วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สมโภชนักบุญทั้งหลาย - 01-11-2009




ทำไมเราจึงต้องมีการฉลองบรรดานักบุญทั้งหลาย? เพราะตลอดปีเราก็มีการฉลองนักบุญอยู่แล้ว แต่ทำไมพระศาสนจักรจึงต้องให้มีการฉลองบรรดานักบุญทั้งหลาย อีกต่างหากอีก 1 วัน อาจมีเหตุผลสำคัญ 2 ประการคือ
1. เคียงคู่ไปกับการฉลองนักบุญที่เรามีบันทึกไว้ในแต่ละปี เรายังมีบรรดานักบุญชาย หญิงอีกจำนวนมาก บรรดามรณสักขี ชาย หญิง เด็กๆ ที่ร่วมอยู่กับพระสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์ ซึ่งเราไม่ได้ทำการฉลองให้กับท่านเหล่านั้น หลายท่านเป็นพ่อแม่ของเรา ปู่ย่าตายาย ซึ่งเป็นวีรบุรุษชายหญิงแห่งความเชื่อ วันนี้เราจึงให้เกียวต่อท่านด้วยการระลึกถึงท่าน ดังนั้น เราจึงอาจเรียกวันนี้ว่า วันฉลองนักบุญที่ไม่มีใครรู้จัก เหมือนในหนังสือวิวรณ์ได้กล่าวไว้ว่า “หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิตประชาชนมากมายเหลือคณานับจากทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกประเทศและทุกภาษา กำลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ทุกคนสวมเสื้อขาว ถือใบปาล์ม” วิวรณ์ 7:9
2. การฉลองนี้ทำให้เรามองดูเป้าหมายแห่งชีวิตนิรันดรของเราแต่ละคน ท่านนักบุญที่เราฉลองนี้ เป็นมนุษย์ชายหญิงเหมือนๆ กับเรา เป็นเหมือนกับที่เราเป็นนี่แหละ และพวกท่านก็ได้อยู่ในที่ที่เราได้วาดหวังเอาไว้สักวันหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เรารู้ว่า ชีวิตของเรานั้น ไม่ได้เริ่มต้นตอนนี้เรามีชีวิต และจบลงเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้วเท่านั้น แต่ชีวิตของเรา เกิดขึ้นก่อนที่เราจะเกิด และต่อเนื่องไปจนเราตายและไปสู่ชีวิตนิรันดร
นั้นคือสิ่งที่บอกกับเราว่า ทำไมเราจึงไม่ลืมที่จะระลึกถึงบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เรารู้จักชีวิตของบรรดานักบุญทั้งหลาย ในสายตาของเราเราไม่เห็นพวกท่านเหล่านั้นแล้ว แต่ในสายตาแห่งความเชื่อ เราเชื่อว่า ท่านเหล่านั้นมีชีวิตอยู่นิรันดร เพราะท่านเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า ท่านเหล่านั้นมีชีวิตมากกว่าที่เรามี เพราะว่า เป็นชีวิตที่ได้อยู่กับพระเจ้า จะไม่มีเรื่องราวของความทุกข์ทรมาน, ไม่มีเรื่องโรคร้ายต่างๆ , บาป ,หรือความตายอีกต่อไป
น่าเสียดาย ที่ว่า การที่เราจะมีชีวิตแบบบรรดานักบุญทั้งหลายนั้น ไม่ใช่เรื่องอัตโนมัติ แต่พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า "คนที่กล่าวแก่เราว่า “พระเจ้าข้าพระเจ้าข้า นั้น มิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์นั่นหละ จะเข้าสู่สวรรค์ได้”(Matthew 7:21).
พี่น้องครับ เราจะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างไร? คำตอบอยู่ในพระวรสารวันนี้แล้วครับ “ความสุขแท้จริง” หรือ บุญลาภ 8 ประการ ซึ่งพระเยซูเจ้า ได้มอบกับบรรดาศิษย์ของพระองค์นั้น เป็น “แนวทางการดำเนินชีวิตไปสู่ความสุขนิรันดร” บรรดานักบุญทั้งหลายที่เราฉลองในวันนี้นั้น เป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบากและเดินในหนทางแคบๆ ของ “ความสุขแท้จริง” นี้ เพื่อเข้าสู่เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์
ในโอกาสวันฉลองนักบุญทั้งหลายนี้ พระศาสนจักรเชิญชวนเรา และ ท้าทายเราแต่ละคน ให้ มิใช่พูดและพูด แต่ก้าวเดินต่อไปตามแบบอย่างของบรรดานักบุญ
จุดมุ่งหมายของ “ความสุขแท้” 8 ประการคือ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตคริสตชน เชื้อเชิญเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับความยากจน เป็นหนึ่งเดียวกับความทุกข์โศกเศร้า, เป็นหนึ่งเดียวกับความท้อแท้สิ้นหวัง ,ผู้ที่หิวกระหายความยุติธรรม ฯลฯ ความสุขแท้ท้าทายเราให้เราเป็นคนที่ “เมตตาสงสารผู้คน” , เป็นชายหญิงที่จิตใจบริสุทธิ์ และค่อยๆ กลายเป็น “ผู้สร้างสันติ” ในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ในครอบครัวและในสังคมของเรา แม้ว่า สิ่งต่างเหล่านี้อาจพบ “การเบียดเบียน” และ การหัวเราะเยาะ
ไม่มีนักบุญคนใด ที่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตว่า จะต้องร่ำรวยเหนือใคร มีอำนาจสูงศักดิ์ หรือมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของทุกคน ตรงกันข้าม ท่านเหล่านั้น มองไปข้างหน้า เพื่อหารางวัลแห่งชีวิตนิรันดร ซึ่งพระเจ้าจะมอบให้กับผู้ที่ซื่อสัตย์มั่นคง ในวันสุดท้ายของชีวิตในโลกนี้
วันนี้ เราทุกคนได้รับเชิญให้เดินในหนทางของท่านนักบุญทั้งหลาย หนทางของความสุขแท้ หนทางที่เป็นทางแคบๆและยากลำบาก เราจึงจำเป็นต้องมีความเชื่อและความกล้าหาญที่จะเดินผ่านไปให้ได้ ตัวอย่างของบรรดานักบุญและคำภาวนา เป็นกำลังใจให้เราก้าวหน้าต่อไป
น.ออกัสติน บอกว่า การดำเนินชีวิตตาม “ความสุขแท้” เป็นสิ่งที่ยากมาก แต่เมื่อท่านได้อ่านประวัตินักบุญต่างๆ ท่านก็บอกว่า “บรรดาชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านี้ ยังทำได้ ทำไมผมจะทำไม่ได้?”
ทำไมจะทำไม่ได้? ความเชื่อรับรองเราว่า ทุกคนที่ฟังเสียงของพระเยซูและดำเนินชีวิตตาม “ความสุขแท้จริง” นี้ ในวาระสุดท้ายของชีวิต เราก็จะได้ยินเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับเราว่า “ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย...จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด” (Matthew 25:21).
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน


วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ส.30 เทศกาลธรรมดา ปี B - อาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2009

พี่น้องที่รัก

วันนี้พระวาจาของพระเจ้าเตือนใจเรา ด้วยเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่ชื่อ บาร์ทิเมอุส
ที่ประตูเมืองทางทิศเหนือของกรุงเยรูซาเล็ม มีชายตาบอดชื่อบารทิเมอัสนั่งขอทานอยู่ข้างทาง ครั้นทราบว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา เขาร้องตะโกนเรียกพระองค์ด้วยเสียงอันดังจนหลายคนต้องดุให้เขาเงียบเพื่อจะได้ยินคำสั่งสอนของพระองค์
แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จเพราะคนตาบอดกลับร้องเสียงดังยิ่งขึ้น ไม่มีใครหยุดยั้งเขามิให้พบกับพระองค์ได้ เขาเชื่อมั่นว่าพระองค์คือผู้เดียวที่สามารถช่วยเขาให้หลุดพ้นจากโลกแห่งความมืดมิดนี้ได้ !
จากพฤติการณ์ของคนขอทานตาบอด เราได้พบเห็นสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า “เงื่อนไขแห่งอัศจรรย์” ดังต่อไปนี้
1. ความมุ่งมั่น เมื่อบารทิเมอัสทราบว่าผู้ที่กำลังผ่านมาคือพระเยซูเจ้า เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะพบพระองค์ให้จงได้ เพราะมั่นใจว่ามีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากได้
เมื่อตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครหรืออะไรสามารถหยุดยั้งเขาได้ !
ความมุ่งมั่นที่จะพบพระเยซูเจ้าของเขาไม่ได้เกิดจากความหวังอันเลื่อนลอย หรือความหวังลม ๆ แล้ง ๆ หรือเป็นเพียงความตื่นเต้นที่จะได้พบคนเด่นคนดัง
แต่เป็นความมุ่งมั่นที่ออกมาจาก “หัวใจของคนที่สิ้นหวังชนิดไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้”
ความหวังเดียวที่เหลืออยู่คือ “ความวางใจในความช่วยเหลือของพระเจ้า”
ความมุ่งมั่นอันเกิดจากความวางใจอย่างเต็มเปี่ยมนี่เองที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี !!

