว่า “ทำไมสัตบุรุษสามารถที่จะนั่งในสถานที่เดียวกันได้ถึงสามชั่วโมง เพื่อฟังด้วยความยินดีกับวงขับร้องประสานเสียง แต่ไม่สามารถนั่งในที่เดียวกันเดียวกัน เมื่อเขาฟังพระวาจาของพระเจ้าในมิสซา?” และไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้

พระสงฆ์หนุ่มนั้นก็ได้แต่คิด แต่ก็ได้คำตอบในอีกหลายปีต่อมาจากเพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์ในโรงเรียนสอนเรื่องการแพร่ธรรม สิ่งที่ทำให้พระสงฆ์หนุ่มนั้น เข้าใจในบัดเดี๋ยวนั้นก็คือ เพื่อนของเขาบอกว่า สัตบุรุษนั้นจำเป็นต้องมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้าในชีวิตของเขาก่อน ก่อนที่เขาจะได้ฟังพระวาจาของพระเจ้า เขาถึงจะฟังพระวาจาของพระเจ้าด้วยความยินดี
เพื่อนเขาบอกอีกว่า การประกาศพระวาจาของพระเจ้าให้กับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า คนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ก็เหมือนกับการอ่านบทกลอน บทกวีให้กับคนที่ไม่ซาบซึ้งหรือไม่รู้จักบทกวีว่าเป็นอย่างไรนั่นเอง เพราะพวกเขาก็จะเบื่อง่ายและต้องการที่จะรีบๆ ออกจากวัดไป

พี่น้องครับ ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรที่เราจะเปลี่ยนความน่าเบื่อที่จะฟังพระวาจาของพระองค์ ให้เป็นความชื่นชมยินดีและความกระตือรือร้นได้ วันนี้ น.ยอห์น บัปติส เป็นตัวอย่างสำหรับเราแล้วในวันนี้

เมื่อเราอ่านพระวาจาในวันนี้ "พระวจนะของพระเจ้ามาถึง ยอห์น บุตรของเศคาริยาห์ ในถิ่นทุรกันดาร เขาจึงไปทั่วแม่น้ำจอร์แดน เทศน์สอนเรื่องพิธีล้างซึ่งแสดงการเป็นทุกข์กลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยบาป” (ลก 3:2-3).
ในพระวาจาสั้นๆ ที่พ่ออ่านให้ฟังนี้ เราพบสามขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับใครก็ตามที่ต้องการจะมีความกระตือรือร้นในความเชื่อสามขั้นตอนนั้นคือ
1. ยอห์นไปที่ทะเลทราย
2.พระวาจาของพระเจ้ามาถึงยอห์น
3.ยอห์นออกจากทะเลทรายและไปประกาศความเชื่อของเขา เราจึงมาปรับชีวิตของเราให้มีชีวิตชีวาด้วย 3 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 เราต้องไปทะเลทราย , ทะเลทรายเป็นสถานที่ซึ่งเราจะได้อยู่ตามลำพังกับพระเจ้า เราไปทะเลทรายเพื่อออกจากภารกิจการงานปกติ และละทิ้งงานทุกอย่างไว้เพื่อไปอยู่กับพระเจ้าในวัด , ในการสวดภาวนา และอ่านพระวาจาของพระองค์ ทะเลทรายคือที่ที่เราจะได้พบกับพระเจ้า เราต้องเริ่มด้วยขั้นที่ 1 นี้ก่อนเพื่อจะได้ไปหาพระเจ้าได้ (ทะเลทรายนี้น่าจะหมายถึงสถานที่เงียบๆ สงบๆ ที่เราจะได้สวด อ่านพระคัมภีร์ ได้อย่างดีและสงบเพื่อฟังเสียงของพระเจ้า..ผู้แปล)
ขั้นที่ 2 - พระวาจาของพระเจ้ามาถึงเรา เมื่อเราเปิดใจให้กับพระเจ้าในทะเลทราย พระองค์เองก็มาหาเราและเติมเต็มชีวิตให้เรา นักบุญท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อเราเริ่มขั้นที่ 1 พระเจ้าจะทรงเริ่มขั้นที่ 2 กับเรา ขั้นนี้ พระเจ้าทรงเริ่มมาหาเรา เติมเต็มให้เรา ฟื้นฟูชีวิตของเรา เปลี่ยนแปลงเรา เพื่อให้เรามีส่วนละม้ายคล้ายคลึงพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก ขั้นนี้บางคนบอกว่า ได้เกิดใหม่อีกครั้ง เมื่อเราสัมผัสพระเจ้าได้เช่นนี้ เราจึงอยากจะสวดภาวนาทั้งวันในวัด อ่านพระคัมภีร์ทั้งวัน แต่เช่นเดียวกับยอห์น เราเองก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ของเราในครอบครัวและในสังคม
ขั้นที่ 3 - เราออกไปประกาศความเชื่อ เมื่อเรามีประสบการณ์กับความดีงามของพระเจ้าในชีวิตของเรา เราก็ออกไปเพื่อแบ่งปันประสบการณ์นั้นให้กับผู้อื่น เหมือนกับถ้าเรามีเสื้อตัวหนึ่งที่ สกรีนตัวอักษรติดเอาไว้ว่า “ว้าว, พระเจ้านั้นสุดยอด” คนที่มองดูเราก็เห็นความชื่นชมยินดี สันติสุขจากเรา และบางทีเขาก็อาจจะได้รับความยินดีเช่นเดียวกับเรา เขาอาจจะอยากเป็นเพื่อนกับเรา และเมื่อเราสามารถช่วยเขาเหล่านั้นให้เห็นหนทางของพระเจ้าได้ ให้เขาได้มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระองค์ได้ แต่บางทีเขาก็อาจไม่เข้าใจ จนกว่าเขาจะมีประสบการณ์นี้ด้วยตนเอง
พี่น้องครับ ให้เราภาวนาในวันนี้ว่า “พระเจ้าทรงพละกำลังและเปี่ยมด้วยพระเมตตา โปรดเปิดใจของเราให้ต้อนรับพระองค์ โปรดขจัดสิ่งที่ขัดขวางเราไม่ให้ยอมรับพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดีด้วยเถิด”
ในโอกาสเทศกาลเตรียมรับเสด็จนี้ ขอให้เป็นขั้นแรกที่เราจะมีที่ว่างในใจสำหรับพระเจ้า ให้เวลาสำหรับการมาวัด เพื่อภาวนา และฟังพระวาจาของพระองค์ด้วยเทอญ

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ส.1 เื๋ทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี C - 28-11-2009





สวัสดีพี่น้องที่รัก
1. หากเราสังเกตุดูประวัติศาสตร์การเขียนพระวรสารของ น.มารโก และ น.ลูกา ถ้าเราสังเกตดูดีดีก็จะพบว่า เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว เนื้อหาของพระวรสาร จาก น.มารโก ก็คล้ายๆ กับพระวรสารของ น.ลูกาในวันนี้ นั่นเป็นเพราะว่า น.ลูกานั้น เขียนพระวรสารหลังจาก น.มารโกได้เขียนพระวรสารไปแล้ว จึงเดาได้ว่า น.ลูกา ได้รู้จักสิ่งที่ น.มารโกได้เขียนแล้ว ท่านก็เลยได้เพิ่มเติมเนื้อหาใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้าไป เพราะท่านได้อยู่ในสถานการณ์ที่ชาวยิวกำลังประสบพบเจอ
2. ภายหลังจากที่พระเยซูเจ้าได้สิ้นพระชนม์ และกลับคืนชีพแล้ว วันเวลาก็ล่วงผ่านและอิสราเอลในเวลานั้นถูกปกครองโดยจักรวรรดิ์โรมัน ก็ได้ถูกทำลายลง พระวิหารก็ถูกทำลายไปด้วย จึงทำให้เกิดวิกฤตแห่งความเชื่อ เพราะเวลานั้นทุกคนคาดหวังว่า จะถึงเวลาสิ้นโลก แต่มันก็ไม่สิ้นโลก หลายๆ ก็เลยเลิกเชื่อเรื่องการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระเยซูเจ้า พวกนี้ก็เลยหันไปหาความพึงพอใจฝ่ายโลก เช่น กินดื่มเมามาย และก็ประพฤติผิดในด้านศีลธรรมต่างๆ เพื่อสนองความต้องการของตนเอง
3. น.ลูกา จึงได้เพิ่มเติมเนื้อหาสำคัญไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งยังคงเตือนใจเราทุกคนในวันนี้ด้วยว่า “จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง ความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้ มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลัน”
4. เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า เป็นเวลาแห่งการเตรียมพร้อมรับการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระคริสตเจ้า โดยทั่วไปเราเข้าใจกันว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาในวันสุดท้าย(วันสิ้นโลก) และในการฉลองการบังเกิดของพระองค์ ซึ่งทำให้เราระลึกถึงเหตุการณ์การบังเกิดของพระเยซูเจ้าเมื่อ 2000 ปีที่แล้ว
5. นอกจากนั้น ในวันนี้ พระวรสารของ น.ลูกาในวันนี้ ยังย้ำเตือนให้เราคิดถึงเสด็จมาอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเราอาจจะลืมไป นั่นคือ การที่พระองค์เสด็จมาในเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของเรา ในผู้คนมากมายรอบตัวเรา
6. น.ลูกาได้เน้นย้ำว่า เราควรจะต้องเฝ้าระวังชีวิตของเรา และเตรียมต้อนรับพระเยซูคริสตเจ้า ซึ่งมาหาเราโดยไม่มีการบอกหรือเตือนว่า พระองค์จะเสด็จมาเมื่อไร พระองค์อาจจะมาในรูปแบบของบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา , พระองค์อาจมาในรูปแบบของสถานการณ์ต่างๆ ในเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า พระองค์จะมาเมื่อใด
7. พี่น้องครับ ถ้าหากว่าเรากำลังเตรียมต้อนรับการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระคริสตเจ้าด้วยการมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พระวาจาในวันนี้ก็เชิญชวนเราให้มองออกไป ให้มองออกไปในเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเราและระลึกว่า พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาให้รูปแบบที่เราคาดไม่ถึงเลย
8. การเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าปีแล้วปีเล่า มิใช่เป็นเพียงการระลึกถึงการเสด็จมาครั้งแรกเมื่อ 2000 กว่าปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการที่เราจะต้องฝึกซ้อมการรับเสด็จพระคริสตเจ้า ผู้ที่เสด็จมาพบปะกับเราในลักษณะต่างๆ เช่น ผ่านทางศีลมหาสนิท และพระวาจาของพระองค์ ซึ่งเท่ากับเป็นการเตรียมตัวรับพระองค์ ผ็ที่จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
9. ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สมโภชพระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล- 22-11-2009



นี่หรือคือกษัตริย์ของเรา

สวัสดีพี่น้องที่รักทุกท่าน

• วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีพิธีกรรม พระศาสนจักรได้นำพระวาจาของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์มาให้เรารำพึงถึงเรื่องราวชีวิตของพระเยซู ภาพที่พระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้า ปีลาโต ที่พยายามปรักปรำพระองค์ให้ทรงรับข้อหาการเป็นกษัตริย์

• พระเยซูเจ้าทรงยอมรับว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ แต่มิใช่กษัตริย์ของโลกนี้ ชีวิตของพระองค์มิได้จำกัดอยู่แค่ในโลกนี้ พระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองจิตวิญญาณของประชาชน ปกครองด้วยความจริงและความรัก พระองค์ทรงสัมผัสจิตใจของเราแต่ละคนและรับประกันว่า ผู้ที่ดำเนินชีวิตในหนทางของพระองค์จะได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นรางวัล

• ภารกิจของพระองค์ในโลกนี้คือ การประกาศข่าวดีว่า พระเจ้าทรงพระกรุณานับเราเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รับรองเราว่า เป็นลูกของพระองค์และมองดูเราว่า เรามีความภักดีต่อพระองค์อย่างไร?

• พี่น้องครับ การดำเนินชีวิตของเรานี่แหละ เป็นวิธีการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้แสดงออกด้วยการรับใช้เพื่อนพี่น้อง , การให้อภัยต่อกัน , การแสดงความรักต่อกัน ,และการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับคนยากจน และในชีวิตของพระองค์ในโลกนี้ พระองค์ได้แสดงให้เห็นว่า เราต้องนำสิ่งเหล่านี้มาปฏิบัติเพื่อให้เกิดคุณค่าในชีวิต
• พ่อได้มีโอกาสอ่านหนังสือรวมประวัตินักบุญของคณะเยซูอิต ทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจในชีวิตของบรรดานักบุญ ที่มีความกล้าหาญ, เสียสละชีวิต ติดตามพระเยซูเจ้าด้วยชีวิต และยอมมอบชีวิตของตนเองเพื่อประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า สิ่งที่สังเกตก็คือ ไม่มีใครอยู่เฉยๆแล้วได้เป็นนักบุญ

• ทำให้เราได้รู้ว่า หากเราจะพบกับพระเจ้าจริงๆ เราต้องออกแรงและแสวงหาทุกวิถีทางที่จะได้พบกับพระองค์

• พี่น้องครับ ในโอกาสที่เราทำการฉลองพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล (สามเหลี่ยม) เป็นโอกาสดีที่เราจะทบทวน “คุณภาพของการเป็นคริสตชน” ว่าเราเป็นคริสตชนในระดับไหนในทางความเชื่อและชีวิตที่ปฏิบัติ เราได้ทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้าเกิดขึ้นในจิตใจของเราและในชุมชมของเราหรือยัง? พระเยซูเรียกร้องเราให้เอาชนะสัญชาตญาณพื้นฐานของชีวิต ในเรื่อง ความเห็นแก่ตัว, ความขมขื่น , ความหยิ่งยะโส เพื่อเป็นประกันว่า เราจะดำเนินชีวิตในภารกิจของพระองค์เช่นเดียวกัน เพราะโลกนี้เป็นของพระองค์ แม้ว่าทุกวันนี้เราอาจไม่คิดเช่นนั้น

• เป็นเวลาที่ดี ที่เราจะต้องตระหนักว่า พระเยซูเจ้า ทรงเป็น หนทาง ที่จะต้องอาศัยความพยายามที่จะเอาชนะ ลักษณะต่างๆ ของโลก ซึ่งไม่ง่ายที่จะเอาชนะได้ และไม่อาจตอบคำถามทุกคำถามหรือแก้ปัญหาทุกๆ ปัญหาในชีวิตของเราได้

• ในเวลาที่ ปีลาโตเผชิญหน้ากับพระเยซู ปีลาโตกำลังถูกกดดันจากฟารีสีและประชาชน, ตกอยู่ภายใต้ความกดดัน, ตัดสินใจไม่ถูก, มีความกังวลที่จะแก้ปัญหาต่างๆให้ได้ ปีลาโตเชื่อว่า พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการเสียหน้า ปีลาโตล้มเหลวในการเดินตามมโนธรรมของตนเองและทำการล้างมือต่อหน้าประชาชน

• เรื่องเหล่านี้ก็คล้ายๆ ชีวิตของเราหลายๆคน เราก็ล้างมือของเราจากความรับผิดชอบในชีวิตคริสตชน จากชีวิตครอบครัว, ในที่ทำงาน หรือในระหว่างเพื่อนบ้านของเรา

• พี่น้องครับ การดำเนินชีวิตในคุณค่าแบบพระเยซูเจ้านั้น แน่นอนว่า เราจะถูกต่อต้าน เพราะเรากำลังทำสิ่งที่ตรงข้ามกับที่โลกและสังคมกำลังสอนเรา เราต้องไม่คาดหวังว่า เราจะพบเจอสิ่งที่ง่ายๆ ในชีวิต ถ้าหากเรากำลังเดินและทำในสิ่งที่เรากำลังเชื่อถึงอยู่นี้
• กางเขนและความทุกข์ทรมาน เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราเช่นเดียวกับที่ พระเยซูทรงรับไว้เพราะนั่นคือ พระประสงค์ของพระบิดาเจ้า

• ดังนั้นขอให้การฉลองในวันนี้เชิญชวนเราให้ มีที่ว่างในหัวใจของเราเพื่อที่จะเลียบแบบอย่างชีวิตของพระเยซู แม้ว่าเราจะไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับพระองค์ก็ตาม

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ส.33 เทศกาลธรรมดา ปี B - 15-11-2009



1. สวัสดีพี่น้องที่รัก ตอนนี้ที่แม่สอด อากาศตอนเช้าก็เริ่มหนาวแล้ว เป็นเครื่องหมายถึงการสิ้นสุดฤดูอื่นๆ และเข้าสู่ปลายปีพิธีกรรม ทุกๆ เดือนพฤศจิกายน พระศาสนจักรเชิญชวนเราให้หยุดคิดและไตร่ตรองชีวิตอย่างจริงจัง พระศาสนจักรเตือนใจเราด้วยเรื่องของ วันสิ้นโลก, การพิพากษาครั้งสุดท้ายและการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระเยซูในพระสิริรุ่งโรจน์

2. เมื่อพี่น้องได้ฟังพระวรสารในวันนี้แล้ว อาจมีความรู้สึกว่า เหตุการณ์ที่พระเยซูทรงบอกในวันนี้นั้น น่ากลัว แต่พระวรสารในวันนี้ไม่ได้ต้องการให้เรากลัว หรือตกใจ แต่ให้ “กำลังใจ” และ “ปลอบโยน” รวมถึงให้ความหวังเราในการต่อสู้กับชีวิตที่ยากลำบาก
3. สิ่งที่เป็นหัวใจของพระวรสารในวันนี้ก็คือ ความรักของพระเจ้าจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างเหนืออำนาจที่ชั่วร้ายและจะเติมเต็มสิ่งที่ถูกต้อง พระเจ้าทรงอยู่ข้างเราและจะมองดูเราผ่านทางปัญหาต่างๆ ในชีวิตปัจจุบันของเรา

4. พี่น้องครับ เราดำเนินชีวิตในโลกนี้ เราก็มีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป เราอยากมีความสุข, มีชีวิตที่ดี, มีครอบครัวที่อบอุ่น ฯลฯ แต่ก็จะถึงวันหนึ่งที่เราจะจากโลกนี้ไป มันจะถึงวันสิ้นสุดของชีวิตของเราบนโลกนี้ ซึ่งเป็นสัจธรรมที่ไม่มีใครหนีมันพ้นไปได้ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เราก็จะไปพบกับพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า ตามความเชื่อที่พระศาสนจักรสอนเรา

