วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550

ลาซารัส......คนที่ถูกมองข้ามไป

บทเทศน์ ส.26 เทศกาลธรรมดา ปี C ประจำวันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2007
โดย “เศษดิน”

พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า
ชายคนหนึ่งถูกนำไปอยู่ต่อหน้าบังลังค์ตัดสินของพระเจ้า ผู้พิพากษาก็เปิดหนังสือแห่งชีวิต เปิดไปจนหน้าสุดท้ายก็หารายชื่อชายคนนั้นไม่เจอ!!!! ผู้พิพากษาก็ประกาศว่า ที่ของชายคนนี้คือนรกเท่านั้น ชายคนนั้นก็ประท้วงว่า “แต่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ,ผมไม่ได้ทำอะไรเลย!” ผู้พิพากษาตอบว่า “ถูกต้องครับ, นี่แหละที่ทำให้ท่านต้องไปอยู่ในนรก!!! ”


อุปมาเรื่อง เศรษฐีกับลาซารัส ทำให้เราผู้ฟังอาจสงสัยว่า ทำไมชายผู้ร่ำรวยจึงต้องตกนรก ??? พระวรสารไม่ได้บอกว่า เศรษฐีมีความละโมบในทรัพย์สินเงินทองหรือ? , พระวรสารไม่ได้บอกว่า เศรษฐีทำสิ่งใดผิดต่อลาซารัสผู้ยากจนหรือ??, ตรงกันข้าม เราเองก็ไม่ได้ยินว่า ลาซารัสได้ร้องขอและถูกเศรษฐีปฏิเสธหรือ? และที่สุดเราก็ไม่ได้ยินว่า เศรษฐีนั้นได้กระทำอาชญากรรมหรือว่าทำความชั่วร้ายสิ่งใดเลย สิ่งที่เราพวกเราได้ยินทั้งหมดก็คือ เขากินอาหารอย่างไร,แต่งตัวอย่างไร คือ ทำอย่างที่คนร่ำรวยคนอื่นๆ ขาก็ทำกัน อย่างที่เขาเองก็มีสิทธิจะต้องทำ แล้วทำไมเศรษฐีจึงต้องถูกส่งไปนรกด้วย???

นี่คือคำถามสำคัญ
บ่อยครั้งที่เราคิดว่า บาปคือการทำผิดในด้าน ความคิด ทางวาจา และการกระทำ แต่เราได้ลืมอย่างที่ 4 ไปและสำคัญมากด้วยก็คือ การละเลย นั่นคือสิ่งที่เราสวดเวลาสวดบท “ข้าพเจ้าขอสารภาพบาป” ว่าดังนี้ “ว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปมากมาย ด้วยกาย วาจา ใจและด้วยการละเลย” ถูกต้องนะครับพี่น้องที่เราได้ลืมประการที่ สี่ นั่นคือ การละเลย นี่เองที่ทำให้เราอาจไปอยู่ในนรก เหมือนกับเศรษฐีในวันนี้

ลาซารัสผู้ยากจน “นั่งอยู่ที่ประตูบ้าน” ของเศรษฐี แต่เศรษฐีไม่เคยแม้แต่จะเหลียวมอง ”ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ข้างนอก, ก็มิใช่ธุระอะไรของผม” ผมดูแลเอาใจใส่ในธุระของผมเอง คนอื่นๆ ก็ควรสนใจในธุระของพวกเขาเองด้วย ต่อมา เศรษฐีนั่นอาจโทรเรียกตำรวจและรายงานว่า มีคนแปลกหน้านั่งอยู่ที่ประตูหน้าบ้านของเขา, ในเวลาเดียวกัน สุนัขก็มาเลียแผลของลาซารัส แล้วลาซารัสก็ตาย เทศบาลก็มาเก็บศพลาซารัสและนำไปฝังไว้ในหลุมที่ไม่มีชื่อ แล้วเศรษฐีก็อาจจะกลับเข้าบ้านและนั่งดื่มกาแฟไป พี่น้องครับ เศรษฐีไม่ได้ทำอะไรผิดต่อลาซารัสเลย ไม่ได้ทำเลย!!!! แต่เศรษฐีพลาดในการทำความดี พลาดในการยื่นมือออกไปช่วยเหลือและแบ่งปันสิ่งเล็กๆ น้อยๆให้กับลาซารัส ให้กับผู้อื่น บาปของเศรษฐีคือ การละเลย และเป็นเหตุให้เขาต้องไปนรก

พี่น้องครับ อีกปัญหาหนึ่งสำหรับวันนี้ก็คือ ทำไมลาซารัสจึงได้ไปสวรรค์ ในพระวรสารไม่ได้บอกว่า ลาซารัสเป็นผู้ชอบธรรม,เป็นคนของพระเจ้า,หรือได้ทำความดีอะไรสักหนึ่งอย่าง, แต่นั่นก็คือ เรื่องอุปมานี้มีความหมายมาก เพราะเป็นเรื่องอุปมาที่พระเยซูเจ้าเล่าแล้วมีชื่อปรากฏอยู่ในเรื่องที่เล่าด้วย

ชื่อ “ลาซารัส” เป็นภาษาฮีบรูมาจากคำว่า เอลีอาซาร์ ซึ่งหมายความว่า “พระเจ้าคือพระผู้ทรงช่วยเหลือ” ดังนั้นชื่อของลาซารัส จึงมิใช่เป็นแค่ชื่อของชายผู้ยากจน, แต่เป็นชายยากจนที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า นี่จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่บอกได้ว่า ท่านอยู่ในสวนสวรรค์พร้อมกับอับราฮัม ก็เพราะความเชื่อและความใจในพระเจ้า ท่านได้เข้าสวรรค์มิใช่เพราะท่านยากจนแต่เพราะ “ท่านเป็นผู้เชื่อและวางใจในพระเจ้า” นั่นเอง

บางคนที่อ่านพระวาจาในตอนนี้ก็สรุปเอาง่ายๆ ว่า “คนร่ำรวยจะกลายเป็นคนยากจนและคนยากจนจะกลับกลายเป็นคนร่ำรวย” แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญของเรื่องเล่านี้ เพราะว่า คนร่ำรวย,เศรษฐีที่ใช้ความร่ำรวยของตนเองเพื่อรับใช้พระเจ้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็จะได้รับการอวยพรในชีวิตหน้าด้วยเช่นเดียวกัน และคนยากจนซึ่งมีชีวิตในโลกนี้ มีแต่ความขมขื่น,ทุกข์ระทมใจ แต่กลับปฏิเสธไม่ยอมเชื่อและไม่วางใจในพระเจ้าเฉกเช่นเดียวกับลาซารัสในวันนี้ ก็จะได้รับความทุกข์ทรมานในชีวิตหน้าด้วยเช่นเดียวกัน

พี่น้องครับ ข่าวดีสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ถ้าพี่น้องรู้สึกเหมือนกับลาซารัส,มีความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน และความเจ็บปวดในชีวิตในเรื่องต่างๆ สังคมหลงลืมพี่น้องไป และถูกลืมแม้แต่จากบุคคลที่พระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้

ขอให้พี่น้อง จงดำเนินชีวิตของพี่น้อง ด้วยความเชื่อและวางใจในพระเจ้าต่อไป จงรู้ไว้เถิดว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีสำหรับวิญญาณของเราในวาระสุดท้าย และถ้าพี่น้องรู้สึกว่า ตัวเองได้รับพระพรของพระมากมาย มีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต มีความสุขอย่างล้นเหลือ หรือว่า พอจะมีอยู่บ้าง จงเปิดประตูบ้านของท่านและมองดู บางที ตรงหน้าประตูบ้านของพี่น้อง อาจพบลาซารัสกำลังนั่งอยู่ที่ประตูบ้านของพี่น้องแต่เราไม่ได้สนใจต่อลาซารัสเลย

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องครับ

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550

แสงสว่าง...ส่องโลก.




Light of The world........




พระวาจาในวันนี้ พระเยซูเจ้าเพิ่งจะบอกกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า พวกเขาเป็นแสงสว่างส่องโลก แล้วพระองค์จึงบอกกับพวกเขาต่อไปว่า “ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่เขาย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้”

เราได้ยินคำว่า แสงสว่างมามากมายในชีวิตของเรา และเราก็ต้องได้ยินคำคำนี้บ่อยๆ อีกต่อไป ขอให้เรารู้ว่า นี่คือ “เครื่องหมาย” หรือ “สัญลักษณ์” คำที่บอกว่า เราคือแสงสว่าง พระเยซูทรงเป็นแสงสว่างนั้น เป็นแสงสว่างแห่งพระวาจาและกิจการของพระองค์ เราทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้โลกของเราดีขึ้น
พระเจ้ามอบแสงสว่างให้กับเราทุกคน, มอบพรสวรรค์และความสามารถต่างๆ เพื่อทำให้โลกเราน่าอยู่

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550

ส.25 เทศกาลธรรมดา ปี C_2


ส.25 เทศกาลธรรมดา ปี C_2

ฑูตสวรรค์องค์หนึ่ง ปรากฏตัวในที่ประชุมของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และบอกกับคณบดีว่า “เรามาเพื่อมอบรางวัลแห่งการอุทิศตนทำงานรับใช้สังคมของเจ้า เราจะให้เจ้าเลือกพรใดพรหนึ่งจากสามประการนี้ 1. ทรัพย์สมบัติ 2. ชื่อเสียงโด่งดัง 3. ปรีชาญาณ ความรอบรู้
โดยไม่ลังเล คณบดีท่านนั้นก็ร้องขอ “ข้าฯอยากได้ ปรีชาญาณความรอบรู้” “ท่านจงได้รับทันที!!!!” ฑูตสวรรค์กล่าวและหายตัวไป ทุกคนก็มารุมถามท่านคณบดี ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในวงกลมมีแสงแห่งปรีชาญาณ ที่สุดก็มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมาว่า “ท่านช่วยพูดอะไรสักนิดหนึ่งซิ” หัวหน้าคณบดีคนนั้นก็กล่าวว่า “ข้าฯคิดว่า ข้าน่าจะขอเงินมากกว่า”
พี่น้องครับ ปรีชาญาณ หรือ ความรอบรู้ ของผู้รับใช้ในวันนี้ แสดงให้เราเห็นว่า บางคนก็ใช้ความรอบรู้ในการทำสิ่งดีดี,สิ่งที่มีคุณค่าความหมายได้ แต่บางคน,บางกลุ่ม,ผู้ก่อการร้าย ก็ใช้ความฉลาดรอบรู้นี้ ในการสร้างความแตกแยก,ความทุกข์ทรมานให้กับผู้อื่นในสังคม
พี่น้องครับ พระวาจาวันนี้ท้าทายเราว่า “ให้เราเป็นคนฉลาดในการแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า ไม่เหมือนกับ คนที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจที่แสวงหาการเห็นแก่ตัว,พวกพ้อง, และชื่อเสียงเกียรติยศ เพียงเท่านั้น”
พระเยซูเจ้าทรงยกตัวอย่าง ผู้จัดการที่ฉลาดในการดูแลกิจการของเจ้านาย เพื่อสอนเราให้ฉลาดในการรับใช้พระเจ้า เราทุกคนถูกท้าทายให้เลียนแบบอย่างความฉลาดของผู้จัดการคนนี้ มิใช่เลียนแบบอย่างความไม่ซื่อสัตย์ของ ผู้จัดการคนนั้น “นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้น ว่าเขาทำอย่างเฉลียวฉลาด” (Luke 16:8).
พี่น้องครับ ทำไมเจ้านายที่กำลังตัดสินใจจะไล่ผู้จัดการคนนี้ออกไป บัดนี้ได้เปลี่ยนใจมาชมเชยผู้จัดการคนนี้? บางทีผู้จัดการคนนี้ อาจทำงานของเจ้านายอย่างขอไปที, ทำตามหน้าที่และทำอย่างไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่และขาดจินตนาการในการทำงานเลย ไม่มีเลย!!! ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจของเจ้านายจึงย่อยยับ เจ้านายจึงตัดสินใจจะไล่ผู้จัดการนี้ออกไป “เศรษฐีจึงเรียกผู้จัดการมาถามว่า “เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป” (verse 2).
ผู้จัดการนี้จึงเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายของการตกงาน นี่คือสถานการณ์ที่เป็นเรื่องจริงจังมากสำหรับเขา ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย จึงพูดกับตัวเองว่า ”ฉันจะทำอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว จะไปขอทานก็อายเขา (verse 3). เขารู้ว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก และคิดถึงวิธีการที่จะช่วยเขาให้รอดพ้นและมีอนาคตที่จะอยู่ต่อไป เจ้านายจึงนึกชมเพราะว่า ถ้าผู้จัดการนี้คิดอย่างชาญฉลาดตั้งแต่ต้น เขาคงไม่ต้องมาประสบกับความล้มเหลวในชีวิตอย่างแน่นอน
พี่น้องครับ เรื่องอุปมานี้สอนเราให้ “ควรเป็นผู้จัดการที่ฉลาด” เราทุกคนถูกเรียกให้เป็นผู้จัดการที่ฉลาด พระเจ้าได้มอบความวางใจทั้งหมดให้กับเราทุกคนในอันที่จะดูแลสิ่งสร้างของพระองค์ในฐานะ ผู้จัดการของพระองค์ เช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าเอง ก็ทรงไว้วางใจมอบพระอาณาจักรของพระเจ้า,พระอาณาจักรแห่งความรัก,ความยุติธรรมและสันติ ไว้ในมือของพวกเราในฐานะผู้จัดการของพระองค์
สันติภาพของโลกและความเป็นหนึ่งเดียวกัน การฟื้นฟูสิ่งต่างๆ ในพระเยซูคริสตเจ้า เป็นเรื่อง เป็นธุระของพวกเราทุกคน ทั้งในส่วนรวมและเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลด้วย ซึ่งพระเยซูเจ้าเรียกว่าเป็นพระอาณาจักรของพระเจ้า เป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ทั้งผู้ที่รับศีลบวชและผู้ที่ไม่ได้บวช ทุกคนมีหน้าที่นี้ด้วยเช่นกัน จะต้องช่วยกันนำพระอาณาจักรของพระเจ้าให้กับผู้อื่นโดยการเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน
และแน่นอนว่า เราจำเป็นที่จะมีแหล่งแห่งพระพรที่จะทำภารกิจนี้ เรามีความเชื่อแท้ เรามีพละกำลังของพระจิตเจ้าในจิตใจของเรา, และเราทุกคนมีเวลา ไม่ช้าก็เร็ว เราทุกคนก็จะถูกเรียกเพื่อไปพบพระเจ้า และพระองค์ก็จะมองดูว่า เราได้ใช้พระพรต่างๆ นี้อย่างไร
พี่น้องครับ แม้ว่าในโลกซึ่งดูเหมือนว่า เราเจริญชีวิตอย่างยากลำบากและตกอยู่ในอันตราย คล้ายๆ กับผู้จัดการในเรื่องนี้ ผู้จัดการรู้สึกว่า ไม่มีใครช่วยเขาได้และรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต และต้องทำบางอย่าง ทำไมเราจึงต้องหลอกตนเองว่า เรากำลังปลอดภัย ในขณะที่ชีวิตฝ่ายวิญญาณของบางคนอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย เราอาจคิดว่า ไม่มีอะไร, ทำไปได้ ไม่เป็นไร ฯลฯ เราคงไม่ต้องคอยเวลาอีกต่อไป เพราะเวลาที่เราแต่ละคนจะแสดงความฉลาด คือ เวลานี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย คือ การที่เราพยายามดำเนินชีวิตด้วยความฉลาดเพื่อแสวงพระอาณาจักรของพระเจ้า
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่ท่าน

อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี C


อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี C


สวัสดีพี่น้องที่รักทุกคน วันนี้เราอยู่ห่างไกลจากสมัยของพระเยซูเจ้ามาก ถึง 2000 ปี แต่วันนี้เราได้ฟังเรื่องที่พระเยซูเจ้าเล่าเปรียบเทียบ และรู้ได้เลยว่า เรื่องวันนี้ทันสมัยมาก ก็คือเรื่อง “เงิน”

พี่น้องที่รักครับ จุดมุ่งหมายของพระวรสารในวันนี้ ก็เพื่อที่จะเตือนเรามิให้แสวงหาเงินทอง หรือให้เงินทองเป็นเป้าหมายของชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว พี่น้องครับ ปัจจุบันเงินมีบทบาทกับชีวิตของเรามาก ไม่ว่าเราจะมีมากหรือมีน้อย พี่น้องคงทราบดีกว่าพ่อแน่ ๆ ในโลกที่เงินสามารถบันดาลทุกอย่างได้ ทุกที่ที่มีเงิน สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น นั่นคือความจริงในปัจจุบันที่เราไม่อาจปฏิเสธได้

พี่น้องครับ เงินคือสิ่งที่เราต้องใช้ แต่ถ้าเราปล่อยให้เงินเป็นนายของเรา มันก็จะทำลายเรา และกลายเป็นพระเจ้าของเราแทน (บางคนอาจจะบอกว่า ยอมให้มันทำลายดีกว่า เพื่อจะได้มีเงินมาก ๆ ) แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องไม่ลืมก็คือ เมื่อเราไปถึงจุดสุดท้ายของชีวิต สิ่งที่จะถูกนับก็คือ ความดีที่เราทำ ไม่ใช่นับว่า ใครมีอะไรมากกว่ากัน โดยเฉพาะในเรื่องของทรัพย์สมบัติ

พี่น้องที่รักครับ เมื่อวานผมได้ไปประธานในการฉลองวัดแห่งหนึ่ง ชื่อว่า วัด น.มีคาแอล ซึ่งเป็นวัดน้อยแห่งหนึ่งขึ้นสังกัดกับอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ พี่น้องคงจะงง วัดนี้อยู่ตรงไหนของแผนที่ประเทศไทย ก็เป็นวัดเล็ก ๆ จะเรียกว่าวัดก็ไม่เชิง ต้องเรียกว่าบ้านน่าจะเหมาะกว่า ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำน้อย ในจังหวัดอ่างทอง

สิ่งที่ทำให้ผมพิศวงใจก็คือ ปกติเมื่อการฉลองวัด ก็จะมีการประกาศประชาสัมพันธ์ เชิญชวน แจ้งว่า ห้องอาหาร,จอดรถ,ห้องน้ำ ฯลฯ ในขณะที่ลำโพงนั้นก็หันหน้าไปทางที่ที่แก้บาปด้วย คนไปแก้บาปก็ต้องตะโกนสู้กัน พระสงฆ์ก็ตะโกนสอน บอกกิจใช้โทษบาปกันไป ก็จะเป็นประมาณนี้
แต่สำหรับที่นี่ วัดน้อยอ่างทอง ไม่มีอย่างที่ว่าเลย ผมได้พบความสงบ อย่างที่ไม่มีการฉลองวัดแห่งไหน ๆ ในสังฆมณฑลของเราจะทำได้ คือ ไม่มีเสียงประชาสัมพันธ์ใดใดทั้งสิ้น ทุกคนรู้กันเองว่า อาหารทานที่ไหน, ห้องน้ำไปทางไหน , ที่แก้บาปก็คือ บนวัด ใครมาถึงก่อนก็นั่งสวดไปเอง ไม่มีการก่อสวด ฯลฯ