2. ตอบเสียงเรียกทันที เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรียกบารทิเมอัส เขา “สลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดเข้าไปเฝ้าพระเยซูเจ้า” (ข้อ 50) ด้วยความกระตือรือร้นทันที
บารทิเมอัสรู้โดยสัญชาติญาณว่า โอกาสทองเช่นนี้อาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตโดยไม่มีทางหวนกลับมาหาอีก เขาจึงกระโดดเข้าหาพระองค์อย่างรวดเร็วราวกับกระสุนปืน
แต่น่าเสียดายที่พวกเราหลายคนกลับประพฤติตรงกันข้าม เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากพระองค์ แทนที่จะรีบตอบในทันที กลับประวิงเวลาไว้ “รอให้ข้าพเจ้าทำสิ่งนี้เสร็จก่อนได้ไหม ?” หรือ “รอให้ข้าพเจ้าพร้อมกว่านี้ไม่ได้หรือ ?”
หลายครั้งพระองค์ทรงดลใจเราให้ปรับปรุงตนเอง ให้แก้ไขนิสัยไม่ดีต่าง ๆ หรือให้ถวายตนรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์มากขึ้น แต่เรากลับปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป
โอกาสซึ่งอาจไม่หวนกลับมาหาเราอีกเลย !!!
3. รู้ความต้องการ เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้” เขาทูลว่า “รับโบนีให้ข้าพเจ้าแลเห็นเถิด” (ข้อ 51)
เขารู้และระบุความต้องการของตนเองได้คือ “การแลเห็น”
แต่พวกเราหลายคนกลับเข้าหาพระเยซูเจ้าโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการอะไร เข้าตำราปล่อยให้ “ฟ้าลิขิต” อย่างเดียวโดยที่ไม่เคยคิดจะมีส่วนร่วมในการ “ลิขิตชีวิต” ของตนเองด้วยแต่ประการใด
มีบ้างไหมที่เราไปหาทันตแพทย์ แล้วปล่อยให้หมอ “ลิขิตฟัน” ของเราคือจะถอนซี่ไหนก็ได้ ? เราควรต้องรู้และบอกหมอได้ชัดเจนมิใช่หรือว่าฟันซี่ไหนเป็นปัญหา !
กับพระเยซูเจ้าก็เช่นกัน เราต้องทูลขอพระองค์ให้ชัดเจนว่าเราต้องการความช่วยเหลืออะไรจากพระองค์
โดยเฉพาะ “ความกล้าหาญที่จะพิจารณาตนเอง” นั้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรทูลขอจากพระองค์เป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว !
4. ความเชื่อ บารทิเมอัสร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิด เจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” (ข้อ 47 และ 48)
เขาเรียกพระองค์เป็น “โอรสของกษัตริย์ดาวิด” ซึ่งเป็นสมญานามของพระเมสสิยาห์ก็จริง แต่เป็นสมญานามที่แฝงความหมายของการเป็นนักรบนองเลือดที่จะพิชิตโลก และนำพาชนชาติอิสราเอลไปสู่ความยิ่งใหญ่เหมือนยุคสมัยของกษัตริย์ดาวิดอีกครั้งหนึ่ง
นั่นคือ บารทิเมอัสยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าไม่ถูกต้องนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ความเข้าใจจะไม่ถูกต้อง แต่เขามี “ความเชื่อ” และความเชื่อของเขาได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดผลมากกว่าความรู้ความเข้าใจเป็นร้อยเท่า พันเท่า
จริงอยู่เราจำเป็นต้อง “คิด” และต้องสอนผู้อื่นให้รู้จัก “คิด” ด้วย แต่เราไม่จำเป็นต้องคาดหวังหรือเรียกร้องให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นนักเทวศาสตร์ก่อนเป็นคริสตชน
เพราะเราไม่มีทางรู้และเข้าใจพระเยซูเจ้าได้ทั้งหมด !
ขอเพียงให้เรา “รัก” และ “เชื่อ” ว่าพระองค์คือ “ผู้ที่ตอบสนองความต้องการของเราได้” เท่านี้ก็เกินพอแล้ว…..
5. ความกตัญญู ทั้ง ๆ ที่บารทิเมอัสเป็นเพียงคนขอทานข้างถนน แต่หัวใจของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความกตัญญูรู้คุณคน
เมื่อ “เขากลับแลเห็น” เขา “เดินทางติดตามพระองค์ไป” (ข้อ 52) แทนที่จะตีจากพระองค์ไปด้วยความเห็นแก่ตัว
นี่คือบทสรุปของขั้นตอนในการเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้า
เริ่มต้นด้วย ความต้องการ
ตามด้วย ความกตัญญู
และอยู่ด้วย ความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อพระองค์ บัดนี้ และตลอดไป !!!!!