5. พี่น้องครับ มีที่ที่หนึ่งที่ทุกวันนี้เราไม่ค่อยพูดถึงกัน ก็คือ นรก เป็นเหมือนคำต้องห้ามและไม่มีใครอยากพูดอยากไป แต่เป็นไปได้ว่า ถ้าหากชีวิตของเราประสบปัญหาต่างๆ,ความยากลำบากและเราไม่พึ่งพระเยซู เราทิ้งพระองค์ไปและในวันสุดท้าย เราไม่ถูกเรียกเข้าไปอยู่กับพระองค์ในวันสุดท้าย นรกนั้นอาจหมายถึง การแยกจากกันนิรันดรจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก, ความบรรเทา และอยู่ห่างไกลจากพระเมตตาของพระองค์ คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดและเป็นการละทิ้งโอกาสของเรา ด้วยการปฏิเสธพระเมตตาของพระองค์

6. พี่น้องครับ แต่มีสิ่งหนึ่งก็คือ พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างเรามาก็จริง แต่พระองค์เคารพต่ออิสระภาพของเรา หมายความว่า พระองค์ให้เราเลือกเอาเองว่า เราจะดำเนินชีวิตนี้อย่างไร? จะมาหาพระองค์ก็ได้ ไม่มาก็ได้ แต่ถ้าหากในวันสุดท้ายที่พระเยซูเจ้าทรงเสด็จมา เราได้ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ มันก็ขึ้นอยู่ว่า เราดำเนินชีวิตในปัจจุบันนี้อย่างไร

7. พี่น้องครับ สมัยก่อนนี้มีเพลงๆ ที่เราร้องในพิธีมิสซาปลงศพ แต่ปัจจุบันเราไม่ร้องเพลงนี้กันแล้ว นั่นคือ เพลงที่เวลาร้องแล้วจะลงท้ายด้วยคำว่า “ประพฤติอย่างไร สิ้นใจอย่างนั้น” ก็คงจะเตือนใจอะไรบางอย่างให้กับเราได้ แต่คงไม่ใช่การบอกว่า คนที่ตายนั้นที่ตายเพราะอะไร แต่เตือนคนที่ยังอยู่ว่า ให้ดำเนินชีวิตของตนให้ดีดี เพื่อจะได้รับเรียกให้อยู่ต่อหน้าพระคริสตเจ้าในวันที่พระองค์เสด็จกลับมา

8. พี่น้องครับ พระคริสตเจ้าเสด็จมายังเราทุกวัน ด้วยการมอบชีวิตพระองค์เอง ให้ชีวิต,คำสอน,พระวาจา และชวนให้เราเลือกข้างเดียวกับพระองค์ ถ้าพี่น้องมีพระเจ้าในใจ ไปไหนก็มีพระเจ้า สวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราแล้ว

9. ในโอกาสที่เรากำลังสิ้นปีของพระศาสนจักร และจะสิ้นปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่ พ่อเชิญชวนเรา ให้หาเวลาเงียบๆ รำพึงภาวนา ,ไตร่ตรองถึงชีวิตของเราแต่ละคน, ฟังเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับเรา แต่บางครั้งเราไม่ได้ฟัง หรือไม่ยอมที่จะฟัง เพื่อเราจะได้มองดูว่า ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร ยังสนิทแน่นแฟ้นกันดี หรือยิ่งวันยิ่งห่างกันไป แล้วเราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไรต่อไป ก็ขอพละกำลังจากพระองค์ เพื่อให้เราได้เจริญชีวิตอย่างรู้ว่า วันหนึ่งเราต้องไปอยู่ต่อหน้าพระองค์ และเมื่อเราแต่ละคนได้ตระหนักแล้วว่า วันหนึ่งเราต้องจากโลกนี้ไป เราก็พร้อมที่จะตอบกับพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้าข้า ลูกพร้อมแล้ว”

10. ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ส.32 เทศกาลธรรมดา ปี B -08-11-2009




• พี่น้องครับ วันนี้พระเยซูเจ้ากำลังบอกเล่าเรื่องราวของหญิงม่ายคนหนึ่งกับเงินจำนวนน้อยนิด แต่สิ่งที่ทำให้ การให้ของหญิงม่ายคนนี้มีคุณค่าและมีความสำคัญนั้น มิใช่เรื่องของจำนวน แต่เป็นเรื่องของหัวใจและการเสียสละที่เธอแสดงออกมา

• พี่น้องครับ ในสายตาของคนที่ผ่านไปมา การทำทานของหญิงม่ายคนนี้ดูเหมือนเป็นสิ่งต่ำต้อยด้อยค่า แต่ในสายตาของพระเจ้าเธอได้ทำสิ่งที่พระเจ้าทรงโปรดปรานมากที่สุด เพราะหลังจากที่หญิงม่ายคนนี้ได้หย่อนเงินลงไปแล้ว เธอสามารถพูดได้เต็มปากว่า “นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ลูกทำได้ เพราะลูกได้ให้ทั้งหมดที่มีแล้ว” สิ่งที่ทำให้เธอชนะใจก็คือ เธอไม่เก็บอะไรไว้เป็นของเธอเองเลย เธอให้เงินทั้งหมดที่เธอมี หรือในอีกความหมายหนึ่ง เธอได้ถวายชีวิตทั้งหมดของเธอให้กับพระเจ้า

• พี่น้องครับ เหตุการณ์ธรรมดาๆที่เกิดขึ้นนอกพระวิหารนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ควรจดจำ เพราะว่า มันแสดงให้เราเห็นถึงความตั้งใจของคนคนหนึ่ง

• หลายๆ ครั้งเรามักวัดคุณค่าของกันและกันด้วย ความรู้ความสามารถ, ตำแหน่งหน้าที่การงาน,ปริญญา , ฐานะทางการเงิน, รูปร่างหน้าตา ฯลฯ แต่พระเยซูเจ้า ให้คุณค่ากับเราในรูปแบบที่แตกต่างกันไป พระองค์มองทะลุไปในจิตวิญญาณของเราและมองดูลึกลงไปที่แรงจูงใจข้างใน และความตั้งใจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำสิ่งต่างๆ ของเรา

• พระองค์สนใจในสิ่งที่เราถวาย? ชีวิตของเราเป็นอย่างไร? จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องยอมจำนนต่อพระองค์ และจริงจังกับการดำเนินชีวิตมากขึ้นด้วย

• พี่น้องครับ สำหรับคุณค่าของหญิงม่ายคนนี้ สอนเราว่า วัตถุใดๆ ในโลกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด พระเยซูสอนเรื่อง เมตตากรุณา มิใช่เงินตรา เพื่อให้เราแต่ละคนจะได้มีคุณค่ามากกว่าเงิน ในการที่จะถวายแด่พระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมองหาก็คือ ชีวิตของเราแต่ละคน พระองค์ต้องการหัวใจของเรามิใช่ทรัพย์สมบัติของเรา

• หลายๆ ครั้ง การให้ทานและการแบ่งปันของเรา เป็นเรื่องภายนอก เราอยากจะช่วย เติมเต็มในสิ่งภายนอกโดยปราศจากเรื่อง ความเมตตาในหัวใจ

• การเรียนรู้เรื่องการให้ เป็นสิ่งที่ยาก จนกว่าเราจะได้รู้ว่า การติดตามพระเยซูเจ้าที่แท้จริงนั้น คือ การต้องปฏิเสธตนเอง พระวาจาในวันนี้เชิญชวนเราให้ดำเนินชีวิตในหนทางที่เจ็บปวดและหาค่าไม่ได้ นั่นคือ การให้ในสิ่งที่เราได้รับมา

• ชีวิตของเราคือการให้ในสิ่งที่เราได้รับ ให้กับผู้ที่ไม่สามารถตอบแทนอะไรแก่เราได้ สนใจต่อความต้องการของผู้อื่น และอาจให้ได้แค่เพียงสิ่งเล็กๆน้อยที่เรามี

• ชีวิตของพระเยซูที่สละชีวิตของพระองค์ไถ่บาปเราด้วยความรัก คือแบบอย่างบนไม้กางเขนที่เราแต่ละคนจะต้องติดตามไปด้วยใจมั่นคงเสมอ

• ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สมโภชนักบุญทั้งหลาย - 01-11-2009




ทำไมเราจึงต้องมีการฉลองบรรดานักบุญทั้งหลาย? เพราะตลอดปีเราก็มีการฉลองนักบุญอยู่แล้ว แต่ทำไมพระศาสนจักรจึงต้องให้มีการฉลองบรรดานักบุญทั้งหลาย อีกต่างหากอีก 1 วัน อาจมีเหตุผลสำคัญ 2 ประการคือ
1. เคียงคู่ไปกับการฉลองนักบุญที่เรามีบันทึกไว้ในแต่ละปี เรายังมีบรรดานักบุญชาย หญิงอีกจำนวนมาก บรรดามรณสักขี ชาย หญิง เด็กๆ ที่ร่วมอยู่กับพระสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์ ซึ่งเราไม่ได้ทำการฉลองให้กับท่านเหล่านั้น หลายท่านเป็นพ่อแม่ของเรา ปู่ย่าตายาย ซึ่งเป็นวีรบุรุษชายหญิงแห่งความเชื่อ วันนี้เราจึงให้เกียวต่อท่านด้วยการระลึกถึงท่าน ดังนั้น เราจึงอาจเรียกวันนี้ว่า วันฉลองนักบุญที่ไม่มีใครรู้จัก เหมือนในหนังสือวิวรณ์ได้กล่าวไว้ว่า “หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิตประชาชนมากมายเหลือคณานับจากทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกประเทศและทุกภาษา กำลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ทุกคนสวมเสื้อขาว ถือใบปาล์ม” วิวรณ์ 7:9
2. การฉลองนี้ทำให้เรามองดูเป้าหมายแห่งชีวิตนิรันดรของเราแต่ละคน ท่านนักบุญที่เราฉลองนี้ เป็นมนุษย์ชายหญิงเหมือนๆ กับเรา เป็นเหมือนกับที่เราเป็นนี่แหละ และพวกท่านก็ได้อยู่ในที่ที่เราได้วาดหวังเอาไว้สักวันหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เรารู้ว่า ชีวิตของเรานั้น ไม่ได้เริ่มต้นตอนนี้เรามีชีวิต และจบลงเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้วเท่านั้น แต่ชีวิตของเรา เกิดขึ้นก่อนที่เราจะเกิด และต่อเนื่องไปจนเราตายและไปสู่ชีวิตนิรันดร
นั้นคือสิ่งที่บอกกับเราว่า ทำไมเราจึงไม่ลืมที่จะระลึกถึงบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เรารู้จักชีวิตของบรรดานักบุญทั้งหลาย ในสายตาของเราเราไม่เห็นพวกท่านเหล่านั้นแล้ว แต่ในสายตาแห่งความเชื่อ เราเชื่อว่า ท่านเหล่านั้นมีชีวิตอยู่นิรันดร เพราะท่านเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า ท่านเหล่านั้นมีชีวิตมากกว่าที่เรามี เพราะว่า เป็นชีวิตที่ได้อยู่กับพระเจ้า จะไม่มีเรื่องราวของความทุกข์ทรมาน, ไม่มีเรื่องโรคร้ายต่างๆ , บาป ,หรือความตายอีกต่อไป
น่าเสียดาย ที่ว่า การที่เราจะมีชีวิตแบบบรรดานักบุญทั้งหลายนั้น ไม่ใช่เรื่องอัตโนมัติ แต่พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า "คนที่กล่าวแก่เราว่า “พระเจ้าข้าพระเจ้าข้า นั้น มิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์นั่นหละ จะเข้าสู่สวรรค์ได้”(Matthew 7:21).
พี่น้องครับ เราจะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างไร? คำตอบอยู่ในพระวรสารวันนี้แล้วครับ “ความสุขแท้จริง” หรือ บุญลาภ 8 ประการ ซึ่งพระเยซูเจ้า ได้มอบกับบรรดาศิษย์ของพระองค์นั้น เป็น “แนวทางการดำเนินชีวิตไปสู่ความสุขนิรันดร” บรรดานักบุญทั้งหลายที่เราฉลองในวันนี้นั้น เป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบากและเดินในหนทางแคบๆ ของ “ความสุขแท้จริง” นี้ เพื่อเข้าสู่เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์
ในโอกาสวันฉลองนักบุญทั้งหลายนี้ พระศาสนจักรเชิญชวนเรา และ ท้าทายเราแต่ละคน ให้ มิใช่พูดและพูด แต่ก้าวเดินต่อไปตามแบบอย่างของบรรดานักบุญ
จุดมุ่งหมายของ “ความสุขแท้” 8 ประการคือ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตคริสตชน เชื้อเชิญเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับความยากจน เป็นหนึ่งเดียวกับความทุกข์โศกเศร้า, เป็นหนึ่งเดียวกับความท้อแท้สิ้นหวัง ,ผู้ที่หิวกระหายความยุติธรรม ฯลฯ ความสุขแท้ท้าทายเราให้เราเป็นคนที่ “เมตตาสงสารผู้คน” , เป็นชายหญิงที่จิตใจบริสุทธิ์ และค่อยๆ กลายเป็น “ผู้สร้างสันติ” ในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ในครอบครัวและในสังคมของเรา แม้ว่า สิ่งต่างเหล่านี้อาจพบ “การเบียดเบียน” และ การหัวเราะเยาะ
ไม่มีนักบุญคนใด ที่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตว่า จะต้องร่ำรวยเหนือใคร มีอำนาจสูงศักดิ์ หรือมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของทุกคน ตรงกันข้าม ท่านเหล่านั้น มองไปข้างหน้า เพื่อหารางวัลแห่งชีวิตนิรันดร ซึ่งพระเจ้าจะมอบให้กับผู้ที่ซื่อสัตย์มั่นคง ในวันสุดท้ายของชีวิตในโลกนี้
วันนี้ เราทุกคนได้รับเชิญให้เดินในหนทางของท่านนักบุญทั้งหลาย หนทางของความสุขแท้ หนทางที่เป็นทางแคบๆและยากลำบาก เราจึงจำเป็นต้องมีความเชื่อและความกล้าหาญที่จะเดินผ่านไปให้ได้ ตัวอย่างของบรรดานักบุญและคำภาวนา เป็นกำลังใจให้เราก้าวหน้าต่อไป
น.ออกัสติน บอกว่า การดำเนินชีวิตตาม “ความสุขแท้” เป็นสิ่งที่ยากมาก แต่เมื่อท่านได้อ่านประวัตินักบุญต่างๆ ท่านก็บอกว่า “บรรดาชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านี้ ยังทำได้ ทำไมผมจะทำไม่ได้?”
ทำไมจะทำไม่ได้? ความเชื่อรับรองเราว่า ทุกคนที่ฟังเสียงของพระเยซูและดำเนินชีวิตตาม “ความสุขแท้จริง” นี้ ในวาระสุดท้ายของชีวิต เราก็จะได้ยินเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับเราว่า “ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย...จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด” (Matthew 25:21).
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน


วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ส.30 เทศกาลธรรมดา ปี B - อาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2009

พี่น้องที่รัก

วันนี้พระวาจาของพระเจ้าเตือนใจเรา ด้วยเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่ชื่อ บาร์ทิเมอุส
ที่ประตูเมืองทางทิศเหนือของกรุงเยรูซาเล็ม มีชายตาบอดชื่อบารทิเมอัสนั่งขอทานอยู่ข้างทาง ครั้นทราบว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา เขาร้องตะโกนเรียกพระองค์ด้วยเสียงอันดังจนหลายคนต้องดุให้เขาเงียบเพื่อจะได้ยินคำสั่งสอนของพระองค์
แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จเพราะคนตาบอดกลับร้องเสียงดังยิ่งขึ้น ไม่มีใครหยุดยั้งเขามิให้พบกับพระองค์ได้ เขาเชื่อมั่นว่าพระองค์คือผู้เดียวที่สามารถช่วยเขาให้หลุดพ้นจากโลกแห่งความมืดมิดนี้ได้ !
จากพฤติการณ์ของคนขอทานตาบอด เราได้พบเห็นสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า “เงื่อนไขแห่งอัศจรรย์” ดังต่อไปนี้
1. ความมุ่งมั่น เมื่อบารทิเมอัสทราบว่าผู้ที่กำลังผ่านมาคือพระเยซูเจ้า เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะพบพระองค์ให้จงได้ เพราะมั่นใจว่ามีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากได้
เมื่อตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครหรืออะไรสามารถหยุดยั้งเขาได้ !
ความมุ่งมั่นที่จะพบพระเยซูเจ้าของเขาไม่ได้เกิดจากความหวังอันเลื่อนลอย หรือความหวังลม ๆ แล้ง ๆ หรือเป็นเพียงความตื่นเต้นที่จะได้พบคนเด่นคนดัง
แต่เป็นความมุ่งมั่นที่ออกมาจาก “หัวใจของคนที่สิ้นหวังชนิดไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้”
ความหวังเดียวที่เหลืออยู่คือ “ความวางใจในความช่วยเหลือของพระเจ้า”
ความมุ่งมั่นอันเกิดจากความวางใจอย่างเต็มเปี่ยมนี่เองที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี !!

