วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ส.30 เทศกาลธรรมดา ปี B - อาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2009

พี่น้องที่รัก

วันนี้พระวาจาของพระเจ้าเตือนใจเรา ด้วยเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่ชื่อ บาร์ทิเมอุส
ที่ประตูเมืองทางทิศเหนือของกรุงเยรูซาเล็ม มีชายตาบอดชื่อบารทิเมอัสนั่งขอทานอยู่ข้างทาง ครั้นทราบว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา เขาร้องตะโกนเรียกพระองค์ด้วยเสียงอันดังจนหลายคนต้องดุให้เขาเงียบเพื่อจะได้ยินคำสั่งสอนของพระองค์
แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จเพราะคนตาบอดกลับร้องเสียงดังยิ่งขึ้น ไม่มีใครหยุดยั้งเขามิให้พบกับพระองค์ได้ เขาเชื่อมั่นว่าพระองค์คือผู้เดียวที่สามารถช่วยเขาให้หลุดพ้นจากโลกแห่งความมืดมิดนี้ได้ !
จากพฤติการณ์ของคนขอทานตาบอด เราได้พบเห็นสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า “เงื่อนไขแห่งอัศจรรย์” ดังต่อไปนี้
1. ความมุ่งมั่น เมื่อบารทิเมอัสทราบว่าผู้ที่กำลังผ่านมาคือพระเยซูเจ้า เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะพบพระองค์ให้จงได้ เพราะมั่นใจว่ามีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากได้
เมื่อตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครหรืออะไรสามารถหยุดยั้งเขาได้ !
ความมุ่งมั่นที่จะพบพระเยซูเจ้าของเขาไม่ได้เกิดจากความหวังอันเลื่อนลอย หรือความหวังลม ๆ แล้ง ๆ หรือเป็นเพียงความตื่นเต้นที่จะได้พบคนเด่นคนดัง
แต่เป็นความมุ่งมั่นที่ออกมาจาก “หัวใจของคนที่สิ้นหวังชนิดไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้”
ความหวังเดียวที่เหลืออยู่คือ “ความวางใจในความช่วยเหลือของพระเจ้า”
ความมุ่งมั่นอันเกิดจากความวางใจอย่างเต็มเปี่ยมนี่เองที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี !!

2. ตอบเสียงเรียกทันที เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรียกบารทิเมอัส เขา “สลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดเข้าไปเฝ้าพระเยซูเจ้า” (ข้อ 50) ด้วยความกระตือรือร้นทันที
บารทิเมอัสรู้โดยสัญชาติญาณว่า โอกาสทองเช่นนี้อาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตโดยไม่มีทางหวนกลับมาหาอีก เขาจึงกระโดดเข้าหาพระองค์อย่างรวดเร็วราวกับกระสุนปืน
แต่น่าเสียดายที่พวกเราหลายคนกลับประพฤติตรงกันข้าม เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากพระองค์ แทนที่จะรีบตอบในทันที กลับประวิงเวลาไว้ “รอให้ข้าพเจ้าทำสิ่งนี้เสร็จก่อนได้ไหม ?” หรือ “รอให้ข้าพเจ้าพร้อมกว่านี้ไม่ได้หรือ ?”
หลายครั้งพระองค์ทรงดลใจเราให้ปรับปรุงตนเอง ให้แก้ไขนิสัยไม่ดีต่าง ๆ หรือให้ถวายตนรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์มากขึ้น แต่เรากลับปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป
โอกาสซึ่งอาจไม่หวนกลับมาหาเราอีกเลย !!!
3. รู้ความต้องการ เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้” เขาทูลว่า “รับโบนีให้ข้าพเจ้าแลเห็นเถิด” (ข้อ 51)
เขารู้และระบุความต้องการของตนเองได้คือ “การแลเห็น”
แต่พวกเราหลายคนกลับเข้าหาพระเยซูเจ้าโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการอะไร เข้าตำราปล่อยให้ “ฟ้าลิขิต” อย่างเดียวโดยที่ไม่เคยคิดจะมีส่วนร่วมในการ “ลิขิตชีวิต” ของตนเองด้วยแต่ประการใด
มีบ้างไหมที่เราไปหาทันตแพทย์ แล้วปล่อยให้หมอ “ลิขิตฟัน” ของเราคือจะถอนซี่ไหนก็ได้ ? เราควรต้องรู้และบอกหมอได้ชัดเจนมิใช่หรือว่าฟันซี่ไหนเป็นปัญหา !
กับพระเยซูเจ้าก็เช่นกัน เราต้องทูลขอพระองค์ให้ชัดเจนว่าเราต้องการความช่วยเหลืออะไรจากพระองค์
โดยเฉพาะ “ความกล้าหาญที่จะพิจารณาตนเอง” นั้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรทูลขอจากพระองค์เป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว !
4. ความเชื่อ บารทิเมอัสร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิด เจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” (ข้อ 47 และ 48)
เขาเรียกพระองค์เป็น “โอรสของกษัตริย์ดาวิด” ซึ่งเป็นสมญานามของพระเมสสิยาห์ก็จริง แต่เป็นสมญานามที่แฝงความหมายของการเป็นนักรบนองเลือดที่จะพิชิตโลก และนำพาชนชาติอิสราเอลไปสู่ความยิ่งใหญ่เหมือนยุคสมัยของกษัตริย์ดาวิดอีกครั้งหนึ่ง
นั่นคือ บารทิเมอัสยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าไม่ถูกต้องนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ความเข้าใจจะไม่ถูกต้อง แต่เขามี “ความเชื่อ” และความเชื่อของเขาได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดผลมากกว่าความรู้ความเข้าใจเป็นร้อยเท่า พันเท่า
จริงอยู่เราจำเป็นต้อง “คิด” และต้องสอนผู้อื่นให้รู้จัก “คิด” ด้วย แต่เราไม่จำเป็นต้องคาดหวังหรือเรียกร้องให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นนักเทวศาสตร์ก่อนเป็นคริสตชน
เพราะเราไม่มีทางรู้และเข้าใจพระเยซูเจ้าได้ทั้งหมด !
ขอเพียงให้เรา “รัก” และ “เชื่อ” ว่าพระองค์คือ “ผู้ที่ตอบสนองความต้องการของเราได้” เท่านี้ก็เกินพอแล้ว…..
5. ความกตัญญู ทั้ง ๆ ที่บารทิเมอัสเป็นเพียงคนขอทานข้างถนน แต่หัวใจของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความกตัญญูรู้คุณคน
เมื่อ “เขากลับแลเห็น” เขา “เดินทางติดตามพระองค์ไป” (ข้อ 52) แทนที่จะตีจากพระองค์ไปด้วยความเห็นแก่ตัว
นี่คือบทสรุปของขั้นตอนในการเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้า
เริ่มต้นด้วย ความต้องการ
ตามด้วย ความกตัญญู
และอยู่ด้วย ความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อพระองค์ บัดนี้ และตลอดไป !!!!!

ไม่มีความคิดเห็น: