วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ส.17 เทศกาลธรรมดา ปี A

อ่านพระวาจาประจำสัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา ปี A คลิกที่นี่


สวัสดีพี่น้องที่รักทุกท่าน จากพระวาจา 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา อุปมาเรื่อง ผู้หว่าน, ข้าวสาลีและข้าวละมาน และบทสรุปในวันนี้คือ พระอาณาจักรของพระเจ้า คือ เป้าหมายของชีวิตเรา


บทอ่านที่ 1 เราได้ยินสิ่งที่กษัตริย์หนุ่มซาโลมอนวอนขอจากพระเจ้า สิ่งที่เขาขอนั้น ไม่ใช่ความร่ำรวย หรือความมั่นคง ชีวิตยืนยาวหรือชัยชนะเหนือศัตรู และที่สำคัญนั้น ซาโลมอนไม่ได้ขอเพื่อตนเอง แต่เพื่อรับใช้ประชากรของพระเจ้าตามพระประสงค์


สิ่งที่ท่านวอนขอคือ “ขอพระองค์ประทานความคิด ความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ เพื่อจะได้วินิจฉัยประชากรของพระองค์ เพื่อข้าพเจ้าจะได้แยกแยะความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่ว” ซาโลมอนได้ขอ “ปรีชาญาณ” จากพระเจ้า และพระเจ้าทรงตอบสนองซาโลมอน โดยทรงสัญญา
“เราให้เจ้ามีจิตใจที่ประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ จนไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า และไม่มีใครที่จะเกิดมาภายหน้าเจ้าเหมือนเจ้า”
ซึ่งความหมายของพระวาจาตอนนี้คือ พระเจ้าประทานความปรีชาสูงสุดให้แก่ซาโลมอน
ถ้าเราจะสรุป เราคงต้องยอมรับว่า “ความสามารถ ปรีชาญาณ การสามารถแยกแยะความดีจากความชั่ว” นั้น มาจากพระเจ้า พระเจ้าประทานปรีชาญาณนี้แก่ผู้ที่วอนขอไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อความดีงามของประชากรพระเจ้า


บทอ่านที่ 2 พระเจ้าเรียกเราทุกคนให้เป็น “บุตรของพระเจ้า” ดังนั้นเราจึงต้องเป็น “ผู้ชอบธรรม” ดังเช่นพระเจ้า เพราะเราได้รับพระลักษณะของพระเจ้าใน ชีวิตของเรา เราคือ “พระฉายา” ของพระเจ้า นั้นหมายความว่า เรามีสิริมงคลของพระเจ้า ชีวิตของเราจึงต้องเต็มไปด้วยความเหมือนพระเจ้า
นั่นคือ ความสามารถในแยกแยะความดีจากความชั่ว


พระวรสาร พระเจ้านั้นเป็นดังขุมทรัพย์ล้ำค่าสูงสุดที่เราต้องยอมละจากทุกสิ่ง ขายทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งพระลักษณะของพระเจ้า
“เมืองสวรรค์” ไข่มุกเม็ดงามที่สุด ที่ต้องยอมขายทุกอย่างเพื่อให้ได้มา หรือเหมือนอวนใหญ่ที่จับปลาทุกชนิดและสามารถแยกแยะปลาดีจากปลาที่ไม่ดี


จำเป็นเหลือเกินที่เราจะต้องมีความเข้าใจ และสามารถแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วอย่างแท้จริงไม่ใช่หรือ?
· เราเห็นข่าวดีแท้จริงคือ พระเจ้า พระลักษณะของพระเจ้า ความสามารถของพระเจ้าที่ซาโลมอนได้รับและความสามารถนั้น พระลักษณะนั้นที่เปาโลบอกว่า เราได้รับโดยทางศีลล้างบาป เราเป็นเหมือนพระคริสตเจ้า
· พระเยซูเจ้าตรัสข่าวดีแท้คือ ความสามารถของพระเจ้านั้นเอง การแยกแยะความดีจากความชั่ว และเรียกร้องให้ผู้ติดตามพระองค์ต้องเข้าใจ
· พี่น้องที่รัก นี่คือข่าวดีจากพระวาจาในวันนี้ ข่าวดีของพระเจ้าเราได้รับจากพระองค์ จากพระวรสาร เราซึมซับข่าวดีหรือคุณค่านี้ดีเพียงใด?
· ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นฉันใด เราในฐานะของบุตรพระเจ้า เราเองก็ย่อมต้องมีผลดี เหมือนกับภาพลักษณ์ของพระเจ้าฉันนั้น ซึ่งในผลนี้คือ การแยกแยะความดีจากความชั่วนั่นเอง
· และในชีวิตจริงของเรานั้น ความดีความชั่วที่เราพบประจำวัน เราแยกแยะออกไหม?
· เรากับพี่น้องของเรา กับคนในครอบครัวของเรา เราอยู่กันด้วยปรีชาญาณของพระเจ้าเพียงใด หรือเราอยู่กันด้วยตามใจเราเท่านั้น
· ขอให้พระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารเป็น “ปรีชาญาณ” ของเราเสมอไป ขอให้ขุมทรัพย์ของเราคือ พระคริสตเจ้าและพระวาจาของพระองค์เสมอไปเทอญ