2. ตอบเสียงเรียกทันที เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรียกบารทิเมอัส เขา “สลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดเข้าไปเฝ้าพระเยซูเจ้า” (ข้อ 50) ด้วยความกระตือรือร้นทันที
บารทิเมอัสรู้โดยสัญชาติญาณว่า โอกาสทองเช่นนี้อาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตโดยไม่มีทางหวนกลับมาหาอีก เขาจึงกระโดดเข้าหาพระองค์อย่างรวดเร็วราวกับกระสุนปืน
แต่น่าเสียดายที่พวกเราหลายคนกลับประพฤติตรงกันข้าม เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากพระองค์ แทนที่จะรีบตอบในทันที กลับประวิงเวลาไว้ “รอให้ข้าพเจ้าทำสิ่งนี้เสร็จก่อนได้ไหม ?” หรือ “รอให้ข้าพเจ้าพร้อมกว่านี้ไม่ได้หรือ ?”
หลายครั้งพระองค์ทรงดลใจเราให้ปรับปรุงตนเอง ให้แก้ไขนิสัยไม่ดีต่าง ๆ หรือให้ถวายตนรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์มากขึ้น แต่เรากลับปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป
โอกาสซึ่งอาจไม่หวนกลับมาหาเราอีกเลย !!!
3. รู้ความต้องการ เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้” เขาทูลว่า “รับโบนีให้ข้าพเจ้าแลเห็นเถิด” (ข้อ 51)
เขารู้และระบุความต้องการของตนเองได้คือ “การแลเห็น”
แต่พวกเราหลายคนกลับเข้าหาพระเยซูเจ้าโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการอะไร เข้าตำราปล่อยให้ “ฟ้าลิขิต” อย่างเดียวโดยที่ไม่เคยคิดจะมีส่วนร่วมในการ “ลิขิตชีวิต” ของตนเองด้วยแต่ประการใด
มีบ้างไหมที่เราไปหาทันตแพทย์ แล้วปล่อยให้หมอ “ลิขิตฟัน” ของเราคือจะถอนซี่ไหนก็ได้ ? เราควรต้องรู้และบอกหมอได้ชัดเจนมิใช่หรือว่าฟันซี่ไหนเป็นปัญหา !
กับพระเยซูเจ้าก็เช่นกัน เราต้องทูลขอพระองค์ให้ชัดเจนว่าเราต้องการความช่วยเหลืออะไรจากพระองค์
โดยเฉพาะ “ความกล้าหาญที่จะพิจารณาตนเอง” นั้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรทูลขอจากพระองค์เป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว !
4. ความเชื่อ บารทิเมอัสร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิด เจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” (ข้อ 47 และ 48)
เขาเรียกพระองค์เป็น “โอรสของกษัตริย์ดาวิด” ซึ่งเป็นสมญานามของพระเมสสิยาห์ก็จริง แต่เป็นสมญานามที่แฝงความหมายของการเป็นนักรบนองเลือดที่จะพิชิตโลก และนำพาชนชาติอิสราเอลไปสู่ความยิ่งใหญ่เหมือนยุคสมัยของกษัตริย์ดาวิดอีกครั้งหนึ่ง
นั่นคือ บารทิเมอัสยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าไม่ถูกต้องนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ความเข้าใจจะไม่ถูกต้อง แต่เขามี “ความเชื่อ” และความเชื่อของเขาได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดผลมากกว่าความรู้ความเข้าใจเป็นร้อยเท่า พันเท่า
จริงอยู่เราจำเป็นต้อง “คิด” และต้องสอนผู้อื่นให้รู้จัก “คิด” ด้วย แต่เราไม่จำเป็นต้องคาดหวังหรือเรียกร้องให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นนักเทวศาสตร์ก่อนเป็นคริสตชน
เพราะเราไม่มีทางรู้และเข้าใจพระเยซูเจ้าได้ทั้งหมด !
ขอเพียงให้เรา “รัก” และ “เชื่อ” ว่าพระองค์คือ “ผู้ที่ตอบสนองความต้องการของเราได้” เท่านี้ก็เกินพอแล้ว…..
5. ความกตัญญู ทั้ง ๆ ที่บารทิเมอัสเป็นเพียงคนขอทานข้างถนน แต่หัวใจของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความกตัญญูรู้คุณคน
เมื่อ “เขากลับแลเห็น” เขา “เดินทางติดตามพระองค์ไป” (ข้อ 52) แทนที่จะตีจากพระองค์ไปด้วยความเห็นแก่ตัว
นี่คือบทสรุปของขั้นตอนในการเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้า
เริ่มต้นด้วย ความต้องการ
ตามด้วย ความกตัญญู
และอยู่ด้วย ความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อพระองค์ บัดนี้ และตลอดไป !!!!!

ส.29 เทศกาลธรรมดา ปี B- อาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2009

1. อเล็กซานเดอร์ วูลคอต หนึ่งในศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงของวิทยาลัยแฮมิลตัน, นิวยอร์ค ได้ถูกเชิญให้มาให้คำโอวาทในโอกาสฉลองความสำเร็จ วัลคอตกล่าวว่า “ผมขอส่งความชื่นชมยินดีในวันนี้แด่ทุกท่าน ชาวแฮมิลตัน และทั่วโลกด้วย พวกท่านบางคนประสบความสำเร็จในชีวิต และพวกท่านบางคนก็ล้มเหลวในชีวิต มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าใครเป็นอย่างไร?
2. นี่เป็นสิ่งที่เตือนใจเราได้อย่างดีที่สุด สำหรับชีวิตที่ประสบความสำเร็จหรือชีวิตที่ล้มเหลว “เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา พระเจ้าตรัสดังนี้ เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น” (Isaiah 55:8-9). นี่คือบทเรียนที่ ยากอบและยอห์น ได้เรียนรู้ในพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้
3. พี่น้องครับ ถ้าพี่น้องรู้ว่า มีสิ่งหนึ่งเกี่ยวข้องกับอนาคตของพวกเราทุกคน คือ พระเจ้าสร้างเราทุกคนให้ประสบความสำเร็จ พระเจ้าไม่ได้สร้างใครให้พบกับความล้มเหลวเลย แต่คำว่าประสบความสำเร็จ กับความล้มเหลวหมายความว่าอะไร? สำหรับคนส่วนใหญ่ อาจคิดว่า การได้เป็นหัวหน้าของกลุ่ม หรือเป็นคนที่เก่งมาก ความสำเร็จกลายเป็นเครื่องวัดค่าของคนเราแต่ละคน และมองเห็นผู้อื่นเป็น “คู่แข่ง” ของเรา
4. นั่นทำให้ ยากอบและยอห์นเดินไปหาพระเยซูเจ้าและร้องขอสิทธิในการเป็นใหญ่เหนือใครทั้งหมด สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ทั้งสองไม่ได้ขอว่าจะมีที่นั่งในพระอาณาจักรของพระองค์ แต่สิ่งที่ขอก็คือ “ ขอโปรดให้ข้าพเจ้าคนหนึ่งนั่งข้างขวา อีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์เถิด” Mark 10:37). พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านไม่รู้หรอกว่า กำลังขออะไร” และพระองค์สอนให้พวกเขาเข้าใจถึงความสำเร็จที่แท้จริงนั่นคืออะไร?
5. สำหรับพระเยซูเจ้า ความสำเร็จหมายถึง การที่ผู้คนทั้งหลายตระหนักและเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา พระเยซูบอกเราว่า ให้เราทำตรงกันข้ามกับความคิดทั่วๆไป ก่อนที่จะมีมนุษย์ในโลกนี้ พระเจ้าได้ทรงมีความฝันให้มนุษย์ทุกคนได้ดำเนินชีวิตอย่างไร เราไม่ได้มีชีวิตเพื่อทำอะไรก็ได้เพื่อตัวของเราเอง แต่เรามาทำงานของพระเจ้าด้วยมือของเรา ด้วยร่างกายและจิตใจเพื่อให้งานนั้นได้สำเร็จไป
6. คำสอนในเรื่อง การปฏิสนธินิรมลของแม่พระ คือเรื่องหนึ่งที่สอนเราได้ว่า พระเจ้าทรงต้องการให้แต่ละคนทำหน้าที่ นั่นคือ ให้แม่พระเป็นแม่ของพระเยซูเจ้า และพระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงคนหนึ่งให้เตรียมชีวิตและกำหนดให้มีหน้าที่พิเศษนั้น ไม่มีหญิงคนใดก่อนหรือหลังจากแม่พระที่จะเป็นแม่ของพระเจ้า นอกจากแม่พระอีกแล้ว นี้เองที่พระเยซูทรงบอกกับยากอบและยอห์นว่า “การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”
7. จากคำพูดนี้ หมายความว่า พระเจ้าได้ทรงกำหนดเราไว้ กำหนดโลกของเราไว้แล้วหรือ? คำตอบก็คือ ไม่ใช่ พระเจ้าได้มีความตั้งใจที่จะสร้างเราทุกคน นั่นคือสิ่งที่พระองค์ได้กำหนดไว้ แต่การที่เราจะบรรลุความสำเร็จนี้ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราแต่ละคนได้ร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้าอย่างไร?
8. พระเจ้าทรงให้ “น้ำใจอิสระ” ในการทำสิ่งใดใดก็ได้ตามใจของเราเอง เพื่อให้เราร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้าหรือไม่ก็ได้ อยู่ที่เรา แม้ว่าพระเจ้าจะทรงเลือกให้แม่พระเป็นแม่ของพระบุตร แต่เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าต้องการเริ่มต้นกิจการของพระองค์ พระองค์ก็ยังทรงส่งฑูตสวรรค์มาเพื่อแสวงหาความร่วมมือจากมารีอา พระเจ้าให้อิสระต่อเรามากเพียงใด
9. แม่พระจึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จเพราะ พระนางมีความกล้าหาญที่จะตอบว่า “ข้าพเจ้าคือผู้รับใช้ของพระเจ้า” ตอบรับกับพระวาจาของพระเจ้าที่มีต่อพระนาง
10. สำหรับยากอบและยอห์น อาจเป็นตัวแทนของใครก็ตามที่อาจคิดถึงความสำเร็จแบบนี้ เราจึงต้องหาหนทางที่ต้องมองดูสิ่งต่างๆ ลดความทะเยอทะยาน ลดศัตรูและคู่แข่ง และสละละทิ้งการแข่งขันต่อกันระหว่างคนเรา ซึ่งเราอาจเรียกว่า เราเป็นหนูตัวหนึ่งที่วิ่งแข่งกันในการแข่งขันวิ่งหนู แม้ว่าเราจะชนะ แต่เราก็ยังเป็นหนูตัวนั้น
11. พี่น้องครับ ความสำเร็จในมุมมองใหม่ที่พระเยซูเจ้าสอนเราในวันนี้ เป็นเรื่องตรงข้ามกับความคิดแบบโลก แต่พยายามสอนให้เราร่วมมือกับแผนการของพระเจ้า เพื่อเราแต่ละคนจะได้ตระหนักว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างเราให้แต่ต่างกัน เพื่อให้เราทำสิ่งที่ต่างกัน ให้มีความสำเร็จในรูปแบบที่แตกต่างกันไปสำหรับทุกคน
12. พี่น้องครับ ถ้าหากว่า ในวันนี้เราพร้อมที่จะค้นพบและอยู่ในความร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้า นั่นคือ ความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิตของเรา
13. ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

คุณค่าการสวดสายประคำในครอบครัว

คุณค่าการสวดสายประคำในครอบครัว
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงประกาศให้เดือนตุลาคม 2002 ถึงเดือนตุลาคม 2003 เป็นปีแห่งสายประคำ พระองค์ยังได้ทรงออกสมณสาสน์ “สายประคำของพระนางพรหมจารีมารีอา” เพื่อฉลอง 25 ปีของรัชสมัยของพระองค์ และระลึกถึงครบรอบ 120 ปี ที่สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ได้ทรงออกเอกสารเกี่ยวกับการสวดสายประคำ “Supremi Apostolatus Officio” นอกจากนั้นยังเป็นการระลึกถึงครบรอบ 40 ปึของการเปิดประชุมสังคายนาวาติกัน เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1962 และยังเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองปีศักดิ์สิทธิ์ด้วย

1)ประวัติของการสวดสายประคำ การสวดสายประคำให้เกียรติแก่พระแม่มารี มีองค์พระจิตเจ้าทรงนำทาง และเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในสหัสวรรษที่สอง(หลังปี ค.ศ.1000) และมีนักบุญจำนวนมากที่รักการสวดสายประคำ และได้ส่งเสริมการสวดสายประคำตลอดมา พระศาสนจักรเองก็ได้ส่งเสริมให้สัตบุรุษได้สวดภาวนาเช่นเดียวกัน การสวดสายประคำเป็นบทภาวนาเรียบๆซื่อๆ แต่มีความศักดิ์สิทธิ์ การสวดสายประคำจึงซึมซาบเข้าในจิตใจสัตบุรุษอย่างลึกซึ้ง แม้เวลาจะผ่านไปมากาว่าสองพันปีแล้ว แต่การสวดสายประคำก็ยังทำให้ชีวิตของคริสตชนก้าวหน้าไปด้วยความสดชื่นตลอดมาเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันยาวนานพอสมควร และ เชื่อกันว่า การสวดสายประคำนั้นคงเริ่มต้นในอารามฤษี ซึ่งได้มีการสวดทำวัตรเป็นหมู่คณะ โดยใช้บทสวดจากบทเพลงสดุดี 150 บท แต่มีฤษีบางคนความรู้น้อย ไม่สามารถอ่านหนังสือทำวัตรได้ พวกท่านจึงใช้การสวดบท “วันทามารีอา” 150 บท แทนการสวดบทเพลงสดุดี 150 บท ต่อจากนั้นการสวดสายประคำได้มีพัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั้งปี ค.ศ. 1214 ที่แม่พระได้ประทานลูกประคำแก่นักบุญดอมีนิก ผู้ก่อตั้งคณะดอมีนีกัน เพื่อจะได้ใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กับพวกเฮเรติกอัลบีเยน โดยแม่พระได้ประจักษ์มา พร้อมกับเทวดา 3 องค์ แม่พระได้ตรัสกับท่านนักบุญว่า ถ้าท่านนักบุญต้องการให้พวกเฮเรติกกลับใจ จะต้องเผยแพร่การสวดสายประคำ ท่านนักบุญจึงได้เผยแพร่การสวดสายประคำ และสามารถทำให้ผู้หลงผิดเหล่านั้นกลับใจในที่สุด

2)ความหมาย “สายประคำ” ตรงกับคำว่า “โรซารี”ในภาษาลาติน ซึ่งหมายความว่าพวงมาลัยกุหลาบ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราสวดสายประคำครบสามสาย เราจะร้อยกุหลาบสีขาว 153 ดอก ซึ่งหมายถึงบทวันทามารีอา 153 บท และร้อยกุหลาบสีแดงอีก 16 ดอก ซึ่งหมายถึงบทข้าแต่พระบิดา 16 บท มาลัยสวรรค์นี้จะไม่มีวันเหี่ยวเฉาไป แต่จะเป็นเสมือนเกียรติมงคลที่เราได้ถวายแต่พระแม่เจ้าแห่งสวรรค์

ประจักษ์พยานในเรื่องนี้มีปรากฏอยู่เสมอ เช่น บราเดอร์อัลฟองโซ แห่งคณะเยซูอิตได้สวดสายประคำอย่างศรัทธา และทุกครั้งที่ท่านสวดบทข้าแต่พระบิดา จะมีกุหลาบสีแดงออกจากปากของท่าน และเมื่อสวดบทวันทามารีอา จะมีดอกกุหลาบสีขาวออกมาจากปากของท่านเช่นเดียวกัน

การสวดสายประคำจึงเป็นความศรัทธา ที่หยั่งรากลึกในหัวใจของชาวเราทุกคน ทำให้เรามีความศรัทธาต่อพระเยซูเจ้า และพระแม่มารีอา ท่านบุญราศรีบาโทโล ลองโก ซึ่งเป็นผู้มีความศรัทธาต่อการสวดสายประคำ ได้เคยกล่าวว่า, “ผู้ใดส่งเสริมการสวดสายประคำ ผู้นั้นจะได้รับความรอดนิรันดร”

พระแม่มารีเองมีพระประสงค์ให้ลูกๆของพระแม่ได้สวดสายประคำ เพราะพระแม่มีความห่วงใยในพวกลูกๆของพระนาง ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงฝากฝังไว้แก่พระแม่ ณ แทบเชิงกางเขน โดยมีศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรัก เป็นตัวแทนของพวกเราทุกคน, “ นี่คือแม่ของท่าน”(ยน19:27)

3)สายประคำเป็นบทภาวนาเพื่อครอบครัว

ก)ครอบครัวยุคปัจจุบันกำลังถูกคุกคาม
การสวดสายประคำเป็นบทภาวนาที่เราสามารถติดต่อกับพระเป็นเจ้าได้อย่างดีที่สุด โดยอาศัยการเสนอวิงวอนของพระแม่มารี และพระเป็นเจ้าจะทรงประทานพระหรรษทานอย่างอุดมสมบูรณ์แก่บุคคลหรือแก่ครอบครัวที่สวดสายประคำพร้อมกัน ในสมณสาสน์ “สายประคำของพระนางพรหมจารีมารีอา” สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงเน้นความสำคัญของการสวดสายประคำและครอบครัว โดยพระองค์ได้ตรัสถึงสถาบันครอบครัวกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก จากพลังแห่งการแตกแยก และทำให้ครอบครัวทั้งหลายกำลังอ่อนแอลง, “นอกจากนั้น เหตุผลสำคัญและเร่งด่วนที่จะต้องสวดภาวนา เกิดจากปัญหาอีกประการหนึ่งของสมัยปัจจุบัน นั่นคือปัญหาครอบครัว ซึ่งเป็นหน่วยเล็กที่สำคัญที่สุดของสังคม และอนาคตของสังคมนี้กำลังถูกคุกคามอย่างน่ากลัวจากพลังที่สร้างความแตกแยก อันสืบเนื่องมาจากความคิดทางปรัชญา จึงเป็นกิจกรรมในข่ายงานอภิบาลครอบครัว ซึ่งจะช่วยต่อต้านพลังบ่อนทำลายสังคมในสมัยของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ”(RVM 6)

ข)ครอบครัวที่สวดภาวนาร่วมกันย่อมอยู่ด้วยกัน
จากประวัติอันยาวนานของการสวดสายประคำ เป็นที่ประจักษ์ว่าการสวดสายประคำได้ช่วยนำและแก้ไขปัญหาครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้สมาชิกในครอบครัวมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน เพราะเมื่อสมาชิกทุกคนหันมามองดูพระเยซูเจ้า จะช่วยทำให้สมาชิกแต่ละคนหันสายตามามองกันง่ายขึ้น สามารถสื่อสารกันรู้เรื่องมากขึ้น สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้อภัยกันและกัน และผูกพันกันด้วยสายสัมพันธ์ของความรักขององค์พระจิตเจ้า