พ่อรู้สึกขอบคุณ คุณพ่อที่จัดการฉลองวัดนี้ พ่อรู้สึกว่า สัตบุรุษและพระสงฆ์ที่มาร่วมในมิสซาเมื่อวานคงมีความรู้สึกที่ไม่ต่างจากพ่อ และพ่อเชื่อว่า พระเจ้าต้องการและในความสงบแบบนี้ เราจะพบพระเจ้าได้ง่ายกว่า และยิ่งถ้าเรามีความสงบในใจของเรา เราก็จะยิ่งพบพระเจ้าได้ง่ายขึ้นแน่ ๆ
พี่น้องครับ มีคำกล่าวที่ว่า “เงินเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวง” พี่น้องเห็นด้วยกับประโยคนี้หรือไม่ครับ?? สำหรับพ่อ นี่คือความจริง แต่ยังมีช่องว่างก็คือ ขึ้นอยู่ว่า เราใช้เงินอย่างไร เมื่อเงินเข้าครอบงำชีวิตของเรา เราก็จะพลาดเป้าหมายชีวิตง่าย ๆ พ่อขอยกตัวอย่างของเด็ก ๆ นักเรียน ถ้าชีวิตพ่อแม่มีแต่เงิน ทำอะไรก็ใช้เงิน ไม่ได้ให้ลูกใช้ความพยายาม ใช้ความสามารถที่ถูกต้อง ใช้ความอดทนในการเก็บหอมรอบริบ อยากได้เงินก็แบมือขอพ่อแม่อย่างเดียว ผลก็คือ ครอบครัวก็มีปัญหา และมาแสดงออกที่โรงเรียน

พระวาจาของพระในวันนี้ นำเราให้ถามตนเองว่า เรากำลังเลือกพระเจ้าหรือเลือกเงินตราเป็นที่หนึ่งในชีวิต ? ถ้าเราได้ใช้สิ่งของของโลก ที่เราเรียกว่าเงินนี้ เป็นทางนำเราไปสู่เป้าหมายในชีวิตหน้า พี่น้องก็มาถูกทางแล้ว

พี่น้องครับ ประสบการณ์สอนเราว่า สิ่งสร้างใดใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่า เราจะพบความสุขและความปลอดภัยในชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ เพราะจุดหมายปลายทางของเราคือ สวรรค์ พระอาณาจักรที่พระเจ้าทรงคอยเราอยู่ เมื่อเรามาสู่จุดหมายปลายทางของชีวิต เราก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย นอกจากความดีงามในชีวิตที่เราได้ทำสั่งสมมาตลอดชีวิต

พี่น้องครับ พ่อขอจบการแบ่งปันในวันนี้ด้วยประโยคที่ว่า “ เงินเป็นอุปกรณ์ที่สามารถซื้อทุกสิ่งได้ ยกเว้น

ความสุข และซื้อตั๋วไปทุกที่ในโลกนี้ได้ ยกเว้นตั๋วไปสวรรค์”
ขอพระเจ้าประทานพระพรสำหรับพี่น้องทุก ๆ คน ให้มีกำลังดำเนินชีวิตอย่างดี แม้เราอาจจะต้องใช้เงินทองและสิ่งของของโลกนี้ แต่ก็ขอให้เราใช้มันเพื่อนำเราไปสู่บ้านแท้ ให้พระเป็นเบอร์หนึ่งในชีวิตของเรา
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่านครับ


วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550

มัทธิว - อัครสาวก ผู้นิพนธ์พระวรสาร



น.มัทธิว - อัครสาวก ผู้นิพนธ์พระวรสาร



วันนี้พระศาสนจักรทำการฉลองนักบุญมัทธิว หนึ่งในอัครสาวกทั้งสิบสอง มัทธิวเป็นผู้เขียนพระวรสารที่ปรากฏเป็นฉบับแรกของพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่
นักวิชาการเชื่อว่า มารโกเป็นผู้เขียนพระวรสารนี้ด้วย พระคัมภีร์บอกว่า มัทธิวเป็นลูกชายของอัลเฟอัสและถูกเรียกให้มาเป็นศิษย์ของพระเยซูในขณะที่ท่านกำลังนั่งเก็บเงินภาษีที่เมืองคาร์เปอร์นาอุม ท่านยังถูกเรียกว่า เป็นพวกเลวีในพระวรสารของมารโกและลูกาอีกด้วย
มัทธิวเขียนพระวรสารเป็นภาษาอาราเมอิก ในปี ค.ศ 42 ท่านได้ออกเดินทางไปต่างแดน และเชื่อว่าท่านได้เริ่มเขียนพระวรสาร ไม่มีใครรู้ชีวิตของท่านมากนัก และแน่นอนว่า ไม่มีใครทราบว่า ท่านตายในลักษณะตามธรรมชาติ หรือได้รับความทุกข์ทรมานในฐานะมรณสักขี
ขอท่านนักบุญมัทธิว วิงวอนเพื่อเราด้วยเทอญ

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550

A BEAUTIFUL ANALOGY!