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

หมายเหตุ อ้างอิงจากข้อคิดจากพระวาจาวันอาทิตย์ โดย คพ.สมเกียรติ ตรีนิกร * พระสงฆ์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ


วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต-------Dalai Lama



Dalai Lama

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอัน มหาศาลดุจกัน


2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน


3. จงปฏิบัติตาม 3Rs 3.1 เคารพตนเอง (Respect for self) 3.2 เคารพผู้อื่น (Respect for others) 3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)


4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์


5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม


6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ


7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข


8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน


9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป


10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด


11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง


12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต


13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต


14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ


15. จงสุภาพกับโลกใบนี้


16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง


17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่


18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ


19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

หมาขี้เรื้อน............................



หมาขี้เรื้อน- - -
ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอกยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อนเพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้วผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสานพระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลา นานเป็นแรมเดือน แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกันปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลงเห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จัก ใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชาครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูงมีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมดมองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตูนึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ
อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่างเห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัยรวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูกอีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วยท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคันแต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักทีเลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใด ไม่แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็น แล้วขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้นในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่น วายนึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดูยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเองเมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก
"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา" โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ???



***********************************************************

แม่สอนว่า..........






แม่สอนว่า..........

เพื่อน ๆ บอกผมว่าทำไมมึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด

แต่เรียนเก่งจังวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน


เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมพอมึงมีตังค์

มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น

ถึงเราจะมีตังค์น้อย แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา


เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมมึงชอบเล่นกีฬา

เล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก


เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ

ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี

ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน


เพื่อน ๆ ผมบอกว่าทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม

ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ เป็นเด็กเสริฟอาหารหรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษตังค์แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา


เพื่อน ๆ ผมบอกว่าทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ มึงตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้ ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้ เพื่อน ๆ ผมบอกว่าทำไมมึงถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะผมบอกเพื่อนว่า แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์แม่กูสอน ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่าคำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด


เพื่อน ๆ ผมบอกว่า ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมากมายจังเลยวะ

ผมบอกเพื่อนว่า ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้

ก็เพราะ " แม่กูสอน" แม่กูสอนอะไร

กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่แม่กูไม่ได้สอน

แต่กูทำ แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้วแม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่

แต่......กูรักแม่ว่ะใครไม่รัก..................กูรัก



********************

คำคมจาก ขงเบ้ง - Forward Mail.....

คำคมจาก ขงเบ้ง


ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว 'ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน'


นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ


ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น


ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี


ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย


เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด
เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร


เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้ การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่


อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น


เมื่อนักการฑูตพูดว่า 'ใช่' เขามีความหมายว่า 'อาจจะ'
เมื่อนักการฑูตพูดว่า 'อาจจะ' เขามีความหมายว่า 'ไม่'
เมื่อนักการฑูตพูดว่า 'ไม่' เขาไม่ใช่นักการฑูต

(เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)



เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า 'ไม่' หล่อนมีความหมายว่า 'อาจจะ'
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า 'อาจจะ' หล่อนมีความหมายว่า 'ใช่ หรือ ได้'
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า 'ใช่ หรือ ได้'
หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี

(สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ)
55555555555++

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ส.16 เทศกาลธรรมดา ปี A - วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 2008

อ่านพระวาจาประจำสัปดาห์ คลิกที่นี่




สวัสดีพี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า

สัปดาห์นี้พระวาจาของพระเจ้าเป็นเรื่อง “ข้าวสองแบบที่ขึ้นปะปนกัน” นอกจากเรื่องนี้แล้ว พ่อยังเห็นว่า มีพระวาจาอีก 2 เรื่องที่มีความหมายใกล้เคียงกัน มาเปรียบเทียบในคราวเดียวให้พี่น้องเป็นข้อคิดสะกิดใจในสัปดาห์นี้
เรื่อง 1. ข้าวละมานกับข้าวสาลี
2.ชาวประมงที่จับปลาได้ คัดเลือกปลาดีและปลาเลวออกจากกัน
3.เรื่องต้นมะเดื่อที่ไร้ผล ปลูก 3 ปีไม่มีผล



พี่น้องครับ ข้าวละมานและอวนมีความหมายแบบเดียวกัน คือ ขณะที่เราเจริญชีวิตอยู่ในโลก พระเป็นเจ้าทรงปล่อยให้คนดี คนชั่วอยู่ปะปนกัน แบบนาข้าวสาลี มีข้าวละมาน(ข้าวป่า) ขึ้นแซมอยู่ ทำนองเดียวกัน อวนจับได้ทั้งปลาดีและปลาขี้ริ้ว ส่วนต้นมะเดื่อไร้ผล จะถูกโค่นเผาไฟ ถ้าไม่บังเกิดผล


พี่น้องครับ
· เนื้อเรื่องแรก กล่าวว่า เมืองสวรรค์เปรียบได้กับบุรุษที่เอาข้าวสาลีพันธ์ดีไปหว่านลงในนาข้าว ตกกลางคืนศัตรูผู้ริษยาก็เอาข้าวละมานมาหว่านทับลงไป เมื่อต้นข้าวเติบโตออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏออกมาด้วย ลูกจ้างจึงไปบอกนายและออกความเห็นว่า “จะถอนมันออกดีไหม?” นายตอบว่า “อย่าเลยเกรงว่า ขณะถอนข้าวละมาน ก็จะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย รอไว้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ให้ลงมือเกี่ยวข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แล้วเก็บเกี่ยวข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉาง”
· พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า “เมื่องสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนปากใหญ่ หย่อนลงในทะเล และติดปลาทุกชนิด เมื่อลากอวนถึงฝั่งแล้ว ชาวประมงจะเลือกปลาดีใส่เข่ง ส่วนปลาเลวก็ขว้างทิ้งไป
· ที่สุดพระองค์ตรัสถึงบุรุษผู้หนึ่งปลูกมะเดื่อไว้ในสวน 3 ปีแล้ว ที่เขาออกไปเก็บผล ก็ไม่พบเลย...เขาจึงพูดกับคนสวนว่า “ตัดมันทิ้งเสีย รกที่เปล่าๆ” แต่คนสวนตอบว่า “นายครับ ขอลองใส่ปุ๋ย ดายหญ้า พรวนดิน ดูอีกสักปี ...ถ้าปีหน้าไม่ออกผลอีก ก็ตัดทิ้งไปเถอะครับ”
พี่น้องครับ ถ้าเราหยุดพิจารณาดูรอบตัวเรา ก็จะพบทั้งคนดีและคนเลว แบบเดียวกับตามไร่ตามสวน มีต้นพืชผักผลไม้ที่ดีน่ารับประทาน แต่ก็ไม่วายมีหญ้ารกหนามร้ายคอยเบียดบังปะปนอยู่เสมอ... เราต้องหมั่นถางหมั่นดายหญ้าร้ายทิ้งฉันใด...เราก็พึงพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเสมอฉันนั้น



เราอยู่ในโลก ก็ต้องระมัดระวังคนชั่วคนพาล และอิทธิพลต่างๆของเขา คนชั่วนั้นบางทีปรากฏทีท่าน่าเคารพก็ได้ ที่เรียกว่า “หน้าซื่อใจคด” ดังนั้นตราบใดที่เรายังมองไม่เห็นในใจของกันและกัน ก็จำต้องอาศัยกาลเวลาพอสมควรเพื่อพิจารณาตัดสินจากพฤติกรรมของเขา


พี่น้องที่อ่านหนังสือพิมพ์, ฟังวิทยุ หรือดูรายการโทรทัศน์ ,อินเตอร์เน็ต อาจจะพบ หรือเห็นภาพอาชญากรรม ที่ท่านไม่เคยนึกฝันมากก่อนก็ได้ ยิ่งกว่านั้น มีคำกล่าวว่า “อาชญากรสำคัญๆนั้น มิใช่ชาวคุกทุกคนหรอกครับ...แต่ผู้ที่ยังลอยหน้าลอยตา มียศ มีเกียรติในสังคม ที่เราต้องโค้งคำนับ ยกมือไหว้นั่นแหละ อาจจะเป็นอาชญากรที่ยิ่งใหญ่กว่าเสียอีกก็ได้” พระเจ้าผู้เดียวทรงล่วงรู้สารพัด แม้ความคิดล้ำลึกในใจ พระองค์ผู้เดียวทรงพระยุติธรรมสูงสุด


พี่น้องครับ แต่พระเจ้าก็ทรงพระเมตตาเหลือล้น ทรงพากเพียรรอคอยคนบาปกลับใจ เวลาเจริญชีวิตในโลกนี้คือ “เวลาแห่งพระมหากรุณา” ชาวเราจงใช้วันเวลา อายุไม่มากนักนี้ ให้เป็นประโยชน์ที่สุด อย่าให้เป็นดั่งต้นมะเดื่อไร้ผล ที่เจ้าของคาดโทษ เตรียมจะโค่นเผาไฟเลย จงเปลี่ยนวิถีชีวิตของท่านในขณะที่ท่านยังอยู่ในเวลาแห่งพระมหากรุณาเถิด