ในปัจจุบันนี้สมาชิกในครอบครัวต่างๆมีโอกาสอยู่ด้วยกันน้อยมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่รัดตัว ทำให้มีเวลอยู่ด้วยกันน้อยกว่าอดีตที่ผ่านมา สมาชิกในครอบครัวก็มักใช้เวลาในการดูโทรทัศน์บ้าง หรือนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ การที่ครอบครัวหันมาสวดสายประคำพร้อมกันในครอบครัว จะทำให้มีบรรยากาศของครอบครัวแห่งนาซาเร็ธ ซึ่งมีพระเยซูเจ้าเป็นศูณย์กลาง ลูกๆในครอบครัวจะเรียนรู้จากตัวอย่งของพระเยซูเจ้า ในเรื่องการทำงาน ความนบนอบ ความรักต่อกัน และพ่อแม่จะเรียนรู้จากตัวอย่างของพระแม่มารี ที่ยินดีรับความทุกข์อย่างสงบ ยอมรับความยากลำบากในชีวิตด้วยความกล้าหาญ สมาชิกในครอบครัว จะ มีส่วนร่วมในความยินดีและความโศกเศร้าพร้อมกัน มอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับสามชิกในครอบครัวไว้ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า พร้อมกับมีความหวังและกำลังใจที่จะต่อสู้กับชีวิตต่อไปด้วยความมั่นคง และทำให้บ้านเป็นบ้านที่มีแต่ความสงบและสันติ พระเป็นเจ้าจะประทานพระหรรษทานให้แก่ครอบครัวอย่างมากมาย และบางครั้งพระองค์อาจจะประทานกระแสเรียกแก่ลูกๆ โดยสมัครเป็นพระสงฆ์หรือนักบวช

ค)การสวดสายประคำเพื่อการพัฒนาการด้านต่างๆของลูก
ในการสวดสายประคำนั้น พ่อแม่ยังมีโอกาสได้วิงวอนขอ เพื่อให้ลูกๆได้พัฒนาและเติบโตเป็นคนที่สมาบูรณ์ เมื่อรำพึงชีวะประวัติของพระเยซูเจ้า ตั้งแต่พระองค์ได้ปฏิสนธิในครรภ์ของพระแม่มารี จนถึงวันที่พระองค์ได้ทรงกลับคืนชีพ และเสด็จสู่สวรรค์ “พระกุมารทรงเจริญวัยแข็งแรงขึ้น ทรงพระปรีชาญาณอย่างสมบูรณ์ และพระหรรษทานของพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์” (ลก2;40) ในยุคปัจจุบันนี้เทคโนโลยีต่างๆมีการพัฒนาไปรวดเร็วมาก จนทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยยิ่งวันยิ่งมากขึ้น เด็กๆและเยาวชนได้รับข่าวสารที่มีแต่สิ่งเลวร้ายมากกว่าสิ่งดีงาม พ่อแม่ทุกคนจึงมีความห่วงใยในอันตรายที่ลูกๆของตนกำลังเผชิญอยู่ กลัวว่าลูกๆของตนจะเป็นเหยื่อของยาเสพติด การปล่อยตัวสำส่อน การแก้ปัญหาโดยใช้ความรุนแรง ตลอดจนการหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย

ง)การฝึกให้รู้จักเงียบ
การสวดสายประคำพร้อมกันในครอบครัวทุกวัน จะเป็นโอกาสดีให้เด็กๆได้มีประสบการณ์ตั้งแต่เล็กเรื่อง “การหยุดพักเพื่อภาวนา” แม้การสวดภาวนาจะไม่ใช่การแก้ปัญหาชีวิตได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้จิตใจของพวกลูกๆได้พบกับความสงบ และจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน แม้ว่าเด็กๆมีความยากลำบากในการสวดสายประคำ อาจเป็นเพราะไม่มีสมาธิพอ แต่การใช้เครื่องมือบางอย่าง จะช่วยให้การสวดภาวนาง่ายเข้า เช่น การใช้รูปภาพ และเสียงเพลงเป็นต้น และเมื่อพวกเขาสามารถสวดด้วยตนเองได้แล้ว พวกเขาจะยินดีสวดภาวนาเพื่อรับพระคุณต่างๆโดยไม่ต้องมีการบังคับแต่อย่างใด

ในโอกาสนี้ขอนำพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ซึ่งพระองค์ได้สรุปไว้ในสมณสาส์น “สายประคำของพระนางพรหมจารีมารีอา”ว่า,

“สายประคำศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารี ซึ่งเป็นโซ่ทองที่คล้องชาวเราไว้กับพระเจ้า เป็นสายสัมพันธ์ความรักที่เชื่อมเราไว้กับบรรดาทูตสวรรค์ เป็นป้อมปราการที่ช่วยชีวิตให้พ้นจากการจู่โจมของนรก เป็นท่าเรือที่ช่วยให้พ้นจากการอับปาง เราจะไม่มีวันทิ้งเจ้าเลย เจ้าจะเป็นความบรรเทาของเราในวาระสุดท้ายของชีวิต เราจะจุมพิตเจ้าขณะที่ชีวิตของเราจะออกจากร่าง ข้าแต่พระราชินีแห่งสายประคำแห่งปอมเปย์ ถ้อยคำสุดท้ายจากปากของข้าพเจ้าทั้งหลายจะเป็นพระนามของพระนาง ข้าแต่พระมารดาน่ารักยิ่ง พระนางผู้ทรงเป็นที่พึ่งของคนบาป ผู้บรรเทาที่ยิ่งใหญ่ของผู้ทุกข์ยาก ขอพระนางจงได้รับพระพรทั่วทุกแห่งหน บัดนี้และตลอดไป ทั้งบนแผ่นดินและในสวรรค์”


จาก http://www.catholic.or.th/spiritual/article/article2009/article38.html

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ส.28 เทศกาลธรรมดา ปี B


อ่านพระวาจาประจำสัปดาห์ http://www.catholic.or.th/spiritual/homily/oct09/11oct09.html




1. นายพรานแอฟริกันมีวิธีการที่ยอดเยี่ยมในการดักจับลิง คือ เขาจะผ่ามะพร้าวออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งก็เจาะรูตรงกลาง ให้กว้างพอสำหรับมือของลิงจะลอดเข้ามาได้ แล้วเขาก็เอา ส้ม 1 ลูกใส่ลงไปข้างใน แล้วก็ประกบมะพร้าวเข้าด้วยกัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอาไปแขวนที่ต้นไม้
2. ในที่สุด เมื่อลิงได้กลิ่นของส้ม ไม่นานมันก็รีบโหนต้นไม้มาแล้วเอามือล้วงเข้าไปในมะพร้าวลูกนั้น มันก็พยายามดึงเอาส้มออกมา แน่นอนว่า ส้มออกมาไม่ได้แน่นอน เพราะส้มใหญ่กว่ารูที่เจาะไว้ ลิงก็พยายามดึงแล้วดึงอีก แต่ก็ไม่ได้คิดว่า มันจะมีอันตรายอะไร ขณะที่ลิงกำลังดึงอย่างขมักเข้นอยู่นั้น นายพรานก็เอาตาข่ายแล้วจับลิงไว้ได้ หากลิงคิดได้ มันก็แค่ปล่อยส้มแล้วเอามือออกมา แล้วก็หนีไป
3. การดักจับแบบนี้ก็ได้ผลเพราะว่า เพราะลิงคิดไม่ได้ว่า มันจะเลือกเอาอะไรระหว่าง ส้ม กับ อิสระภาพ มันจะเอาทั้งสองอย่าง แม้ว่า ลิงจะเห็นว่า นายพรานมาแล้ว มันก็คงไม่ปล่อยส้มในมือและวิ่งหนีไป แต่จะพยายามเอาส้มไปด้วยให้ได้
4. การดักจับแบบนี้ได้ผลเพราะว่า ลิงถูกจับได้เพราะความโลภของตนเอง ถ้าเราจินตนาการว่า ในตอนนั้นลิงอาจจะสวดภาวนาว่า “โอ้พระเจ้า ช่วยลูก(ลิง)ด้วยแต่ว่า อย่าขอร้องให้ผมปล่อยส้มไปนะครับ” เรื่องนี้อาจฟังเป็นเรื่องสนุกๆ แต่ในความเป็นจริงก็คือ หลายๆ คนในพวกเรา ก็อาจจะสวดภาวนาแบบลิงนี่แหละ
5. เหมือนในพระวรสารวันนี้ ที่ชายหนุ่มที่มาหาพระเยซู ที่อาจสวดภาวนาเช่นเดียวกันว่า “ขอพระองค์ประทานชีวิตนิรันดรให้กับลูก แต่อย่าขอให้ลูกทิ้งทรัพย์สมบัติของลูกไปเลย”
6. พี่น้องครับ ถ้าพี่น้องเป็นคนรักสัตว์ และพี่น้องกำลังเห็นลิงตัวนั้น มือกำลังติด นายพรานก็กำลังมาแล้ว พี่น้องจะทำอย่างไร? พี่น้องอาจจะตะโกนบอกลิงตัวนั้นว่า “ปล่อยส้มไปก่อน แล้ววิ่งสุดชีวิต”
7. นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงบอกกับชายหนุ่มผู้ร่ำรวยคนนั้น พระองค์มองเห็นชายคนนั้นอยู่ในอันตราย เสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตนิรันดร กับจิตใจที่ยึดติดกับทรัพย์สมบัติ พระองค์จึงบอกเขาให้ไปขายทรัพย์สมบัตินั้นและรักษาชีวิตไว้ ทำไมพระเยซูทำเช่นนี้? เพราะ “พระองค์ทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู” Jesus looked at him and loved him” (Mark 10:21a).
8. คำสอนและคำแนะนำของพระเยซูเจ้า เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจเสมอ แต่ คำสั่งสอนนี้เพื่อ “ความดีของแต่ละคน” และมันจะเปลี่ยนชีวิตของเรา เมื่อเราตระหนักว่า “พระองค์สอนเช่นนี้ เพราะพระองค์รักเรา และพระองค์รู้จักเราดีที่สุด รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดควรหลีกเลี่ยง
9. ชายหนุ่มผู้ร่ำรวย ก็เหมือนกับลิงตัวนั้นที่เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ส้มในขณะที่ชีวิตกำลังมีอันตราย พระเยซูเจ้าจึงชี้หนทางให้เขาเอาตัวรอด “ท่านยังขาดไปสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาเถิด”
10. พี่น้องครับ ทำไมชายหนุ่มคนนี้จึงพบว่า คำสอนนี้จึงยากจะปฏิบัติตาม? เรารู้ว่า ชายคนนี้เป็นคนเคร่งศาสนา ปฏิบัติบทบัญญัติของชาวยิวมาตั้งแต่เด็ก และศาสนายิวเชื่อว่า ความร่ำรวยเป็นเครื่องหมายของการอวยพรของพระเจ้าและ ความยากจนคือ การที่พระเจ้าสาปแช่ง
11. เมื่อพระเยซูบอกกับศิษย์ของพระองค์แล้ว พวกเขาจึงพากันบ่นว่า “ดังนี้ ใครเล่าจะสามารถรอดพ้นได้”
12. พระวรสารในวันนี้ จึงท้าทายเราทุกคนให้คิดถึง ความต่ำต้อยและความรักของพระเจ้าที่สามารถอยู่ในเราทุกคนได้ และระลึกไว้เสมอว่า ความยากจนต่ำต้อยนั้น ก็เป็นวิถีทางแห่งชีวิตทางหนึ่งให้เราตอบรับความรักของพระเจ้าได้
13. วัตถุนิยม คือ การเชื่อว่า หากปราศจากทรัพย์สมบัติแล้วชีวิตก็ไร้ความหมาย ชายหนุ่มผู้ร่ำรวยคนนั้นก็เป็นผู้ที่มีความเชื่อเช่นนั้น
14. ดังนั้น ให้เราภาวนาว่า พระเจ้าได้ประทาน ปรีชาญาณ พระพรต่างๆ มากกว่า ลิงตัวนั้นในการที่เราจะละทิ้งทรัพย์สมบัติในรูปแบบต่างๆ ได้
15. “มนุษย์จะได้ประโยชน์อันใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต”

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

ส.27 เทศกาลธรรมดา ปี B

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2009

1. พี่น้องที่รัก สิ่งที่พระเยซูเจ้าได้รับการท้าทายจากฟารีสีในวันนี้ เป็นเรื่องสำหรับเราทุกคนในวันนี้ “การแต่งงานและการหย่าร้าง”
2. พระองค์ให้คำตอบที่ชัดเจนที่สุดว่า การแต่งงานเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างไว้ด้วยตัวของพระองค์เอง ชีวิตที่อยู่ด้วยกันระหว่างชายและหญิง เกิดขึ้นด้วยความรักและความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า การรวมกันนี้มนุษย์ไม่สามารถไปแยกออกจากกันได้ เมื่อคนสองคนแต่งงานกันแล้วไม่มีอำนาจใดใดในโลกนี้ที่จะแยกคนสองคนนี้ออกจากกัน
3. “สิ่งที่พระเจ้าได้รวมไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
4. พี่น้องครับ ในเช้าวันนี้ เราได้รับการเชื้อเชิญให้ทบทวน “ศักดิ์ศรีในชีวิตแต่งงาน” และ “คำสัญญามั่นคงตลอดไปของศีลแต่งงาน” ซึ่งถ้าหากเรามองดูในปัจจุบันนี้ ก็ดูเหมือนว่า คำสัญญานี้ดูเหมือนว่า จะเป็นเรื่องที่ประหลาด เป็นเรื่องแปลก, เราได้ยินเรื่องของการหย่าร้าง จนดูเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งในชีวิตของเรา ดังนั้นคำสอนของพระเยซูเจ้าในวันนี้ จึงเป็นการบอกกับเราอีกครั้งหนึ่งว่า สิ่งที่มนุษย์ควรจะเชื่อฟังมากที่สุดก็คือ พระเจ้า
5. พี่น้องครับ ถ้าเราเปรียบชีวิตเป็นการเดินทาง และการแต่งงานก็เป็นเรื่องของคนสองคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน วันแต่งงานก็คือ วันที่เริ่มต้นการเดินทาง เมื่อพระศาสนจักรได้อวยพรคู่บ่าวสาวและครอบครัว และเพื่อนๆ ก็มาร่วมแสดงความยินดี และก็โปรยดอกกุหลาบให้ พร้อมๆ กับอวยพรให้ชีวิตคู่นั้นราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ
6. ชีวิตแต่งงานต้องเป็นชีวิตที่ต้องอาศัยพลังแห่งความรักมาก ต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน พร้อมที่จะก้าวไปในชีวิตที่สงบราบเรียบ และชีวิตที่มีแต่พายุพัดโหมกระหน่ำ เพื่อแสดงให้เห็นว่า รักแท้นั่นต้องได้รับการพิสูจน์ การอวยพรของพระศาสนจักรและครอบครัวไมได้เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ทำให้ชีวิตสมรสนั้นราบรื่นตลอดไป
7. พี่น้องครับ ชีวิตสมรสที่ดีต้องช่วยกันสร้าง ไม่ใช่แค่การเลือกคู่แท้ของเราเท่านั้น แต่ในชีวิตสมรสเรื่องเล็กๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญมากด้วยเช่นกัน เช่น การพูดการจาที่ให้กำลังใจกัน และคำพูดที่แสดงถึงการคิดไตร่ตรองก่อนพูดออกมา , การให้อภัยต่อกันและกัน และพร้อมที่จะลืมความผิดพลาดบกพร่องนั้นๆ เพื่อจะได้เข้านอนโดยที่ไม่มีความโกรธต่อกันแล้ว
8. คู่สมรส จะไม่สามารถเผชิญหน้ากับโลกได้ ถ้าหากว่าไม่มีพื้นฐานจาก การมีความรักแท้ ความรักเท่านั้นที่จะเป็นสิ่งเชื่อมและสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้
9. นอกจากนั้น ความหวังและความไว้วางใจกันและกัน จะทำให้ชีวิตคู่ สามารถผ่านแต่ละปีๆ ไปได้ ทั้งในเวลาที่ดี มีความสุข และในเวลาที่มีความทุกข์ด้วยกัน
10. ให้เราภาวนาเพื่อครอบครัวทุกครอบครัว จะได้มีความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัว เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระพรของพระเจ้าในครอบครัวทุกครอบครัว