A BEAUTIFUL ANALOGY!
From forward mail : K Prakairat...


A man went to a barbershop to have his hair cut and his beard trimmed. As the barber began to work, they began to have a good conversation.

They talked about so many things and various subjects.. When they eventually touched on the subject of God, the barber said:
"I don't believe that God exists."
"Why do you say that?" asked the customer. "Well, you just have to go out in the street to realize that God doesn't exist.

Tell me, if God exists, would there be so many sick people?
Would there be abandoned children?
If God existed, there would be neither suffering nor pain.
I can't imagine a loving God who would allow all of these things."
The customer thought for a moment, but didn't respond because he didn't want to start an argument.The barber finished his job and the customer leftthe shop.
Just after he left the barbershop, he saw a man in the street with long, stringy, dirty hair and an untrimmed beard.
He looked dirty and unkempt. The customer turned back and entered the barber shop again and he said to the barber:
"You know what? Barbers do not exist."
"How can you say that?" asked the surprised barber.
"I am here, and I am a barber. And I just worked on you!"
"No!" the customer exclaimed.
"Barbers don't existbecause if they did, there would be no people with dirty long hair and untrimmed beards, like that man outside."
"Ah, but barbers DO exist! " answered the barber.
"What happens, is, people do not come to me."
"Exactly!"- affirmed the customer.
"That's the point! God, too, DOES exist! What happens, is, people don't go to Him and do not look for Him. That's why there's so much pain and suffering in the world."

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2550

He wash away our tears......



He wash away our tears......


Click อ่านพระวาจาประจำ วันอังคารที่ 18 กันยายน ค.ศ.2007


พระวรสารในวันนี้ เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่เราได้เห็นถึงพระเมตตาของพระเยซูเจ้า ที่ทรงตอบสนองกับความต้องการของเพื่อนมนุษย์ พระวรสารวันนี้จึงเป็นภาพของความโศกเศร้าของหญิงหม้ายที่ต้องสูญเสียบุตรชาย (หม้าย = ไม่มีสามี แล้วยังมาเสียลูกชาย ถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสของผู้หญิงในสมัยพระเยซู) แม่ซึ่งร้องให้ไปตลอดทางที่จะส่งลูกไปฝัง พระเยซูเจ้าซึ่งทรงมองเห็นมาโดยตลอด พระองค์ทรง “หยุด” เพื่อมองดู และเรียกให้หนุ่มคนนั้นลุกขึ้น และมอบหนุ่มคนนั้นคืนให้กับแม่ของเขา
หลายครั้งที่ชีวิตของเรา เราแบกรับความทุกลำบากไว้ในหัวใจของเรา ซึ่งทำให้เรารู้สึกหนัก, หนัก, แล้วก็หนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่า เราจะทำอะไรกับมัน? หรือจะทำอย่างไรกับมัน

เหมือนอย่างทุกครั้งที่เราไปแก้บาป หลายครั้งเราก็รู้สึกได้ว่า เราไม่รู้จะทำอย่างไรกับบาปประการนั้น จะจัดการมันอย่างไร? บางครั้งก็อาจรู้สึกได้ว่า พระเจ้าจะทรงอภัยบาปให้กับเราไหม?

ขอให้เรานึกย้อนไปถึงพระวรสารเมื่อวานนี้ที่ทำให้เรารู้ว่า เป็นพระเยซูเองที่ทรง ยกเอาแอกแบกหนักของเราออกไป ถ้า เรายอมจำนนต่อพระองค์ และยอมให้พระองค์ทรงทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเรา

ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่



from : http://www.franciscanretreats.net/Howard/Howard.htm


Your Cross

ดูแล้วเรียงรูปภาพเองนะครับ
















24 คำสอนของแม่


"24 คำสอนของแม่"

1. อย่าโกรธ ทำใจให้กว้าง
2. เมื่อเราลำบากแค่ไหน ก็อย่าฟุ้งซ่าน ให้นิ่งแล้วค่อยๆคิด
3. ชีวิต ถ้าไม่สมหวัง ก็ไม่ใช่เราคนเดียวที่เป็น คนอื่นๆที่ไม่สมหวังเยอะแยะ
4. เลี้ยงลูกน้อง ไม่ใช่ให้ฟุ้งเฟ้อ แต่อย่าให้อาหารเลว
5. ทำงานอะไรก็ได้ แต่อย่าขายศักดิ์ศรีของตนเอง
6. ต้องรู้จักให้
7. อย่าทำตัวโทรม แต่ให้สวยอยู่ในความพอดี
8. เห็นผู้ใหญ่ต้องนอบน้อมและไหว้ทุกครั้ง อย่ามือแข็ง (ข้อนี้จะโดนหนัก หากเผลอไผลไปบ้างเนื้อจะเขียวโดยเร็ว เพราะแม่จะหยิกทันที)
9. ถ้าหาเงินได้มามากๆ ก็ให้เก็บบางส่วน ใช้บางส่วน ทำบุญบางส่วน
10. อย่าดูถูกความคิดใคร แม้แต่เด็ก บางครั้งเราอาจจะได้ความคิดดีๆก็ได้
11. อย่าลืมผู้มีพระคุณ ต้องรู้จักกัตัญญู
12. ถ้าเราจน เราต้องอดทน จงมุมานะ บากบั่น จำเอาไว้ว่า ไม่มีใครจุดไฟส่งท้องว่า เรากินอะไร ในท้องเราไม่อะไรไม่มีใครรู้ไม่ต้องเสียใจ อดทนและพยายามให้ถึงที่สุด แล้วจะประสบความสำเร็จสักวัน
13. ดาบดีเอาไว้ในฝัก ถ้าเรามีดีอยู่ในตัว อย่าเที่ยวอวดตัวว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นๆ แต่ถ้าเราโดนดูถูกเหยียดหยาม ถึงเวลาจริงๆจึงจะพูดได้ว่า ตัวเองมีดีอะไร เวลาดึงดาบออกมาทั้งที ก็ต้องแวววาวและคมกริบเสมอ
14. ดี-ชั่ว อยู่ที่ตัวเอง ใครจะประณามหยามเหยียดก็ช่าง ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่าไปใส่ใจให้เขาพูดจนปากฉีกถึงหูไปเลย
15. อย่าบ้าเงิน ถ้าเรามีเงินมากๆ ก็อย่าบ้ากับมัน อย่าให้เงินมาอยู่เหนือเรา อย่าเปลี่ยนตัวเอง ต้องทำตัวเหมือนเดิม อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง หรือดีวก่าคนอื่นๆ ให้เจียมตัว อ่อนน้อมถ่อมตนไว้เสมอ อย่าให้เงินมันมาใหญ่กว่าใจเรา
16. เมื่อมีเรื่องอะไรที่สำคัญ ต้องปรึกษาพ่อก่อน ต้องถามพ่อทุกครั้ง ถ้าพ่ออนุญาต แม่ก็อนุญาตด้วย
17. การทำอาหารต้องเข้าใจทำ และใส่ใจทำอาหาร ด้วยทำด้วยใจถึงจะอร่อย “แกงเนื้อให้ใส่น้ำเยอะๆ แกงผักให้ใส่น้ำน้อยๆ”
18. ถ้าเราทำธุรกิจผิดพลาด ก็ไม่เป็นไร คิดใหม่ ทำใหม่ได้เสมอ อย่าโทษตัวเอง และต่อไปต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้ เงินหายากนะลูก
19. จงซื่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น
20. ลูกค้าคือผู้มีพระคุณ เขาเอาเงินมาให้เรา ต้องพูดกับเขาดีดีทุกครั้ง
21. ปันคนอื่นฉลาดบ้าง ให้เคารพความคิดคนอื่นด้วย เขาอาจจะเห็นต่างกับเรา
22. ควรกล้าในสิ่งที่ควรกล้า ให้กล้าทำในสิ่งที่ดี
23. ความใน อย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า
24. ทำดีอยู่เป็นนิจ ความดีจะปกป้องตัวเรา

10 สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต


10 สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

1.สิ่งร่ำรวยที่สุดของชีวิต คือ สุขภาพที่แข็งแรง
2. บาปกรรมใหญ่หลวงที่สุดของชีวิต คือ ไม่กตัญญู

3.ความโง่เขลาที่สุดของชีวิต คือ ติดยาเสพติด
4.ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต คือ การทะนงตัว
5.ของกำนัลที่มีค่าที่สุดของชีวิต คือ การให้อภัย
6.ความชั่วช้าต่ำต้อยที่สุดของชีวิต คือ การข่มเหงผู้อื่น
7.ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของชีวิต คือ การเล่นการพนัน
8.การล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต คือ การสิ้นหวัง
9.ความสุขมากที่สุดของชีวิต คือ การช่วยเหลือผู้อื่น
10.การยอมรับและนับถือได้มากที่สุดของชีวิต
คือ ความก้าวหน้า

(ที่มา : สมาคมการค้าผู้ผลิตและผู้จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์การพิมพ์ไทย)