สุขสันต์วันพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

คำแนะนำในการฟังเทศน์-55555555



เช้าวันอาทิตย์อีกแล้ว สัตบุรุษทั้งหลายพากันมาร่วมพิธีกรรมทางศาสนาทุกคนร่วมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันในมิสซาบูชาขอบพระคุณ แต่เราจะได้อะไรบ้างจากการร่วมพิธีนี้ หลายคนอาจจะตอบว่าได้รับศีลมหาสนิทซึ่งเป็นพระกายของพระเยซูเจ้า แต่นอกจากนี้แล้ว เรายังได้รับฟังคำเทศน์สั่งสอนของพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีด้วย พูดถึงเรื่องคำเทศน์สอนนี้แล้วนั้น พวกเราได้รับอย่างแน่นอน แต่เราสามารถนำไปใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์ได้มากสักเท่าใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรา ว่าต้องการคำเทศน์นั้นมากน้อยเพียงไรแต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า ในส่วนลึกๆ แล้วทุกคนก็อยากจะได้รับประโยชน์จากคำเทศน์นี้อยู่แล้ว ผมจึงขอนำเสนอวิธีการง่ายๆ ที่ควรพึงปฏิบัติในการฟังเทศน์มาแบ่งปันให้ทุกท่านได้ทราบกัน
1. พึงระลึกอยู่เสมอว่า การฟังพระวาจาของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็น จำไว้เถิดว่า สำหรับพระอาจารย์เจ้าแล้วพระวาจาเป็นสิ่งสำคัญ พระองค์เองไม่ได้เขียนอะไรเลย พระองค์ได้สั่งพวกอัครสาวก ไม่ใช่ให้เขียนแต่ให้สอนนักบุญเปาโลเขียนไว้ว่า “ความเชื่อมาจากการฟัง” ท่านบอกพวกเราว่าท่านไม่ได้ส่งมาเพื่อโปรดศีลล้างบาปแต่เพื่อประกาศพระวาจาของพระคริสตเจ้า และในปัจจุบันบนธรรมาสน์ พระสงฆ์ไม่ได้ทำอะไรนอกจากการเทศน์สอนเกี่ยวกับพระคริสตเจ้า ซึ่งได้มอบแก่เราโดยทางอัครสาวก ได้ยินด้วยหูของพวกเขาเอง นั่นก็หมายความว่าพระอาจารย์ของเราต้องการจะบอกบางอย่างกับ “ฉัน” โดยอาศัยเสียงของพระสงฆ์ และเราก็ควรกระหายที่จะรับฟังว่านั้นคืออะไร
2. สำรวมจิตใจก่อนการเทศน์จะเริ่มขึ้น ในการฟังเทศน์นั้นไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม การสำรวมเป็นการกระทำอันประเสริฐที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ ตามปกติแล้วนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย พวกเขาจะทำสมาธิให้แน่วแน่ก่อนการแสดงชุดพิเศษ นักกรีฑาก่อนการแข่งขัน พวกเขาจะผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หายใจลึกๆ และหลับตาในทำนองเดียวกัน พวกเราก็ควรจะเตรียมจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่ผู้เทศน์กำลังพูด การภาวนาที่ร้อนรน วอนขอพระจิตเพื่อประทานความรัก การกระหายความถูกต้องและเที่ยงธรรมและความชื่นชมยินดีเสมอในความบรรเทาของพระองค์ ก็จะช่วยให้เราสามารถรับฟังข่าวสารจากพระเจ้า และบทภาวนาที่เร่าร้อนที่เราวอนขอพระเจ้าเพื่อผู้เทศน์ได้เป็นกระบอกเสียงที่ทรงประสิทธิภาพ ในการนำข่าวสารของพระเจ้ามาสู่ชาวเราควรเป็นสิ่งที่พึงกระทำ
3. มีความสนใจแน่วแน่ต่อบทเทศน์ หลายครั้งที่การเทศน์จบลงอย่างไม่เป็นท่า หรือเทศน์อย่างไม่น่าสนใจ เมื่อท่านต้องพบกับความวอกแวกที่น่ารำคาญ และใบหน้าที่แสดงถึงความเบื่อหน่ายของผู้ฟัง นักพูดคนใดก็ตามต่างก็พึงพอใจที่มีผู้ฟังจ้องมองเขาขณะที่พูดอย่างสนอกสนใจ จงพยายามทำให้ผู้เทศน์เกิดความประทับใจว่า คุณกระหายที่จะฟังสิ่งที่เขาจะพูดกับคุณอย่างจริงใจ
4. มีการตอบสนองต่อสิ่งที่เขากำลังพูด หลังจากสนทนาสองสามนาทีทางโทรศัพท์ คุณจะพบว่าไม่มีใครอยู่ใช่ไหม? เช่นเดียวกัน มันน่ารำคาญสำหรับพระสงฆ์ที่กำลังเทศน์ที่จะมองออกไปยังผู้คนเพียงเพื่อจะพบว่า ไม่มีใครฟังเขาอยู่เลย หรือก็แย่ไปกว่านั้น เพื่อที่จะดูว่าใบหน้าที่แสดงอาการเฉยเมยเหล่านั้นพูดว่า เขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ความพยายามแสดงความสุภาพ โดยให้ความสนใจต่อผู้พูดอย่างจริงจังและเต็มใจ เป็นวิธีการหนึ่งที่คุณทำได้ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของบทเทศน์