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ส.26 เทศกาลธรรมดา ปี B -

อาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2009

• มีนักปรัชญาคนหนึ่งชื่อว่า มาร์ติน บูเบอร์ เขียนหนังสือชื่อว่า I and thou (ฉันและเธอ) (1878-1965) เมื่อได้ศึกษาความคิดของ บูเบอร์ เขาเขียนว่า ความสัมพันธ์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลที่หนึ่ง ยอมรับบุคคลที่สองว่า เป็นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งของใดใด ถ้าใครก็ตามปฏิบัติต่อกันและกัน ความสัมพันธ์ที่แท้จริงคือ คนสองคนที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นในฐานะ “บุคคล” บูเบอร์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า นี่แหละคือความสัมพันธ์แบบที่พระเจ้ามีกับเราแต่ละคน ในหนังสือ ฉันและเธอ จึงยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะว่า เธอ นั้น คือ “เธอนิรันดร” (พระเจ้า) .
• วันนี้ พระเยซูเจ้าสอนว่า พระเจ้าทรงเป็นพระบุคคลที่ทรงรักและเอาใจใส่ต่อเราแต่ละคน พระเยซูเจ้าสอนว่า พระเจ้าจะเข้ามาสู่ชีวิตของเราทุกคน ถ้าหากบุคคลนั้นๆ เปิดรับความรักของพระองค์ ปรัชญาของบูเบอร์ จึงเป็นเสมือนหัวใจของเราคริสตชน แต่ที่พ่อบอกพี่น้องว่า บูเบอร์นั้น เป็นชาวยิว แต่ทำไมในปรัชญาของท่านจึงเต็มไปด้วยแก่นแท้ของชีวิตคริสตชน? อาจเป็นเพราะว่า พระจิตของพระเจ้า ชีวิตของพระเยซูเจ้า ได้ปรากฏชัดในโลกว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่ในโลกเรานี้อย่างแน่นอน เหมือนกับคนเช่น เอลดาด,เมดาด หรือ มาตินบูเบอร์ ซึ่งไม่ได้อยู่ในเต๊นท์นัดพบ ก็ยังได้รับพระจิตแห่งความจริงด้วย
• คนต่อมา ชื่อ บอร์นฮอรฟ์ เป็นศาสนบริกรลูเทอรัน เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่แสดงตนชัดเจนในการต่อต้านฮิตเลอร์ และประกาศว่า การที่ฮิตเลอร์ทำกับชาวยิวนั้นไม่ถูกต้อง บอร์นฮอร์ฟไม่ยอมเงียบ เขาจึงถูกจับ,ทรมานและถูกฆ่าตายในที่สุด บอร์นฮอร์ฟ จะได้เป็นมรณสักขีหรือเป็นนักบุญหรือเปล่า? แน่นอน แต่ว่าจะเป็นอย่างไรดี คนที่เป็นคาทอลิกเท่านั้นที่จะเป็นนักบุญได้ไม่ใช่หรือ? บอร์นฮอร์ฟตายโดยที่ไม่ได้เป็นคาทอลิก ท่านประกาศความจริงและให้กำลังใจ, ให้คนเข้มแข็งและแสดงให้เห็นถึงพละกำลังของพระจิตเจ้าในตัวของท่าน พระจิตของพระเยซูได้นำพระศาสนจักรผ่านทางร่างกายของพระคริสตเจ้าโดยผ่านทางชีวิตของ บอร์นฮอร์ฟ ถึงแม้ว่า ชายผู้ยิ่งใหญ่นี้ จะไม่ได้ไปที่เต๊นท์นัดพบเพื่อได้รับพระพรแห่งการเป็นคาทอลิกก็ตาม
• ชีวิตของ มหาตมะ คานธี เป็นชาวฮินดูและเป็นคนต่างศาสนา แต่ชีวิตของท่านและการที่ท่านได้ยอมตายเพื่อรักษาหลักการเช่นเดียวกับพระคริสตเจ้า เป็นไปได้ใหมว่า คานที ได้รับพระจิตเจ้าแม้ว่าท่านจะไม่รู้จักพระจิตเจ้านั้นเลย หรือแม้แต่ไม่รู้จักกับพระเยซูเจ้าเลย
• พ่อเชื่อว่า พละกำลังของพระจิตเจ้ามีมากกว่าข้อจำกัดทางศาสนา คานธีก็คงเป็นเหมือนชายในพระวรสารวันนี้ที่ได้ทำการไล่ปีศาจในนามของพระเยซู แม้ว่า ชายคนนั้นจะไม่ได้เป็นหนึ่งในศิษย์ 12 คนของพระเยซูเจ้าเลยก็ตาม แต่เขาได้แสดงพลังของพระเยซูเจ้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นศิษย์ของพระองค์เลยก็ตาม
• เมื่อพระเยซูเสด็จกลับขึ้นสู่สวรรค์ พระบิดาทรงส่งพระจิตเจ้าเพื่อปฏิบัติภารกิจต่อไป พระจิตของพระบิดาและพระบุตรยังคงดำเนินอยู่ในโลกของเราและหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนที่ยอมรับความรักของพระเจ้า
• พระเยซูเจ้าไม่ได้ห้ามคนที่ทำการในนามของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา” พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้ศิษย์ของพระองค์ติดตามชายคนนั้นไป แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้ศิษย์ของพระองค์และเราทุกคนให้รู้ว่า นั่นคืองานของพระเจ้า เราได้ปฏิบัติต่อผู้ที่ไม่ได้เป็นคาทอลิก เหมือนดังพี่น้องด้วยความเคารพเพราะ เรารู้ว่า พระเจ้าอาจพูดอะไรกับเรา ผ่านทางบุคคลเหล่านั้น และอาจพูดกับพวกเขาเหล่านั้นผ่านทางเราคาทอลิกด้วยเช่นกัน
• ขอให้โลกของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยพระจิตของพระเจ้า และให้เราเปิดตาของเราเพื่อรับสิ่งดีในตัวของบุคคลที่อยู่รอบข้างเรามากขึ้น ทุกศาสนา ทุกความดีงาม และปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรักต่อกันอย่างแท้จริง อันจะทำให้ ความรักในแบบพระเยซูเจ้าได้เป็นจริงในชีวิตของเรา
• ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

บุญตา

วัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ ตาก


ดู ไม่มีชื่อ ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า

ส.25 เทศกาลธรรมดา ปี B - อาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2009

1. สวัสดีพี่น้องที่เคารพ บทอ่านในวันนี้ทำให้เราสะท้อนถึง ความหวังของเราในเรื่องความรอดและพระวาจาได้เชิญชวนเราให้ไตร่ตรองว่า การดำเนินชีวิตเป็นศิษย์ที่เข้าใจชีวิตแท้ของพระเยซูเจ้านั้น ควรจะต้องทำอย่างไร?
2. หลายครั้งในชีวิตของคริสตชน เราลืมนำเอาพระวาจามารำพึงในชีวิตของเราอย่างที่ควรจะเป็น เรามักจะทำแค่ขอให้เรามีความเชื่อและมีประสบการณ์ในชีวิตที่เข้มแข็งก็พอแล้ว
3. ในหนังสือปรีชาญาณในวันนี้ สะท้อนให้เราเห็นว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าบางคนพยายามที่จะทำความดีมากๆ นั่นก็คือ บางครั้งคนอื่นๆจะไม่เชื่อว่า คนคนนั้นจะเป็นคนดี หรือจะทำดีจริงๆได้ แล้วทุกคนก็อยากจะทดสอบความดีของคนคนนั้น ด้วยการที่เราคิดว่า ถ้าเราสามารถหาความผิดในตัวของผู้อื่นได้ เราก็จะลบล้างความดีทั้งหมดของเขาได้
4. พี่น้องครับ เวลาเราทำความดีนั้น ความดีจะเชิญชวนเราเสมอให้เปลี่ยนแปลงตัวเราเอง ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะดีได้ ถ้าพ่อถามว่า เราอยากเป็นคนดีไหม? หรือว่า เราแค่ทำความดีให้คนอื่นคิดว่า เราเป็นคนดี? หรือเราได้พยายามมองดูพระประสงค์ของพระเจ้าและพยายามดำเนินชีวิตไปตามสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาให้เราเป็น?
5. พวกเราหลายๆคน ไม่ค่อยสนใจว่า พระเจ้าต้องการอะไรจากเรา เพราะเรามักคิดว่า สิ่งที่พระเจ้าต้องการ กับสิ่งที่เราต้องการนั้น ไม่เคยเป็นสิ่งเดียวกันเลย
6. แม้ว่า บางสิ่งบางอย่างในชีวิตของเราก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายอะไร ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของเรา แต่เราก็ไม่อยากรับความทุกข์ทรมานหรือเผชิญหน้ากับความยากลำบากในชีวิต
7. เราได้เห็นสถานการณ์นี้ในพระวาจาวันนี้ด้วย ศิษย์ของพระเยซูไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์บอก เมื่อพระองค์กำลังบอกว่า พระองค์กำลังจะไปรับทรมาน จะต้องตายและจะกลับฟื้นคืนชีพในวันที่สาม แทนที่จะเข้าใจ กลับเริ่มคุยกันว่า ใครจะเป็นใหญ่กว่ากัน หรือพูดง่ายๆว่า ใครจะเป็นคนสำคัญที่สุด นี่แหละคือชีวิตจริงของมนุษย์
8. พี่น้องเคยคุยกัน หรือถกเถียงกันไหมว่า ใครจะเป็นใหญ่กว่ากัน ถ้าเราเคยเราก็กำลังเป็นเหมือนกับศิษย์ของพระเยซูนี่เอง
พระเยซูเจ้าทรงชัดเจนมาก พระองค์บอกกับศิษย์ว่า สิ่งสำคัญประการเดียวที่จะทำให้เราเป็นคนสำคัญได้ก็คือ การรับใช้ผู้อื่นด้วยความรัก
a. เราจะยอมทนทุกข์เพื่อกันและกันได้ไหม?
b. หรือ เราจะยอมเสียสละในสิ่งที่เรามี เพื่อให้คนอื่นนั้นมีมากกว่าเราได้ไหม?
c. หรือเราจะยอมให้ตัวเองลำบากเพื่อให้คนอื่นสบายกว่าเราได้ไหม นี่คือคำถามที่จะทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจเลย
พระเยซูเจ้าในวันนี้ เชิญชวนเราให้ดำเนินชีวิตเพื่อผู้อื่น รับใช้กันและกัน ยอมเป็นคนสุดท้ายเพื่อให้คนอื่นๆได้เป็นคนแรก
9. พี่น้องครับ คำสอนนี้ต่อต้านความเป็นตัวตนของธรรมชาติมนุษย์ และต่อต้านต่อ “ค่านิยมของสังคมโลกในปัจจุบัน”
10. พี่น้องครับ เราจะติดตามพระเยซูเจ้าไปหรือเปล่า? หรือ เราจะเลิกคุยกัน เถียงกันว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด?
11. ขอพระเจ้าประทานพระพรให้เราเข้มแข็งในการติดตามพระองค์ด้วย ความรัก และ ความถ่อมตน เสมอ

ส.24 เทศกาลธรรมดา ปี B - อาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2009

1. มีเรื่องเล่าว่า เชอร์ล๊อคโฮมกับดอกเตอร์วัตสันก็ไปแคมป์ปิ้งกันสองคน ขณะที่ทั้งสองกำลังนอนหลับอยู่นั้น โฮมก็ปลุกวัตสันแล้วบอกว่า “วัตสัน ลองมองไปที่ท้องฟ้าซิและบอกซิว่า คุณเห็นอะไรบ้าง?” วัตสันตอบว่า “ผมเห็นดวงดาวเป็นล้านๆดวงเลย” โฮมถามต่อว่า “และมันบอกอะไรกับคุณบ้าง” วัตสันตอบว่า “ดาราศาสตร์ บอกกับเราว่า มีกาแลคซี่เป็นล้านๆและมีดวงดาวอีกมากมายในจักรวาลนี้”
2. เทววิทยา,บอกกับเราว่า พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่และเรานั้นเล็กน้อยและไม่มีค่าอะไรเลย
3. อุตุนิยมวิทยา,บอกเราว่า พรุ่งนี้เราจะมีวันที่สดใสหรือไม่? และคุณหล่ะ พวกนี้บอกคุณว่าอะไรมั่ง” โฮมตอบว่า “มีคนขโมยเตนท์ของเราไปแล้ว!”
4. บางคนก็มีความรู้มากมายแต่เมื่อกลับไปมองดูในชีวิต กลับได้คะแนนในชีวิตเป็นศูนย์ เหมือนกับ น.เปโตรในพระวรสารวันนี้
5. มีนักวิชาการทางพระคัมภีร์บอกเราว่า พระวรสารในวันนี้เป็น “ศูนย์กลางของพระวรสารของ น.มารโก” ครึ่งแรกของพระวรสารเป็นการนำเรามาสู่พระวาจาในตอนนี้ , และครึ่งที่สองก็เริ่มต้นจากนี้ไป
6. ตั้งแต่ตอนต้นพระวรสารจนมาถึงจุดนี้ เป็นการเตรียมสำหรับการ “ไขแสดงถึงความลับที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระแมสซิยาห์”, ในตอนนี้เองที่ “ความเป็นพระแมสซิยาห์” ได้ถูกเผยแสดง, และจากนี้ไปจนจบพระวรสารจะเริ่มต้น “ภารกิจเข้มข้นของพระเยซูเจ้าในฐานะพระแมสซิยาห์” ดังนั้นในพระวรสารวันนี้ คือ การที่พระเยซูเจ้าทรงทดสอบศิษย์ของพระองค์เพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขาเข้าใจพระองค์แล้วหรือยัง?? การสอบถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน , ส่วนแรกสองเรื่อง เทววิทยา ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของการปฏิบัติ
7. ในส่วนแรกนั้น พระเยซูเจ้าทรงถามเป็นคำถามกับ น.เปโตรว่า “คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร” ในสมัยนั้น เขาจะชอบถามก่อนว่า คนอื่นคิดอย่างไร แล้วจึงค่อยๆบอกความคิดของตนเองว่า คิดอย่างไร? เปโตร โฆษกของบรรดาศิษย์ตอบทันทีว่า “พระองค์คือพระแมสซิยาห์(พระคริสตเจ้า) ” นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญเพราะพระเยซูเจ้ากำลังเปิดเผย ถ้าเราอ่านในพระวรสารของ น.มัทธิว เราก็จะพบว่า พระเยซูเจ้าทรงดีใจและทรงมอบรางวัลให้กับเปโตร บอกว่า เปโตรได้รับการเผยแสดงนี้จากพระเจ้า และพระองค์ได้ให้รางวัล นั่นคือ ก่อนหน้านี้เปโตรชื่อ ซีมอน พระองค์ให้ชื่อใหม่ว่า เปโตร ซึ่งแปลว่า ศิลา และบนศิลานี้ พระเยซูเจ้าจะทรงตั้งพระศาสนจักรของพระองค์ ประตูนรกจะไม่มีวันเอาชนะพระศาสนจักรได้ นี่บททดสอบบทแรก บททดสอบเทววิทยา เปโตรผ่านฉลุย.
8. บททดสอบที่สอง นั่นก็คือ บททดสอบภาคปฏิบัติซึ่งเป็นข้อสรุปของบทที่ 1 “พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ว่า บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานอย่างมาก จะถูกผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่สามวันต่อมาจะกลับคืนชีพ” ข้อ 31
9. จากจุดนี้เองที่ เปโตรไม่เห็นด้วยกับพระเยซูเจ้า แม้ว่าเขาจะได้ 100% ในคะแนนสอบทางเทววิทยา , แต่ในความเป็นจริง เปโตรแสดงให้เห็นว่า ท่านไม่รู้อะไรเลยในเรื่องการปฏิบัติในสิ่งที่ท่านได้ตอบไป ดังนั้นพระเยซูเจ้าเลยตำหนิเปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง อย่าขัดขวาง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” ข้อ 33. ศิลาที่พระเยซูจะสร้างพระศาสนจักร กลายเป็น ซาตานในทันที.
10. สิ่งที่เป็นสิ่งที่ทำให้เปโตรอยู่ในอาการที่เรียกว่า ช๊อค , และน่าจะคล้ายพวกเราด้วยเช่นกัน เราอาจเป็นเหมือนกับเปโตร คือ ให้ความสนใจต่อเรื่องของคำสอน เทววิทยา แต่สนใจต่อการปฏิบัติจริงๆในชีวิต
11. เวลาที่เราเตรียมผู้เรียนคำสอน เราก็พยายามสอนข้อคำสอนมากมายและก็ทดสอบในสิ่งที่พวกเขาได้เรียน ตอบได้หมด เมื่อเราถามว่า “ท่านมีความเชื่อในข้อคำสอนนั้นหรือไม่??” เขาก็ตอบว่า “เชื่อครับ” เราก็ทำการล้างบาปให้เขา แต่หากถามว่า เราได้ตรวจสอบว่าในชีวิตจริงนั้นเขาปฏิบัติอย่างไร? เราคงไม่ได้ลงไปลึกขนาดนั้นได้ แต่สิ่งเหล่านี้อาจจะมากเกินไปสำหรับเรา แต่สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์มองว่า จำเป็นที่จะต้องมีการปฏิบัติในชีวิตจริงๆของเราด้วย”
12. ในเรื่อง วันพิพากษา พระเยซูเจ้าได้เปิดเผยว่า เราจะถูกตัดสินโดยที่ว่า เรานั้นได้ปฏิบัติความเชื่ออย่างไร? มากกว่าการที่เรามีความเชื่อมากน้อยแค่ไหน? แน่นอนว่า ความรู้ และการปฏิบัตินั้นก็สำคัญทั้งสองอย่าง แต่ชีวิตที่ปฏิบัตินั่น สำคัญอย่างยิ่งและมาเป็นที่ 1 ต่อหน้าพระเจ้าเสมอ
13. ให้เราได้วอนขอพระเจ้าในวันนี้ เพื่อให้เรามั่นคงในความเชื่อที่แท้จริงดุจดังศิลา แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ ขอให้ “การปฏิบัติในชีวิตของเรานั้นเป็นจริงมากขึ้นในชีวิตของเราด้วย”
14. ขอพระเจ้าอำนวยพระพรแด่พี่น้องเสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

วัดคาทอลิกนักบุญเปโตร จ.อุทัยธานี


ดู วัดคาทอลิกนักบุญเปโตร ท่าซุง จ.อุทัยธานี ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า

บ้านไร่


ดู กลุ่มคริสตชนคาทอลิก อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า

แผนที่วัดนักบุญเทเรซา แม่สอด


ดู วัดนักบุญเทเรซา แม่สอด จ.ตาก ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า

ส.23 เทศกาลธรรมดา ปี B - วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2552/2009

1. การใช้เวลาอยู่ในกลุ่มของคนที่ตาบอดและหูหนวกนั้น ทำให้เราตระหนักว่า คุณค่าและพระพรแห่งการพูดและการได้ยินเสียงต่างๆ นั้นมีค่าแค่ไหน? คนเหล่านั้นถูกตัดขาดจากโลกแห่งเสียงและไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการสนทนากับเพื่อน, เสียงหัวเราะของเด็กๆ และความสนุกสนานในการฟังเพลงใดใด
2. ชายในพระวรสารวันนี้ เราเห็นว่า ชายคนนี้ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้พบพระเยซูเจ้าในวันนี้ พระองค์รักษาชายตาบอดหูหนวก ทำให้เขาได้พบจุดเปลี่ยนในชีวิตและทำให้เขากลับมาเป็นคนธรรมดาๆ เหมือนกับเรา
3. พี่น้องครับ เราทุกคนโชคดีที่เกิดมาได้ยินเสียงและสามารถพูดได้ แต่พระพรทั้งสองประการนี้จะต้องมีความหมายมากกว่าการที่เราใช้เพื่อสื่อสารเท่านั้น
4. นั่นคือ เราสามารถฟังเสียงของพระเจ้าและประกาศพระวาจาของพระองค์ นี่คือสิ่งที่เราไม่ควรจะลืม อะไรที่เราพูดและอะไรก็ตามที่เราได้ยิน กำหนดให้เราทำอะไรและทำให้เราเป็นคนอย่างไรได้
5. นี่คือโอกาสของเราที่เราจะได้ เอาใจใส่ต่อคนที่ดำเนินชีวิตอย่างโดดเดี่ยว (บุคคลชายขอบของสังคม) เพราะการเป็นคนหูหนวกและตาบอด อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งที่ดีที่เราจะระลึกไว้เสมอว่า คนหูหนวก ไม่ได้มีอยู่แค่ในสมัยของพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่มีอยู่ตลอดทุกกาลสมัย และอาจหมายถึงในสมัยของเราที่บางคน ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธที่จะฟังเสียงของพระองค์
6. เราทุกคนต้องการการรักษาจากมือของพระคริสตเจ้า เพื่อทำให้เราได้ยินและบอกเล่าข่าวดีของพระเจ้า
7. พระเยซูเจ้าคือผู้เดียวที่สามารถรักษาคนหูหนวกและตาบอดจากสิ่งที่เราเป็น เพื่อเราจะได้ใช้ความสามารถนี้ได้ เป็นไปได้ที่เราอาจเป็นเหมือนคนตาบอดหูหนวกนี้เพราะการปฏิเสธที่จะฟังคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว , ผู้คนที่มีปัญหา,และคนที่วิตกกังวลต่อชีวิต
8. หลายๆ ครั้ง ปากของเราซึ่งสามารถพูดได้ ออกเสียงได้ ก็อาจไม่ได้พูดคำที่ให้กำลังใจกันและกันมากเท่าที่ควร หรือเป็นคำพูดที่ให้ความหวังและกำลังใจ หรือเรากลายเป็นคนระมัดระวังคำพูดในเวลาที่เราควรจะพูดในความจริง และก็ยังมีปัญหาต่อการพูดคุยกับเพื่อนบ้านเพราะว่าเรามีรั้วกั้นบ้านเป็นแนวยาวหรือมีความอิฉาริษยาต่อกัน
9. พี่น้องครับ สิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการบอกกับเราในวันนี้ก็คือ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การเกิดมาเป็นคนตาบอด หรือหูหนวก แต่เป็นเพราะ “มีหูแต่ไม่ได้ยิน มีลิ้นแต่ไม่ยอมพูด” เราก็เป็นคนตาบอดหูหนวกคนหนึ่ง ที่จำเป็นจะต้องก้าวไปหาพระเยซูเจ้าเพื่อให้พระองค์รักษาเรา เพื่อให้เราเป็นผู้สื่อสารในที่เงียบสงัด เป็นเพื่อนกับคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในชีวิต และให้กำลังใจกับผู้ที่หมดหวังในทุกโอกาสของเรา
10. พ่อขอนำข้อคิดจากผู้ที่ไปเข้าเงียบครั้งที่ผ่านมา
a. ชัดเจนในตัวเองว่า ที่ได้คิดว่าได้ใช้ชีวิตติดตามพระองค์มาตลอดนั้น ความจริงแล้วยังไม่ใช่เลย มีอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้ และดำเนินชีวิตอย่างจริงจัง ในคุณลักษณะต่างๆ ตามแบบฉบับ ของพระองค์
b. เพิ่งรู้ว่า ได้ปล่อยให้พระองค์ทำงานหนักเพียงฝ่ายเดียวมานานแสนนาน โดยไม่ให้ความ ร่วมมือและไม่เปิดใจตัวเองอย่างจริงจัง จนทำให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรัก และความอดทน ของพระองค์อย่างมากมาย ในขณะนี้
c. พระวาจาของพระองค์ มีชีวิต พูดได้ และน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ
11. ขอพระเจ้าประทานพระพระแด่พี่น้องเสมอไป

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ส.22 เทศกาลธรรมดา ปี B -


วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2552/2009


นักบวชสององค์ คนหนึ่งชื่อว่า บราเดอร์ฟรังซิส อีกองค์นั้นอาวุโสกว่า กำลังเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยโคลนและฝนก็กำลังตก ขณะที่กำลังเดินไปนั้นเอง ก็ได้พบกับเด็กสาวน่ารักในชุดผ้าไหมอย่างดี กำลังยืนด้วยความกลัวที่จะข้ามแม่น้ำไป เพราะว่ามีน้ำท่วมและโคลนเลนมากมาย “มาเลยสาวน้อย” บราเดอร์ฟรังซิสบอก และเข้าไปอุ้มเด็กหญิงคนนั้นไว้ในแขนที่แข็งแรงของบราเดอร์ แล้วก็พาเธอข้ามแม่น้ำไป นักบวชทั้งสองก็เดินไปด้วยกันอย่างเงียบๆจนมาถึงอารามของพวกเขา พระอาวุโสกว่าที่นิ่งเงียบมานานก็พูดขึ้นมาว่า “พระไม่ควรจะเข้าใกล้หญิงสาว” พระอาวุโสว่า “ไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวย ทำไมเธอถึงทำเช่นนั้น” บราเดอร์ฟรังซิสก็ตอบว่า “พี่ชายที่รัก, ผมได้วางเด็กหญิงคนนั้นไปที่ริมฝั่งแม่น้ำตั้งนานแล้ว แต่ว่า พี่ชายยังคงแบกเธอมาตลอดทางจนถึงอารามแห่งนี้”
ในพระสององค์นี้ เราได้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างชีวิตฝ่ายจิตของคริสตชนด้วย นั่นคือ สิ่งที่หลีกเลี่ยงและสิ่งที่ควรรวมเข้าไว้ 1. ชีวิตจิตแบบหลีกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแนวคิดของศาสนาในยุคดั้งเดิม และก็หลีกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่คนที่ทำบาป ก็ต้องหลีกเลี่ยง เป้าหมายก็คือ คนคนนั้นจะได้ไม่เป็นคนบาปไปด้วย

2. ชีวิตจิตแบบที่สอง ให้ความสนใจต่อคนบาป ผู้ซึ่งบ่อยครั้งเราบอกว่า ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปสัมผัสแตะต้อง แบบนี้ไม่ต้องหนีแต่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ และเชื่อว่า การจุดเทียนเล่มหนึ่ง ดีกว่าการนั่งด่าแช่งความมืดมิด

ความสมดุลย์ของชีวิตของคริสตชน ก็คือ เราต้องทำให้ทั้งสองแบบกลมกลืนกัน อย่างที่ น.ยากอบบอกกับเราว่า “ความเลื่อมใสศรัทธาบริสุทธิ์และไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าพระบิดา คือ การเยี่ยมเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน(การรวมเข้ากับโลก) และการรักษาตนให้พ้นจากมลทินของโลก(การหลีกหนีจากโลก) ” ยากอบ 1:27

ในพระวรสารในวันนี้ บรรดาฟารีสีและธรรมาจารย์ ได้พูดแต่เรื่อง ชีวิตจิตแบบหลีกเลี่ยงทุกอย่าง (ที่อาจทำให้เป็นมลทิน) พุ่งไปที่พิธีกรรมต่างๆ บ่นเรื่องการไม่ล้างมือก่อนกินข้าว สนใจแต่ในเรื่องพิธีกรรมการล้างมือซึ่งหมายถึงความแตกต่างกับชาวต่างชาติ แต่ไม่ได้สังเกตว่า สิ่งที่พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ของพระองค์ทำก็คือ การที่ไม่มองเห็นความแตกต่างระหว่างชาวยิวหรือชาวต่างชาติ แต่สนใจว่า จะทำให้ทั้งสองชาติเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? พระองค์จึงตรัสว่า “พระองค์ทรงเรียกประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตรัสว่า “ทุกคนจงฟัง ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์ทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั่นแหละ ทำให้เขามีมลทิน” (Mark 7:14-15)

ประโยคเดียวของพระเยซูเจ้านี่แหละ ลบล้างรูปแบบของศาสนาที่มีแต่ความกลัว การหลีกเลี่ยงอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งหมด ลบล้างความแตกต่างระหว่างบุคคล คนต่างชาติไม่ทำให้คนยิวไม่สะอาด ในขณะเดียวกันคนยิวก็ไม่ได้ทำให้คนต่างชาติไม่สะอาด
ไม่มีอะไรและไม่มีใครที่มาจากภายนอก ที่จะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ ถ้ามีใครสักคนหรือของบางอย่างทำให้เรารู้สึกมีมลทินได้ นั่นก็อาจบอกได้ว่า เรานี่แหละที่ทำให้เป็นมลทินก่อนเป็นคนแรก เราจำเป็นต้องมองให้ลึกลงไปในหัวใจและวิญญาณของเรา คนที่มีใจสะอาด มองไม่เห็นอะไร นอกจากทุกที่และทุกคนเป็นคนบริสุทธิ์
“ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะจะได้เห็นพระเจ้า”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมพระเยซูจึงไม่รังเกียจที่จะสัมผัสต่อคนพิการ ไปกินข้าวกับคนบาป และยอมให้ หญิงไม่สะอาดมาสัมผัสพระองค์ พระองค์ทรงเข้าร่วมชีวิตกับคนบาป จนพระองค์มีชื่อเล่นที่พวกเขาตั้งให้ว่า “เป็นเพื่อนของคนเก็บภาษีและคนบาป” (Matthew 11:9).

วันนี้เป็นวันดีที่เราจะได้มองเข้าไปดูในหัวใจของเรา ในชีวิตฝ่ายจิตของเราอีกครั้งหนึ่ง และถามตนเองว่า เราเป็นเหมือนพระอาวุโสองค์นั้นหรือเปล่าที่อาจทิ้งให้เด็กหญิงคนนั้น ยืนหนาวด้วยความกลัว แต่พระอาวุโสนั้น ก็ไม่ยอมช่วยเพราะกลัวจะเสียความศักดิ์สิทธิ์ไป?
พระวรสารในวันนี้จึงท้าทายเราให้เราเป็นเหมือนกับ บราเดอร์ฟรังซิส ที่พร้อมจะช่วยเหลือต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งๆที่รู้ว่า นี่อาจทำให้เป็นมลทินได้ แต่ในเวลาเดียวกัน สิ่งสำคัญก็คือ ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่ทำให้เราเป็นมลทินได้

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้อง

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ส.17 เทศกาลธรรมดา ปี B - อาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2552-2009

• เด็กชายคนหนึ่งก็ไปเรียนคำสอนที่วัดในวันอาทิตย์ เมื่อเรียนเสร็จแม่ก็ไปรับ ระหว่างทางที่กำลังนั่งในรถนั้นเอง เขาก็บอกแม่ว่า “เรื่องโมเสสและผู้คนที่ข้ามทะเลแดงมีบางสิ่งบางอย่างครับแม่” “ไหนบอกแม่มาซิ”

• "เมื่อชาวยิวได้รับอนุญาตให้ออกจากแผ่นดินอียิปต์แล้ว แต่กษัตริย์ฟาโรห์และกองทัพก็ยังไล่ตามพวกชาวยิวไป ชาวยิวก็เลยวิ่งหนีให้เร็วที่สุด จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทะเลแดง กองทัพของกษัตริย์ก็ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา โมเสสก็เลยใช้วิทยุสื่อสารไปบอกกองทัพอากาศอิสราแอลให้ส่งเครื่องรบมาบอมบ์พวกอียิปต์ และในขณะนั้นเอง กองทัพเรือของอิสราแอลก็สร้างแพเพื่อให้ชาวยิวได้เดินข้ามทะเลแดงไปได้”

• แม่ก็ช๊อคไปเลยแล้วจึงถามลูกชายว่า “นี่เขาสอนลูกอย่างนี้หรือ?” "ก็ไม่เชิงครับแม่" ลูกชายตอบ"แต่ถ้าผมเล่าแบบที่เขาเล่ามา แม่ก็ไม่เชื่อผมอยู่ดีนั่นแหละ”

• เด็กน้อยคนนี้คิดแบบเด็กๆ และอาจไม่เชื่อในเรื่องอัศจรรย์ใดใดและไม่มีที่ว่างสำหรับความจริงทางจิตวิญญาณ ทางด้านจิตใจ.

• ในพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ เรื่องราวของการเลี้ยงคน 5 พันคน น.ยอห์น อ้างถึงชื่อของศิษย์ 2 คนคือ ฟิลิปและอันดรูว์ ศิษย์สองคนนี้สามารถเป็นตัวแทนของ ความเชื่อในสองรูปแบบ

• ฟิลิป เป็นตัวแทนของ ความเชื่อแบบจับต้องได้ *อันดรูว์เป็นตัวแทนของความเชื่อแบบเหนือธรรมชาติ ทำให้อันดรูว์มีที่ว่างสำหรับอัศจรรย์ต่างๆและทำให้อัศจรรย์นั้นเป็นไปได้

พระเยซูและบรรดาศิษย์ของพระองค์ได้พบกับปัญหา ฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์ ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พระเยซูจึงหันไปหาฟิลิปและถามว่า “พวกเราจะไปซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน? (John 6:5). เราจึงตั้งคำถามว่า ทำไมพระเยซูจึงหันไปหาฟิลิปและทำไมจึงถามเรื่องการไปซื้อขนมปัง? บางทีพระเยซูอาจรู้ว่า ในจิตใจของฟิลิปนั้น ไม่อาจรับเรื่องที่ว่า จะเลี้ยงคนจำนวนมากมายนั้นได้อย่างไร? ยกเว้นแต่ต้องอาศัยเงิน? และนี้คือสิ่งที่ น.ยอห์นได้เพิ่มเติมเข้าไปว่า "พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา” (ข้อที่ 6). คำตอบของฟิลิปแสดงให้เห็นถึงการคำนวนเพียงแต่ตัวเลข คำนวนแต่ทางด้านวัตถุเท่านั้น "ขนมปังสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ไม่พอ”(ข้อที่7). แต่พระเยซูเจ้าทรงรู้ดีว่าพระองค์ทำอะไร พระองค์ถามคำถามเช่นนี้ เพื่อปลุกความคิดเรื่องเกี่ยวกับวัตถุแต่เพียงอย่างเดียวของฟิลิป

สำหรับอันดรูว์ ความเชื่อสำคัญกว่า พูดขึ้นมาว่า "เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว” (ข้อ 9). อันดรูว์รู้ดีว่า ขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวไปสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรเลย ต่อหน้าจำนวน 5000คน นับเฉพาะชาย ยังไม่รวมผู้หญิงและเด็ก

แต่อันดรูว์มีความเชื่อเพียงพอที่จะเห็นว่า ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เพียงพอสำหรับการเริ่มต้น. บางทีอันดรูว์อาจจะอ้างถึงปลา 2 ตัวกับขนมปัง เพราะท่านจำได้ว่า ที่งานเลี้ยงแต่งงานที่เมืองคานา พระเยซูยังเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นได้เลย ท่านจำได้ว่า พระเยซูมิได้ทำเปลี่ยนน้ำเป็ฯเหล้าจากความว่างเปล่า แต่ทำอัศจรรย์จากบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ และเป็นหน้าที่ของบรรดาศิษย์ที่จะต้องเป็นผู้จัดหาสิ่งธรรมดาๆ เพื่อพระเยซูเจ้าจะได้ทรงทำอัศจรรย์ได้ เหมือนอย่างการเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น, หรือขนมปังที่จะเลี้ยงคนจำนวนมากๆ

ดังนั้น ความเชื่อไม่ได้หมายความว่า เราไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วก็มองไปที่สวรรค์เพียงอย่างเดียว แทนที่จะทำอย่างนั้น เราต้องเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แม้เป็นเพียงแค่ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ อัศจรรย์คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน
• อัศจรรย์ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อเรา แต่พระองค์ทรงทำร่วมกับเราด้วย
• เฮนรี่ ฟอร์ด เคยกล่าวไว้ว่า "ไม่ว่าคุณจะคิดว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ คุณก็ถูกเสมอ"
• เช่นกันเราอาจจะบอกได้ว่า ไม่ว่าคุณจะเชื่อในอัศจรรย์หรือไม่ก็ตาม ผู้ที่มีความเชื่อก็สามารถทำให้เกิดอัศจรรย์ในชีวิตของเราได้เสมอ

ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อ ก็ปิดโอกาสของตัวเองที่จะมีประสบการณ์เกี่ยวอัศจรรย์ต่างๆ ดังเช่นที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสไว้เสมอๆ ว่า “จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อเถิด” (Matthew 9:29)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ส.16 ธรรมดา ปี B - 19 ก.ค.2009