สวรรค์มิใช่เรื่องอัตโนมัติ

สวรรค์มิใช่เรื่องอัตโนมัติ

· เมื่อมิชันนารีกลุ่มแรกเดินทางมาถึง ปาปัวนิวกีนี ก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ชนเผ่าโบราณนี้มีความเชื่อในเรื่องของสวรรค์อยู่แล้ว ทุกคนจะต้องไปที่นั่นหลังจากตายจากโลกนี้ไป
· แต่สำหรับเรื่องราวระหว่างสวรรค์ของชนเผ่ากับสวรรค์ที่พระเยซูพูดถึงนั้นมีความแตกต่างกันมากนัก พระเยซูเตือนเสมอว่า สวรรค์นั้นมิใช่เรื่องอัตโนมัติที่ใครก็เข้าไปได้ แต่เป็นสำหรับผู้ที่ทำสิ่งที่ดีเท่านั้น
· พระเยซูเจ้าตรัสใน มธ 7.14 ว่า “แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย”
· ถ้าหากภาพของสวรรค์เป็นเหมือน ประตู เราก็อาจจินตนาการว่า แต่ละคนก็ต้องมีตั๋วเพื่อจะได้เข้าผ่านประตูนั้นได้
· ตั๋วแรกในชีวิตของเราก็คือ ศีลล้างบาป แต่ตั๋วนั้นก็อาจจะเก่าได้และอาจหมดอายุได้เช่นกัน และก็อาจใช้ไม่ได้แล้ว
· อย่างที่เรารู้กันว่า ตั๋วเครื่องบินหรือตั๋วสำหรับเล่นเกมส์นั้นมีวันหมดอายุกำกับไว้เสมอ เพื่อบอกกับเราว่า หลังจากเวลานั้นหรือช่วงนั้นช่วงนี้ ตั๋วนี้ก็จะหมดอายุและใช้ไม่ได้
· สำหรับตั๋วไปสวรรค์ก็น่าจะคล้ายๆ กัน เราต้องทำให้ตัวเรามั่นใจว่า ตั๋วนั้นยังใช้ได้อยู่เสมอ และถ้าเราไม่ทำตามเงื่อนไขของการไปสวรรค์ ซึ่งมากับชีวิตคริสตชน ตั๋วนั้นก็คงใช้ไม่ได้แน่ๆ

· สิ่งหนึ่งที่เป็นกฏพื้นฐานง่ายๆ ก็คือ เราคงต้องอยู่ใน “สถานะพระหรรษทาน” นั่นหมายถึง การเข้าไปแก้บาป การรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การนำเอาจิตตารมณ์พระวรสารไปปฏิบัติในชีวิตของเราทุกวัน ทั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจได้ว่า ตั๋วของเราที่จะเข้าสวรรค์นั้น ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2550

หายไปนาน เพิ่งนึกได้........


สวัสดีครับ พี่น้องทุกท่าน

หายไปนานมาก (3-4 เดือน) ภารกิจ + เวลา ไม่ลงตัว

ตอนนี้ลงตัวมากขึ้น เลยนึกได้ว่า ตัวเองยังมี บล๊อก (Blog) อยู่ ก็ต้องทำให้เรียบร้อยต่อไปนะครับ

ขอพระเจ้าอำนวยพระพรแด่ท่าน

คพ.พรชัย วิลาลัย

นายร้อยโรมัน ผู้มีความเชื่อในพระเยซู

17 กันยายน 2007

“พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากไปเลย ข้าพเจ้า ไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเอื้อมที่จะออกมาพบกับพระองค์ แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียว ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค”

นี่คือคำพูดของนายร้อยโรมันที่ขอให้พระเยซูรักษาทาสของเขา เป็นคำภาวนาที่แสดงออกถึงความสุภาพและการยอมจำนนต่อพระองค์ นายร้อยและทาสคนนั้นยอมจำนนต่อพระเยซู ยอมรับว่าตนเองปราศจากพลังและขอให้พระองค์ทรงรักษาทาสของเขาด้วย นี่คือหนทางของพระเยซูที่ทรงสอนเราในวันนี้
"the conversion Steps." ขั้นตอนที่สำคัญประการหนึ่งของชีวิตคริสตชนนั่นก็คือ “ขั้นตอนการกลับใจ” เมื่อต้องการเปลี่ยนแปลง, เมื่อต้องการความช่วยเหลือ, รักษาสิ่งต่างๆ ในชีวิต, เราวอนขอพระเจ้า และบอกพระองค์ว่า เราไม่เหลืออะไร,เราไม่มีพลังเพียงพอในการทำสิ่งต่างๆ เราต้องการให้พระเจ้าช่วยเหลือเรา

สิ่งสำคัญก็คือ ขอให้เราสุภาพพอที่จะน้อมรับพระเจ้า และยอมจำนนต่อพระองค์ในชีวิตของเรา และเมื่อเราสวดบทแสดงความทุกข์ ให้เรายอมรับกับพระองค์ด้วยความสุภาพและถ่อมตนของเรา เพื่อพึ่งพาพละกำลังของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา

แปลจาก : http://www.franciscanretreats.net/Howard/Howard.htm