5. ประยุกต์ใช้สิ่งที่คุณรับฟังกับชีวิต ไม่มีใครที่ครบครันแล้ว เราทุกคนพบว่ามีส่วนต่างๆ ในชีวิตที่ควรปรับปรุงให้งดงามยิ่งขึ้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า และของมนุษย์ ถ้าเราผู้ฟังพระวาจาของพระเจ้า จะทุ่มเทพละกำลังในการประยุกต์ใช้บทเทศน์ เหมือนกับทีเราพยายามวิพากษ์วิจารณ์ผู้เทศน์แล้ว เราจะเป็นสุขมากเพียงใด
6. แสดงความชื่นชม การเทศน์เป็นงานที่โดดเดี่ยว ผู้เทศน์จะไม่หมดกำลังใจเลยหากเขาได้รับความชื่นชมจากผู้ฟังบ้าง ไม่ใช่การยกยอจนเกินไปหากแต่เป็นคำขอบคุณที่จริงใจต่อผู้เทศน์ สำหรับการเทศน์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เขาเทศน์อย่างเต็มที่ ไม่มีนักเทศน์คนใดที่จะปรับปรุงการเทศน์ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์ที่ร้ายกาจหรือสิ่งที่น่าหดหู่ ความไม่สนใจใยดี
7. เสนอแนะหัวข้อในการเทศน์ ไม่เป็นการลำบากที่จะหาหัวข้อในการเทศน์ แต่ปัญหาอยู่ที่การหาหัวข้อที่น่าสนใจจริงๆ และสอดคล้องกับกลุ่มผู้ฟัง ข้าพเจ้าจะมีความสุขมากเพียงใดถ้าหลังจากการเทศน์ตอนเช้า ข้าพเจ้าได้รับจดหมายเขียนว่า “คุณพ่อที่รักดิฉันได้รับฟังบทเทศน์ของคุณพ่อเรื่องการพลีกรรมในมิสซารอบ 10.30 เมื่อวานนี้ ดิฉันคิดว่ามีประโยชน์มากที่ได้ฟังคุณพ่อพูดถึง การยอมรับประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในชีวิตประจำวันด้วยความอดทน ปล่อยวางและอุทิศสิ่งเหล่านี้เพื่อผู้อื่นที่ต้อนทนทุกข์มากกว่าพวกเรา ดิฉันใคร่จะเสนอให้คุณพ่อเทศน์เกี่ยวกับ “การอดทนต่อลูกๆ ของพวกเรา” ในวันใดวันหนึ่งเร็วๆ นี้”ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดแทนพระสงฆ์คนอื่นได้ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าจดหมายเช่นนี้จะทำให้ข้าพเจ้ากระตือรือร้น ในความพยายามที่จะแสดงบนธรรมาสน์ถึงสิ่งที่สวยงามเพื่อพระเจ้า (และผู้ฟัง) ในครั้งต่อไป
8. เตรียมตัวล่วงหน้า ข้อเสนอแนะนี้น่าจะเหมาะกับผู้เทศน์มากกว่าผู้ฟัง แต่จำเป็นที่เราจะต้องเตรียมพร้อมก่อนการเทศน์ในสัปดาห์ต่อไป ฉันอาจถามผู้เทศน์ล่วงหน้าสักหนึ่งอาทิตย์เกี่ยวกับหัวข้อของบทเทศน์ของอาทิตย์ต่อไป ในระหว่างอาทิตย์นั้นฉันอาจพิจารณาไตร่ตรองเกี่ยวกับหัวข้อนั้นและเมื่อเวลาเทศน์มาถึง โดยธรรมชาติแล้วฉันก็อยากจะฟังในสิ่งที่ผู้เทศน์กำลังพูด ฉันคิดว่าฉันน่าจะตั้งใจฟังมากยิ่งขึ้น
9. ควรมีทัศนะที่ดีต่อผู้เทศน์ พระสงฆ์นั้นมีรูปร่างและหุ่นที่หลากหลายแตกต่างกันไป อีกทั้งสติปัญญาและน้ำเสียง การที่จะคอยให้ความสนใจนักพูดที่มีสุ้มเสียงแบบนักจัดรายการวิทยุนั้น ก็เท่ากับว่าคุณเกือบจะไม่ได้สนใจอะไรเลยเพราะพระสงฆ์ส่วนมากไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ สิ่งเดียวที่จะช่วยในการเข้าใจในขณะฟังเทศน์ก็คือ การใคร่ควรอย่างศรัทธา ถึงความคิดที่ผู้เทศน์กำลังเสนอ และปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาหล่อเลี้ยงวิญญาณของคุณนี่แหละเป็นสิ่งที่พระอาจารย์เจ้าได้เรียกร้องจากผู้ที่ติดตามพระองค์ พวกอัครสาวกไม่ได้ทำให้พวกต่างศาสนากลับเป็นคริสตชนเพราะความหล่อ หรือน้ำเสียงที่ชวนฝันของพวกเขา บางคนพูดถึงนักบุญเปโตรว่า เป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ งานของพระคริสตเจ้าสำเร็จลุล่วงไปโดยอาศัยการเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ร้อนรนในการประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้าแก่ผู้ฟัง
10. ให้การสนับสนุนในการจัดหาเครื่องขยายเสียงที่มีคุณภาพ ในยุคไฮไฟ และโลกของอีเล็กทรอนิกส์อย่างปัจจุบัน ไม่มีเหตุผลเลยที่พระสงฆ์จะต้องพยายามแหกปากร้อง เพื่อให้คนอื่นได้ยิน แต่ในโบสถ์คาทอลิกของเรายังมีไมโครโฟนถูกๆ ลำโพงที่ส่งเสียงน่ารำคาญ และเครื่องเสียงที่ด้อยคุณภาพอยู่มาก ข้าพเจ้าไม่อาจบรรยายความรู้สึกในธรรมาสน์ได้ เมื่อสามารถได้ยินเสียงของตนเองที่ดังออกมาและชัดเจนสิ่งนี้จะช่วยให้กำลังใจข้าพเจ้าที่จะพูดสิ่งใดก็ตามอย่างคุ้มค่า และด้วยความกระตือรือร้น
ให้เรามาเป็นผู้เชี่ยวชาญในศีลปะแห่งการฟังเถอะ


หมายเหตุ อ้างอิงจากหนังสืออิสระรายสัปดาห์

ส.15 เทศกาลธรรมดา ปี A - วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2008


บทเทศน์ ส.15 เทศกาลธรรมดา ปี A ชุด 1



****************************


สวัสดีพี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า
พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงสอนเราเรื่อง “ผู้หว่าน” ในขณะที่พระองค์ประทับนั่งอยู่ในเรือ พระองค์ทรงสอนประชาชนมากมาย และดูเหมือนภาพที่เราเห็นชัดคือ “ประชาชนมากมายพากันมาหาพระองค์” หมายความว่า พระวาจาของพระองค์คือ ความกระหายของประชาชนนั่นเอง


พี่น้องครับ สิ่งที่พระองค์ตรัสก็คือ อุปมาเรื่อง “ผู้หว่าน” พระวาจาของพระเจ้า คือพระประสงค์ของพระเจ้าจะต้องสำเร็จ และท่าทีที่สำคัญคือ ขึ้นอยู่กับท่าทีของผู้ฟังพระองค์
เมล็ดที่ตกตามทางเดิน , ตกในดินปนหิน , กอหนาม , เนื้อดินดี


พี่น้องครับ ท่าทีเหล่านี้ คือ อุปมาที่สอนให้เห็นถึงท่าทีของการฟังพระวาจาของพระเจ้า การฟังพระประสงค์ของพระเจ้า การที่จะเกิดผลนั้นก็ขึ้นกับชีวิตและท่าทีของผู้ฟังพระองค์ด้วยว่า จะต้องเป็นชนิดใด


พี่น้องครับ สำหรับผู้ที่เป็นเนื้อดินดี (ผู้ที่มีความสามารถในการกลับใจ) ก็เกิดผลตามความสามารถของตน ตามความเหมาะสมในการฟังพระเจ้า สรุปก็คือ พระวาจาของพระเจ้าต้องเกิดผลอย่างแน่นอน ท่าทีการตอบรับพระวาจาของพระเจ้านั้นดูเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการรับพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความเชื่อ วางใจในพระวาจาของพระองค์


พี่น้องครับ พ่อขอเชิญชวนพี่น้องให้รำพึงตามพ่อสักครู่หนึ่ง
· “พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของเราไหม”?
· ชีวิตของเราเหมือนแผ่นดินแห้งผาก คือ กระหายพระวาจาของพระเจ้าหรือไม่ หรือว่า ชุ่มชื้นเกินไป มีน้ำมากเกินไป แต่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า แต่เป็นน้ำใจของเราฝ่ายเดียวเล่า หรือเต็มไปด้วยกอหนามแห่งชีวิตด้านลบที่คอยกลบลบพระวาจาของพระเจ้า
· ในความลำบาก ความเจ็บปวด ชีวิตปัจจุบัน ดังเช่นเปาโลเน้น เราโดดเด่นในการเผชิญปัญหา ด้วยความเชื่อ การรอคอยพระเจ้า เราเพียรทนเพื่อให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จเพียงใดเล่า · วาจาของพระเจ้าจะต้องเกิดผลไม่ใช่หรือ พี่น้องที่รัก เราฟังพระวาจาของพระเจ้า คำเทศน์ทุกวันอาทิตย์ การอ่านพระวาจาของพระเจ้า เราเชื่อและร่วมมือเพื่อให้พระวาจานั้นเกิดผลเพียงใดในชีวิตของเราเล่า
· เรามีหูเพื่อฟัง ทุกวันเราฟังอะไร เรามีใจเพื่อเชื่อฟัง ทุกวันเราเชื่อฟังอะไร ใคร? ใช่พระเยซูเจ้าหรือไม่ ถ้าใช่ พระองค์สอนข้อสำคัญคือ “จงรักกันและกัน” ไม่ใช่หรือ พระวาจานี้เกิดผลจริงๆไหมในชีวิตเรา


พี่น้องที่รัก ที่สุดแล้ว พระวาจาของพระเจ้าจะไม่เกิดผลได้อย่างไรเล่า ขอพระวาจาเป็นดังสายฝนรดผืนดินแห่งวิญญาณจิตของเราเถิด ขออย่าให้ใจเราแห้งผากเกินไปหรือมีอุปสรรคใดๆต่อพระวาจาของพระเจ้าเลย

สุขสันต์วันพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

หมายเหตุ อ้างอิงจาก พระวาจาประจำสัปดาห์ โดย คพ.สมเกียรติ ตรีนิกร



วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ส.14 เทศกาลธรรมดา ปี A - วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2008