• มีรูปภาพในยุคแรกเริ่มของคริสตชนที่วาดบนกำแพงในอุโมงคาตากอมในกรุงโรม ก็คือรูปของพระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะ กำลังอุ้มลูกแกะอยู่บนบ่า สิ่งนี้เป็นหัวใจหลักของแนวคิดของคริสตชนในยุคแรกเริ่มที่วันนี้เราได้ฟังพระวรสารซึ่งพระคริสตเจ้าได้ทรงสงสารบรรดาผู้คนที่พวกเขาเหมือนกับแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง
• เหตุการณ์ในเวลานั้น ก็คือ ช่วงเวลาที่บรรดาศิษย์ที่กลับมาจากการทำงาน กลับมาจากการมีประสบการณ์ครั้งแรก พวกเขาเหนื่อยและจำเป็นที่จะต้องได้รับการพักผ่อน พระเยซูทรงรู้ถึงความต้องการนี้และพระองค์ต้องการพาพวกเขาไปสู่ที่เงียบสงบ เพื่อพวกเขาจะได้ผ่อนคลายและใช้เวลาว่างๆเพื่อสวดภาวนา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
• เพราะว่ามีผู้คนมากมายที่ติดตามไปทุกที่ที่พวกเขาไปและไปถึงก่อนพวกเขา บางทีอาจมีบางคนที่คาดว่า พระเยซูต้องไล่ผู้คนเหล่านั้นไป แต่พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนสถานการณ์เหล่านั้น กลายเป็นการสนใจต่อความต้องการของผู้คนเหล่านี้
• พี่น้องครับ เรามาเรียนรู้หัวใจของพระเยซูที่พระองค์ทรงสนใจต่อความต้องการของผู้อื่นก่อนที่จะสนใจเรื่องของตนเอง และถ้าพระเยซูเจ้าไม่ทรงพักผ่อน เราเองซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ก็คงต้องไม่พักเช่นกัน
• เมื่อหน้าที่จากศีลล้างบาปเรียกร้องจากเรา เราทุกคนจึงมีความรับผิดชอบและมีหน้าที่ของการเป็นชุมพาบาลด้วยเช่นกัน
• พ่อยกตัวเช่นในครอบครัวของเรา หากเด็กๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่และให้คำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม เด็กๆ เหล่านั้นก็อาจหลงเดินทางผิดและดำเนินชีวิตอย่างไร้จุดหมาย
• พี่น้องครับ การเป็นนายชุมพาบาลที่ดีอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นนั้นคือ อย่าทำให้เป็นหน้าที่ หนทางที่พระองค์ต้องการให้เราเดินก็คือ ทางตรงและหนทางแคบๆ ของพระบัญญัติ 10 ประการ แม้ว่า เราจะติดต่อกับพระเยซูเจ้าโดยการภาวนาได้ แต่เราก็พบว่า มีหนทางอื่นๆ ที่อาจดึงดูดใจของเราให้หลงเดินนอกทางของพระองค์
• พี่น้องครับ สิ่งที่พระวรสารบอกเราในวันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราต้องหาสถานที่เงียบๆ สำหรับชีวิตของเรา เพื่อเราจะสามารถอยู่ตามลำพังกับพระเยซูเจ้าในการสวดภาวนา และเหมือนกับพระเยซูเจ้า เราจำเป็นจะต้องหลีกหนีเวลาที่ทำให้เรายุ่งวุ่นวายตลอดเวลา และหนีจากความกดดันต่างๆในชีวิตของเราเพื่อจะรับฟังเสียงแห่งการรักษาเยียวยาจากพระเจ้าและทำให้จิตวิญญาณของเราสดชื่นขึ้น เสียงของพระเจ้าเป็นเสียงที่ดีที่สุดในการทำให้เราเกิดความสงบ เพียงแต่เราให้พระเยซูเจ้าทรงเข้ามาสร้างบ้านของพระองค์ในหัวใจของเรา มันจะทำให้เราได้รับพละกำลังและความเข้มแข็งจากพระเจ้าเพื่อช่วยเราในการดำเนินชีวิต
• พี่น้องครับ การภาวนาโดยลำพังกับพระเจ้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตของเรา เมื่อเราอยู่ตามลำพังกับพระองค์ เราต้องถามตัวเราเองว่า ชีวิตของเรากำลังจะไปที่ไหน?และเราจะทำให้ชีวิตเราบรรลุถึงสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร? เพราะถ้าเราไม่มีที่ว่างให้กับพระเจ้าในชีวิตของเรา เราก็เสียเวลาเปล่าๆ และมองไม่พ้นจากสิ่งที่เราทำในชีวิตของเราเท่านั้น
• พี่น้องครับ ชีวิตของเรานั้นศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว แต่เราจะฟไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จนกว่าเราจะยอมรับความรักของพระเจ้าที่ให้เราได้มีส่วนและพักอยู่กับพระองค์แม้เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ตาม
• ขอพระเจ้าอำนวยพรแด่พี่น้องเสมอ

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2552.......


ส.15 เทศกาลธรรมดา ปี B
ชาวนาคนหนึ่งได้ว่าจ้างช่างไม้ให้มาซ่อมโรงนาเก่าๆ ของเขา วันแรก ช่างไม้ก็ทำงานได้ไม่ดีเท่าไร แถมยังมาทำงานสายเพราะยางรถแบน ระหว่างทางก็ทำเลื่อยไฟฟ้าพัง และในวันสุดท้ายรถเก่าๆก็สตาร์ทไม่ติด ชาวนาต้องขับรถไปส่งที่บ้านของช่างไม้ เมื่อมาถึงบ้าน ช่างไม้ก็เชิญชาวนาเข้าบ้านเพื่อพบปะกับครอบครัวของเขา

ขณะที่กำลังเดินผ่านประตูหน้าบ้าน ช่างไม้ก็หยุดที่ต้นไม้เล็กๆหน้าบ้าน เอามือทั้งสองจับที่ต้นไม้ แล้วจึงเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้ม พร้อมทั้งกอดลูกๆทั้ง 2 และจูบภรรยา หลังจากนั้นเขาก็เดินไปส่งชาวนาที่รถ เมื่อกำลังเดินผ่านต้นไม้นั้น ชาวนาก็อดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้นว่า เขาทำอะไรที่ต้นไม้ก่อนเข้าบ้าน ช่างไม้ตอบว่า “นั่นคือต้นไม้แห่งปัญหา” ผมไม่รู้หรอกว่า ปัญหาของผมจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือ ปัญหานั้นจะต้องไม่เข้ามาในบ้านของผม ไม่มาถึงภรรยาและลูกๆ ของผมอย่างแน่นอน ดังนั้น ผมจึงแขวนปัญหาต่างๆไว้ที่ต้นไม้นี้ ทุกๆ คืนเมื่อผมกลับมาบ้าน และเมื่อถึงตอนเช้าผมก็จะมาเอามันไป แต่มีเรื่องน่าขันก็คือ ทุกครั้งในเวลาเช้าที่ผมจะมาเอามันไป ปรากฏว่า มันก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว

พี่น้องครับ การมีต้นไม้แห่งปัญหา เป็นวิธีการที่ช่างไม้คนนี้ได้ตกลงกับตัวเองว่า จะจัดการกับปัญหาประจำวัน เพราะปัญหาและความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราทุกคนจึงต้องการต้นไม้แห่งปัญหา สิ่งนี้เองที่พระเยซูบอกกับศิษย์ของพระองค์ให้ไปประกาศข่าวดีให้กับโลก สอนพวกเขาให้ฉลาดที่จะจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยต้นไม้แห่งปัญหา “ถ้าที่ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากที่นั่น พลางสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานปรักปรำเขา”(Mark 6:11).

หรือ ถ้าท่านได้พยายามสอนผู้คนในหมู่บ้านและท่านพบกับความล้มเหลว จงอย่าให้ความล้มเหลวทำให้คุณรู้สึกแย่ จงสลัดฝุ่นและไปหมู่บ้านใหม่และเริ่มต้นด้วยหน้าตาสดชื่นแจ่มใส การสลัดฝุ่นออกจากเท้าเป็นวิธีการเดียวกับการแขวนปัญหาต่างๆไว้ที่ “ต้นไม้แห่งปัญหา” นั่นเอง
สิ่งที่เหมือนกันของ บรรดาศิษย์และช่างไม้ที่ชาญฉลาดนั้นก็คือ เราจำเป็นต้องมี ต้นไม้แห่งปัญหานั้น ทำไม? ก็เพราะว่าการเริ่มต้นด้วยปัญหาและความล้มเหลวนั้น เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันอยู่ในชีวิตของเราทุกคน แต่บางครั้ง เราจมอยู่กับปัญหานั้นนานไปหน่อยและให้ปัญหานั้นปล้นเอาความกระตือรือล้นและความสุขของเราไป บางครั้งเรายอมให้ปัญหาและความกดดันต่างๆ จากที่ทำงานมาสู่ที่ครอบครัวของเรา เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราจำเป็นต้องมีต้นไม้แห่งปัญหา ที่ซึ่งเราสามารถแขวนปัญหาและลืมปัญหาของเรา อย่างน้อยที่สุดก็ชั่วขณะหนึ่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องจบแต่ละวัน ด้วยการสลัดฝุ่นแห่งความกังวลและความล้มเหลวออกจากเท้าของเรา และรู้ว่า พรุ่งนี้ก็เป็นวันใหม่ ที่เราสามารถเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆได้เสมอ ฟุตบอลที่แพ้วันนี้ 10-0 พรุ่งนี้สกอร์บอร์ดก็เริ่มต้นที่ 0-0

พี่น้องครับ ทำอย่างไรถ้าเราไม่มีต้นไม้แห่งปัญหา? ถ้าเราไม่มีทางสลัดฝุ่นแห่งความล้มเหลวของเมื่อวานออกจากเท้าของเรา ฝุ่นมันยังเกาะเท้าเราแน่นทีเดียว สะสมไปเรื่อยๆ หนักขึ้นๆ ผลก็คือ ทำให้เราตกต่ำและสิ้นคิด เราล้มเลิกทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่ไปหมู่บ้านใหม่ๆแล้ว ไม่มีโครงการใหม่ๆในชีวิตแล้ว แต่พระเยซูเจ้าไม่ต้องการให้เราเป็นแบบนั้น พระองค์ต้องการให้เราเป็นผู้ที่เริ่มต้นใหม่ทุกวัน วันใหม่ ความท้าทายใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ

พี่น้องครับ ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้เตรียมให้เราพบกับความล้มเหลว พบกับความอ่อนแอต่างๆมากมาย และรู้ว่า เรายังเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง นักบุญทั้งหลายมิใช่คนที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ไม่ใช่คนที่ไม่เคยทำผิดพลาด แต่พวกเขาเป็นคนที่ตระหนักถึงความผิดพลาดนั้น รู้ตัว แก้ไข เริ่มต้นใหม่แล้วก้าวไปข้างหน้าทุกๆวัน ด้วยความหวังใหม่ๆ ในพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงดูแลเราด้วยต้นไม้แห่งปัญหา นั่นคือ พระคริสตเจ้า

“พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้ในพระวรกายบนไม้กางเขน”(1 Peter 2:24).ผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะศีลอภัยบาป เราสามารถเข้าไปถึงต้นไม้แห่งชีวิต ทำได้โดยการภาวนาในแต่ละวันอย่างที่ น.เปโตรได้บอกเราว่า

“จงละความกระวนกระวายทั้งมวลของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน”(1 Peter 5:7).

ขอพระเจ้าอำนวยพระพรแด่พี่น้องเสมอ

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ส.4 เทศกาลธรรมดา ปี B - วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2009

สวัสดีพี่น้องที่รักทุกท่าน

นักปรัชญาคนหนึ่งชื่อว่า คาร์ล มากซ์ เคยบอกไว้ว่า “ จุดมุ่งหมายของปรัชญานั้นต้องไม่เพียงแต่การให้คำอธิบายให้กับโลก แต่ต้องเปลี่ยนโลกด้วย” เช่นเดียวกับพระวาจาของพระเจ้าที่จะต้องถูกประกาศและสอนต่อไป

วันนี้ประชาชนที่เมืองคาเปอร์นาอุมได้รับคำแนะนำที่ศักดิ์สิทธิ์ในทุกทุกวันพระเจ้า แต่แล้ววันพระเจ้าวันหนึ่งพวกเขาได้พบ “อาจารย์” ที่สอนพวกเขาแตกต่างออกไป นั่นคือ องค์พระเยซูเจ้าที่ได้ตรัสกับพวกเขา “คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ ไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์”(Mark 1:22). คำสอนของพระเยซูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากคำสอนของธรรมาจารย์ หรืออีกคำก็คือ พระองค์สอนอย่างทรงอำนาจแต่พวกธรรมาจารย์ไม่ได้สอนเช่นนั้น การสอนอย่างทรงอำนาจหมายถึงอะไร?

เมื่อเราเปรียบเทียบความแตกต่างของการสอนของพระเยซูเจ้ากับพวกธรรมาจารย์ เราจะสังเกตถึงความแตกต่างได้ 3 ประการ

1.การสอนของพระเยซูมาจาก หัวใจ มิใช่จาก หัว heart and not just from the head,
2. การสอนของพระเยซูสนใจที่เรื่องจิตวิญญาณ มากกว่าการปฏิบัติตามตัวกฎตามตัวอักษร
3. การสอนของพระเยซูทำให้เกิดแนวคิดในแง่บวกที่ทำให้ผู้ฟังเปลี่ยนแปลงจากหัวใจ เปลี่ยนแปลงจากภายใน


พี่น้องครับ พระเยซูสอนจากใจ พระองค์สอนให้เชื่อถึงข่าวดีของพระองค์ เพราะพระองค์รู้ว่า ข่าวดีนี้เป็นข่าวดีที่มาจากพระเจ้าเอง ตรงกับจิตใจของพระเจ้า เหมือนที่ในพระวรสาร น.ยอห์น ได้กล่าวไว้ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เรากำลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็น” ยน 3:11
การสอนของพระองค์เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระเจ้า พระบิดาของพระองค์ แต่พวกธรรมจารย์ พวกเขาได้รับความรู้ที่ไม่ได้มาจากความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้า แต่มาจากการเรียนรู้ในเรื่องกฏหมายต่างๆ มาเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้น จึงเป็นการสอนที่มาจากหัว ไม่ได้มาจาก ใจ
ความแตกต่างอีกประการหนึ่ง ระหว่างการสอนของพระเยซูกับพวกธรรมาจารย์อยู่ที่ “เนื้อหาของข่าวดี” นั้นนั้น พวกธรรมาจารย์สอนตามตัวอักษร ปรับตามตัวอักษร แต่พระเยซูไปลึกกว่านั้น พระองค์ไปถึงเรี่องของจิตใจ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของกฏต่างๆ เนื่องจาก พระเยซูนั้นสามารถค้นพบคุณค่าในแง่บวกของกฏต่างๆ นั้น และบอกว่า กฎนั้นมีไว้เพื่อให้เราปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรัก


ยกตัวอย่างเช่น การถือกฏเรื่องวันพระเจ้า บรรดาธรรมาจารย์ก็จะวุ่นวายกับการดูซิว่า ใครบ้างที่ไม่ได้ถือกฏในเรื่องวันพระเจ้า ตั้งแต่วันได้เริ่มต้น จนกระทั่งวันนั้นได้สิ้นสุดลง แต่พระเยซูได้มองไปที่จิตใจของพระเจ้าผู้ประทานกฏต่างๆให้มนุษย์ เพื่อแสดงออกถึงความรักความห่วงใยระหว่างพ่อกับลูกๆ พระเยซูเจ้าสรุปว่า วันพระเจ้าก็คือวันที่เราอยู่ให้ห่างจากงานของเราเองเพื่อไปรับใช้พระเจ้าและทำงานของพระองค์ “พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่เสมอ เราก็ทำงานด้วยเช่นกัน” ยน 5:17. ข่าวดีนี้ ประชาชนที่ได้รับฟังต่างรู้สึกว่า พวกเขาได้รับการปลดปล่อยแอกหนัก และเป็นข่าวดีที่แตกต่างจากสิ่งที่พวกธรรมาจารย์ได้มอบแอกหนักให้พวกเขามาโดยตลอด

ความแตกต่างสุดท้ายก็คือ สิ่งที่พระเยซูสอนนั้น เรารู้ได้ทันทีว่า พระองค์มีความตั้งใจให้เรามีภาพบวก เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหัวใจของประชาชน มิใช่แค่ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ดี พวกธรรมาจารย์สอนให้ประชาชนทำตามกฏต่างๆและตามประเพณี แต่พระเยซูสอนให้เราเห็นแง่บวกด้วยการที่พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด ซึ่งพวกธรรมาจารย์กลับมองอีกมุมว่า ทำไมเขาถึงตาบอด แล้วก็ตัดสินว่า ที่เขาตาบอดนั้นก็มาจากบาปของเขา หรือไม่ก็ของพ่อแม่ ในทางตรงกันข้าม พระเยซูสนใจแต่เรื่อง ทำอย่างไรให้คนตาบอดมองเห็น พระองค์สนใจในเรื่องของการรักษา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ทำการรักษาและขับไล่ผีปีศาจไปพร้อมๆ กับการสอนของพระองค์ เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า บทบาทหน้าที่หลักของพระองค์ก็คือ การเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา มิใช่เพียงแค่อธิบายเพียงอย่างเดียว

พี่น้องครับ เมื่อเราได้ฟังพระวาจาของพระเจ้าทุกๆ สัปดาห์ เรากล้าให้พระวาจาท้าทายชีวิตของเราหรือเปล่า? เรากล้าทำให้เกิดแง่บวก มุมมองใหม่ๆ ในชีวิตของเรา หรือเราจะแค่คิด แต่ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต ถ้าอย่างนั้นแล้วพระวาจาของพระที่เราได้ยินในวันนี้ ก็จะเหมือนกับทุกทุกอาทิตย์ ทุกอาทิตย์ที่เราเคยได้ยินและผ่านไปเหมือนเดิม

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

ส.3 เทศกาลธรรมดา ปี B 2009

เรื่องราวของบุคคลแห่งศตวรรษที่ 20 ที่พวกเราไม่อาจลืมได้ นั่นก็คือ ชีวิตของเจ้าหญิงไดอาน่า ซึ่งได้ถูกเตรียมให้เป็นพระราชินีแห่งประเทศอังกฤษแต่พระนางได้กลายมาเป็นเจ้าหญิงในดวงใจของใครหลายๆ คนในโลก หลายคนบอกว่า เจ้าหญิงได้ยินเสียงเรียกของพระเจ้าที่บอกว่า “จงตามเรามาเถิด, เราจะให้เธอเป็นราชินีแห่งดวงใจ” พระนางจึงได้ละทิ้งชีวิตแห่งเกียรติยศ,สังคมชั้นสูง และซื่อสัตย์ต่อการเรียกของพระเจ้า และรับใช้พระเจ้าด้วยหนทางแห่งการรับใช้ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและบุคคลที่โลกลืม ในชีวิตอันแสนสั้นของเจ้าหญิง พระนางเอาชนะหัวใจคนทั้งโลก