ส.14 เทศกาลธรรมดา ปี A





“ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน”





พี่น้องที่รักครับ ภาระหน้าที่ประจำวันของเราแต่ละคน เป็นเสมือน “แอก” ที่เราต้องแบกไว้ เป็นหน้าที่ที่เราต้องปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเราคริสตชนก็ดูเหมือนว่า มีหน้าที่อีกประการหนึ่งก็คือ การรับใช้พระเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์





พี่น้องครับ คำสัญญาที่พระเยซูบอกกับเราในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะเลิกแบกแอกของเรา เลิกปฏิบัติหน้าที่ของเราต่อพระเจ้า ต่อเพื่อนพี่น้อง วางลงแล้วไปอยู่กับพระเยซู แต่เป็นสิ่งที่พระเยซูสัญญากับเราว่า สิ่งต่างๆที่เป็นประสบการณ์แห่งความยากลำบากในวันนี้ พระองค์จะทำเปลี่ยนให้เป็นความหวานชื่นในการอยู่กับพระองค์





พี่น้องครับ พระเยซูบอกว่า “จงรับแอกของเราแบกไว้และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน” ดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อยที่ว่า เราทุกคนเองมีแอกอยู่แล้วที่ต้องแบกอย่างสาหัส และต้องมารับแอกที่พระเยซูจะมอบให้อีกอันหนึ่งใช่หรือไม่? พระเยซูไม่ได้หมายความอย่างนั้น พระองค์ต้องการให้เราวางภาระหนักต่างๆเหล่านั้นไว้ต่างหาก และรับมาเอาแอกของพระองค์ไว้ เพราะแอกของพระองค์นั้น “อ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา”





แล้วแอกของพระองค์เป็นอย่างไร? แอกของพระเยซูเจ้า ก็คือ บทสรุปของการเป็นคริสตชนของเรา ความรับผิดชอบและหน้าที่ของเรานั่นเอง ดังนั้น การแบกแอกของพระเยซูเจ้า ก็คือ การที่ตัวของเรา มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในฐานะของผู้รับใช้และยอมให้พระองค์ควบคุมชีวิตของเรา



ในสมัยของพระเยซู เวลาที่เขาจะใช้แอก เขาจะเอามันใส่ไว้ที่คอของสัตว์สองตัว เพื่อให้ทั้งสองตัวช่วยกันลากไป ไถนาไปด้วยกัน ดังนั้นมันจึงต้องมีลักษณะเป็นคู่เสมอ
พี่น้องครับ เมื่อพระเยซูเชิญเราให้มาแบกแอกของพระองค์ และเราจะให้ใครมาแบกแอกกับเรา มาเป็นคู่แบกของเรา




พี่น้องครับ คู่ของเราไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพระเยซูเจ้าเอง และในความเป็นจริง แอกนั้นเป็นของพระองค์ ไม่ใช่แอกของเรา แต่เป็นพระองค์เอง ที่เชิญเรามาแบกพร้อมกับพระองค์ แอกจึงต้องแบกกับพระองค์ แบกไปทางเดียวกับพระองค์ ไปมุมมองเดียวกับพระองค์ ผูกติดกับภารกิจของพระองค์ และเพื่อเราจะได้รู้ว่า เราไม่ได้แบกแอกนี้ตามลำพังหรือแค่พละกำลังของเราเองเท่านั้น แต่เราแบกแอกพร้อมกับพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งพละกำลังของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่า พระองค์ไม่ได้เป็นแค่ครูที่ให้การบ้านเราทำ แต่พระองค์เป็นเพื่อนที่ช่วยเราทำการบ้านนั้นๆด้วย



พี่น้องครับ เราต้องไม่ลืมว่า เรากำลังแบกแอกนั้นกับพระเยซูเจ้า ให้เรามีบทภาวนาในแต่ละวันของเราว่า “พระเจ้าข้า โปรดช่วยให้ลูกระลึกได้เสมอว่า ไม่ว่าจะพบเจอปัญหาใดใดในวันนี้ ลูกก็มั่นใจได้เสมอว่า ลูกจะมีพระองค์อยู่กับลูกเสมอ” และเมื่อเราได้ภาวนาดังนี้แล้ว แอกของพระองค์ก็อ่อนนุ่มและภาระที่มีก็เบายิ่งนัก


ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกท่าน