พระวาจาในวันนี้ เราได้เห็น ซีมอนและอันดรูว์ ถูกเรียกเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขา พวกเขาเป็นชาวประมง พวกเขายุ่งวุ่นวายกับการจับปลา,ซ่อมแหอวน, แต่พวกเขาพบว่า พวกเขาจับปลาไม่ได้เลย แต่พวกเขาได้ยินเสียงของพระเยซูที่บอกว่า “จงตามเรามาเถิด, เราจะให้เจ้าเป็นชาวประมงหามนุษย์” แล้วพวกเขาก็ละทิ้งอวนและติดตามพระองค์ไป
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่พระเจ้าเชิญชวนเราให้ติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นและมีส่วนร่วมในภารกิจของพระองค์ สิ่งเหล่านี้อาจเรียกร้องให้เราเปลี่ยนแปลงหน้าที่บางอย่าง หรืออย่างน้อยที่สุดคือการเปลี่ยนตัวของเราเพื่อเข้าสู่การรับใช้ ไม่ว่าเราจะเลือกหนทางใด จงเพิ่มเติมเข้าไปในหนทางการเป็นครู,การเป็นผู้พยาบาล,เป็นนักธุรกิจ, การทำอาชีพที่สุจริต ฯลฯ ซึ่งเราสามารถตัดสินใจเลือกได้ สองแบบ คือ แบบแรก เป็นแบบที่เราเลือกทำเพื่อชีวิตของเราเอง หรือแบบที่สองเราเลือกที่จะทำเพื่อแสดงออกถึงการรับใช้พระเจ้าและเพื่อมนุษย์ ถ้าหากว่า ชาวประมงยังสามารถเป็นผู้จับวิญญาณได้ และเจ้าหญิงยังกลายเป็นเจ้าหญิงในดวงใจได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ หากเราเริ่มมองออกจากตนเองไปสู่การมีศูนย์กลางในพระเจ้า และไม่มองว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอีกต่อไป การแสวงหาเพื่อตน กลับกลายเป็นการแสวงหาเพื่อพระเกียรติมงคลของพระเจ้าและเพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์

การเรียกของพระเจ้า นำเราไปในที่ที่เราไม่คาดคิดว่า เราจะได้ไป เจ้าหญิงไดอาน่าต้องไปดูแลผู้พิการจากกับระเบิดและโรงพยาบาลที่รักษาคนโรคเอดส์ ประกาศโยนาห์ถูกเรียกไปเมืองนีนาเวห์ สำหรับชาวยิว เมืองนินะเวห์เป็นเมืองที่ชั่วร้าย,ไม่มีพระเจ้า,ผิดศีลธรรมและการโกงกินกันทุกรูปแบบ เมืองนินะเวห์เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอัสซีเรีย ซึ่งได้ทำลายพระวิหารและเนรเทศผู้คนออกไป เป็นเมืองใหญ่ซึ่งสังคมและเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด วัตถุนิยมแสดงตัวตนอย่างชัดเจนในรูปแบบของการผิดต่อศีลธรรม,การโกงกินคอรัปชั่นและอาชญากรรมที่เกิดขึ้นทุกวันที่เมืองนินะเวห์ สำหรับชาวยิวแท้อย่างโยนาห์ เมืองนินะเวห์ เป็นเมืองแห่งความชั่วร้าย และทางด่วนไปสู่หายนะที่ซึ่งความชั่วร้ายปกครองโดยไม่มีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงใดใด เมืองนินะเวห์เป็นเมืองแห่งความสิ้นหวัง ผู้คนสูญเสียจิตวิญญาณ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมโยนาห์จึงถูกส่งไปที่นั่น ท่านคิดว่า ภารกิจที่เมืองนินะเวห์นี้จะไม่มีวันสำเร็จ แต่สิ่งประหลาดก็เกิดขึ้นเมื่อ เมืองที่ทุกคนบอกว่า เป็นเมืองแห่งความชั่วร้าย ผู้คนที่ได้ยินได้ฟังพระวาจาของพระเจ้าแล้ว พวกเขารับมันไว้ด้วยความกระหาย, เป็นทุกข์เสียใจอย่างจริงใจ สำนึกในพระเมตตาของพระเจ้าและการอภัยที่พวกเขาได้รับ

พี่น้องครับ แม้ในทุกวันนี้ พระเจ้าทรงแสวงหามนุษย์ชายหญิงเพื่อจะส่งออกไปภารกิจแห่งเมืองนินะเวห์ ทุกวันนี้เมืองนินะเวห์อยู่ที่ไหน? เมืองนินะเวห์ของเราทุกวันนี้อยู่ที่เมืองที่มีการผิดประเวณี,ยาเสพติดและอาชญากรรม โยนาห์ไม่ได้ถูกส่งไปหาชาวยิวด้วยกัน โยนาห์มิได้ถูกส่งไปหาคริสตชน แต่ถูกส่งไปหาคนต่างศาสนา พระเจ้าเชื้อเชิญเราให้นำข่าวดีไปสู่ที่ที่ไม่อาจคาดคิด, หรือ ไปสู่สถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ ข่าวดีสำหรับเราทุกคนก็คือ แม้ไม่มีหวังแล้ว แต่ก็ยังไม่หมดหวังซะทีเดียว เหมือนดังที่นินะเวห์ได้กลับมาหาพระเจ้า อีกครั้งหนึ่ง

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

ฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง

ในประเทศไนจีเรีย การล้างบาปเด็กเล็กนั้น จะต้องแน่ใจว่า เด็กสามารถกินสิ่งหนึ่งได้ นั่นก็คือ “ข้าว” ด้วยเหตุนี้ ชุดในวันรับศีลล้างบาปนั้น ก็คือ การแต่งตัวด้วยข้าว ดังนั้น หากพูดถึงการล้างบาปสำหรับคนในประเทศไนจีเรียก็ต้องคิดถึงข้าวอย่างไม่ต้องสงสัย และบางครั้ง เมื่อพระสงฆ์พูดถึงเรื่อง จารีตการรับศีลล้างบาป พวกเขาก็มักจะคิดถึงเรื่อง ข้าวของศีลล้างบาป การเกี่ยวพันกันในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องบังเอิญ

ศีลล้างบาปสำหรับเรามีความหมายอย่างไร? ความหมายของศีลล้างบาปนั้น เปรียบได้กับคำว่า “ข้าว” ในภาษาอังกฤษดังต่อไปนี้ 1.R หมายถึง Rebirth. การเกิดใหม่ ในศีลล้างบาปเราเกิดใหม่ด้วยน้ำและพระจิตเจ้า เราได้รับการชำระล้างจากบาปกำเนิดและกลายเป็นบุตรชายหญิงของพระเจ้าในหนทางพิเศษ อักษรตัวถัดมา 2. I หมายถึง Initiation การริเริ่ม . โดยศีลล้างบาป เราได้เริ่มต้นการเป็นสมาชิกที่สมบูรณ์ของพระศาสนจักร 3. C หมายถึง Consecration.การอุทิศตน โดยศีลล้างบาป เราอุทิศตนเองเพื่อแสวงหาและประกาศข่าวดี เรื่อง พระอาณาจักรของพระเจ้า เราอุทิศตนเองให้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและรับใช้พระเจ้าด้วยชีวิตทั้งหมดของเราเอง และสุดท้ายตัว 4. E หมายถึง Empowerment. การมอบอำนาจ ในศีลล้างบาป พระจิตเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตของเราและเป็นกำลังให้เรา ทำให้คุณธรรมจริยธรรมในตัวเราเข้มแข็งขึ้น และปฏิเสธต่อความชั่วร้ายและดำเนินชีวิตในฐานะลูกๆ ของพระเจ้าที่เราเป็น

ทั้ง 4 คำนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนที่สำคัญคือ ส่วนแรก ที่เราได้รับจากพระเจ้า ส่วนที่สอง ส่วนที่เราต้องนำไปปฏิบัติในชีวิตของเรา และนี่คือสิ่งที่เราควรเข้าใจว่า ทำไมพระเยซูจึงจำเป็นต้องรับพิธีล้าง นั่นคือสิ่งที่เราทำความเข้าใจกับคำว่า “ข้าว” Rice มาแล้วนั่นเอง

เมื่อมองดูการล้างของพระเยซูเจ้าโดยท่านยอห์นในวันนี้ เราพบว่า พระเยซูไม่จำเป็นต้อง “เกิดใหม่”Rebirth เพราะพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า พระองค์เป็นนิรันดร พระองค์ไม่มีบาปกำเนิดที่จะต้องล้าง แล้วพระเยซูต้องการการริเริ่ม Initiation หรือไม่?? ถูกต้อง ในฐานะที่พระองค์เป็นมนุษย์ พระเยซูต้องการการริเริ่มและเปิดเผยพระองค์เองกับมนุษย์ทุกคน เพื่อบอกกับทุกคนว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงพี่น้องทั้งหลายแล้ว สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครไม่ได้รับการสนใจจากพระเจ้า

ดังนั้น วันนี้เอง เราจึงต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับบุตรของพระเจ้า เราต้องการชุมชนแห่งความเชื่อเช่นเดียวกับพระเยซูได้กระทำ หมายความว่า เราต้องการวัด เราต้องการพระศาสนจักร พระจิตเจ้าที่เป็นพละกำลังสำหรับเรา พระจิตที่ลงมาเหนือพระเยซูเจ้าทำให้พระองค์เข้มแข็งและเป็นพละกำลังให้กับพระองค์ “God anointed Jesus of Nazareth with the Holy Spirit and with power; [and] he went about doing good and healing all who were oppressed by the devil” (Acts 10:37-38). และนอกจากนั้น Consecration การอุทิศตน : การรับพิธีล้างของพระเยซู เป็นช่วงเวลาแห่งการอุทิศตนของพระองค์เอง และสำหรับพระองค์ นั่นคือ คำสัญญาที่จะทำทุกสิ่งเพื่อที่จะประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า ให้กับโลก

หลังจากการล้างของพระเยซู , ท่านยอห์นก็ถูกจับ และพระอาณาจักรของพระเจ้าก็ต้องการผู้นำคนใหม่ และเมื่อพระเยซูได้ยินเรื่องราว พระองค์ลุกขึ้นและทำหน้าที่นี้ต่อไป นั่นคือ การประกาศเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าทันที พี่น้องจะเห็นได้ว่า การล้างของพระเยซูเจ้า ไม่ได้เป็นแต่เพียงคำถามว่า ทำไมพระเยซูต้องรับการล้างบาปนี้ แต่คำถามสำคัญก็คือ ทำอย่างไรพระองค์จึงจะสามารถประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าต่อไปได้ John F. Kennedy’s บอกว่า , “อย่าถามว่า ประเทศชาติจะให้อะไรกับท่าน ,ตรงกันข้าม จงถามตัวท่านเองว่า ท่านสามารถทำอะไรให้กับประเทศชาติของท่าน?” ซึ่งจะสามารถอธิบายได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับพระศาสนจักรได้

แล้วพวกเราทำอย่างไร? วัดท่าซุง ทำอย่างไรเพื่อประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า ? เราพร้อมอุทิศตนเองอย่างเต็มที่เพื่อประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าทำหรือไม่ ? ถ้าไม่ ทำอย่างไรที่เราจะสามารถสนับสนุนผู้ที่ทำงานด้านการแพร่ธรรมได้, ซึ่งได้ทำหน้าที่นี้แทนพวกเรา ?

วันนี้ ขอให้พี่น้อง ระลึกถึงศีลล้างบาปที่พี่น้องได้รับ คำสัญญา การอุทิศตนเอง เพื่อประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า และเป็นพยานถึงทั้งในวาจาและกิจการของเราแต่ละคน ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

สมโภชพระคริสตแสดงองค์ 2009

สมโภชพระคริสตแสดงองค์ 2009

ในค่ำคืนอันเหน็บหนาว ชาวนา 3 คนนั่งผิงไฟอยู่รอบกองไฟ ไม่นานชายชาวนาสองคน ก็เริ่มต้นคุยเกี่ยวกับศาสนาของตนเองแล้วก็เถียงกันว่า ศาสนาใดคือศาสนาที่เที่ยงแท้ถาวรและดีที่สุด เถียงกันไปมาหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้งสองจึงหันมาถามเพื่อนอีกคนที่นั่งเงียบๆ “ท่านช่วยตัดสินให้หน่อยว่า ศาสนาของใครเป็นศาสนาที่เที่ยงแท้” ชายคนที่ 3 ก็ตอบว่า “ ท่านทั้งสองก็รู้ดีกว่า หนทางที่จะไปยังโรงงานผลิตสินค้านั้นจะต้องไปอย่างไร? 1. ท่านเดินข้ามภูเขาลูกนี้ไปก็ได้, แม้ว่ามันจะสั้นหน่อยแต่ก็ยากลำบาก เพราะต้องปีนขึ้นไป 2. ท่านไปทางขวามืออ้อมภูเขาไปหน่อยก็ได้ก็ไม่ไกลเท่าไร แต่ถนนขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อหน่อย 3. หรือไม่ก็ไปทางซ้ายก็ได้ แต่ทางไกลกว่า แต่ก็ง่ายที่สุด แต่พวกท่านรู้หรือไม่ เมื่อพวกท่านไปถึงโรงงานแล้ว เจ้าของโรงงานจะไม่ถามหรอกว่า พวกท่านมาที่โรงงานของเขาได้อย่างไร แต่จะถามท่านว่า “เป็นไง,ผลผลิตของพวกท่านเป็นอย่างไร?”

พี่น้องครับ เรื่องราวการประสูติของพระเยซูเจ้า มีกลุ่มคนสองกลุ่มที่ได้พบพระกุมาร นั่นคือ 1.กลุ่มคนเลี้ยงแกะ 2.กลุ่มพญาสามองค์ คำถามมีอยู่ว่า ทำไมพระศาสนจักรไม่ได้จัดให้มีการฉลองการมาเยี่ยมของคนเลี้ยงแกะ? แต่มีการฉลองสำหรับการเยี่ยมของพญาสามองค์ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?? เป็นเพราะว่า การมาของพญาสามองค์เป็นการเปิดหูเปิดตา ซึ่งคนเลี้ยงแกะได้รับการเผยแสดงจากทูตสวรรค์แล้ว เรียกว่า การเผยแสดงโดยตรงและเหนือธรรมชาติ สำหรับเราทุกคนไม่มีปัญหา แต่สำหรับพญาสามองค์ที่เดินทางมาโดยดาวนำทาง ดาวไม่ได้บอกอะไรกับทั้งสาม ทั้งสามต้องแปลความหมายจากเครื่องหมายดาวนำทางเพื่อที่จะรู้ว่า ดาวดาวบอกอะไรกับพวกท่านและจะนำทางพวกท่านไปที่ไหน

พี่น้องครับ เรื่องเล่าที่พ่อเล่าให้ฟัง บอกกับเราว่า ศาสนาทุกศาสนาเป็นหนทางหนึ่งที่มุ่งไปสู่ความดีสูงสุด สำหรับเราคริสตชน นั่นคือ หนทางไปสู่พระเจ้า สิ่งที่พระเยซูบอกกับเราก็คือ “เราคือหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปหาพระบิดาได้ นอกจากผ่านทางเรา” (ยน. 14:6)

พี่น้องครับ เราลองสังเกตดูว่า ทำไมผู้คนในศาสนาอื่นๆ จึงได้รับรู้เรื่องราวการประสูติของพระเยซู คนเลี้ยงแกะซึ่งไปคนต่ำต้อย ไม่สามารถเข้าพระวิหารเพื่อนมัสการพระเจ้าหากไม่ไปชำระล้างร่างกายให้สะอาดเรียบร้อย แต่พวกเขากลับได้รับการเผยแสดงโดยตรงจากทูตสวรรค์ พญาสามองค์ได้รับรู้ผ่านทางการนำทางของดวงดาว ธรรมาจารย์ของกษัตริย์เฮโรดค้นพบการบังเกิดจากการอ่านพระคัมภีร์ มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์

พี่น้องจะเห็นว่า การเผยแสดงของทูตสวรรค์,ดวงดาวนำทาง,พระคัมภีร์ คือหนทางที่แตกต่าง แต่ได้รับรู้ความจริงอันเดียวกัน น.มัทธิวเล่าเรื่อง ดาวนำทางที่นำพญาสามองค์มาที่เยรูซาเล็มแล้วดาวก็ดับแสงทำให้ทั้งสามต้องขอคำแนะนำจากฟารีสี ธรรมาจารย์ ที่อ่านพระคัมภีร์แล้วก็บอกว่า ให้ไปที่เบธเลแฮม หมายความว่า เหนือสิ่งอื่นใด ชีวิตของเราก็ต้องการแสงสว่างเหนือธรรมชาติของพระคัมภีร์เพื่อนำทางให้เราได้รู้จักพระเยซูมากยิ่งขึ้น

แล้วใครหล่ะที่ได้พบพระเยซูเจ้า : กษัตริย์เฮโรดหรือธรรมาจารย์ ไม่พบพระเยซูแม้พวกเขาจะมีพระคัมภีร์อยู่ในมือ แต่กลับกลายเป็นพญาสามองค์(คนต่างศาสนา)ที่เดินตามดวงดาวนำทาง กลับได้พบพระเยซูเจ้า ทำไม? เพราะว่ากษัตริย์เฮโรด และบรรดาฟารีสี ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำแห่งพระคัมภีร์(มิได้ปฏิบัติตามพระวาจา) ตรงกันข้าม พญาสามองค์ ติดตามการนำทางนั้นอย่างใจจดจ่อ ดำเนินชีวิตตามการนำทางนั้นอย่างดี เตรียมพร้อมชีวิตอยู่เสมอเพื่อติดตามการนำนั้น

ในโอกาสปีใหม่ 2552/2009 นี้ สำหรับพี่น้องทุกท่าน เราเชื่อว่า ศาสนาของเราเป็นศาสนาที่เปี่ยมด้วยจริงสูงสุด แต่จะมีประโยชน์อันใด หากเรามิได้ปฏิบัติตามคำสอน คำแนะนำแห่งพระวรสาร จากพระวาจา และ มิได้เดินในหนทางแห่งความจริงและความถูกต้อง?

ข้อคิดสำหรับเราทุกคนก็คือ คนต่างศาสนา 2 กลุ่มซึ่งมีหัวใจบริสุทธิ์ติดตามการนำทางจนได้พบพระกุมารเยซูก่อนกลุ่มคริสตชนซึ่งรู้ความจริงที่พระเจ้าเผยแสดงให้รู้ แต่ไม่ได้เดินตามความเชื่อนั้น
การท้าทายนี้เชิญชวนเราให้ฉลองวันนี้ที่เรื่องราวของคนต่างศาสนา พญาสามองค์ที่แสวงหา ติดตามจนได้พบกับพระเยซู

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่ทุกท่านตลอดปีใหม่นี้และตลอดไป