ส.29 เทศกาลธรรมดา ปี B- อาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2009

1. อเล็กซานเดอร์ วูลคอต หนึ่งในศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงของวิทยาลัยแฮมิลตัน, นิวยอร์ค ได้ถูกเชิญให้มาให้คำโอวาทในโอกาสฉลองความสำเร็จ วัลคอตกล่าวว่า “ผมขอส่งความชื่นชมยินดีในวันนี้แด่ทุกท่าน ชาวแฮมิลตัน และทั่วโลกด้วย พวกท่านบางคนประสบความสำเร็จในชีวิต และพวกท่านบางคนก็ล้มเหลวในชีวิต มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าใครเป็นอย่างไร?
2. นี่เป็นสิ่งที่เตือนใจเราได้อย่างดีที่สุด สำหรับชีวิตที่ประสบความสำเร็จหรือชีวิตที่ล้มเหลว “เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา พระเจ้าตรัสดังนี้ เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น” (Isaiah 55:8-9). นี่คือบทเรียนที่ ยากอบและยอห์น ได้เรียนรู้ในพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้
3. พี่น้องครับ ถ้าพี่น้องรู้ว่า มีสิ่งหนึ่งเกี่ยวข้องกับอนาคตของพวกเราทุกคน คือ พระเจ้าสร้างเราทุกคนให้ประสบความสำเร็จ พระเจ้าไม่ได้สร้างใครให้พบกับความล้มเหลวเลย แต่คำว่าประสบความสำเร็จ กับความล้มเหลวหมายความว่าอะไร? สำหรับคนส่วนใหญ่ อาจคิดว่า การได้เป็นหัวหน้าของกลุ่ม หรือเป็นคนที่เก่งมาก ความสำเร็จกลายเป็นเครื่องวัดค่าของคนเราแต่ละคน และมองเห็นผู้อื่นเป็น “คู่แข่ง” ของเรา
4. นั่นทำให้ ยากอบและยอห์นเดินไปหาพระเยซูเจ้าและร้องขอสิทธิในการเป็นใหญ่เหนือใครทั้งหมด สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ทั้งสองไม่ได้ขอว่าจะมีที่นั่งในพระอาณาจักรของพระองค์ แต่สิ่งที่ขอก็คือ “ ขอโปรดให้ข้าพเจ้าคนหนึ่งนั่งข้างขวา อีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์เถิด” Mark 10:37). พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านไม่รู้หรอกว่า กำลังขออะไร” และพระองค์สอนให้พวกเขาเข้าใจถึงความสำเร็จที่แท้จริงนั่นคืออะไร?
5. สำหรับพระเยซูเจ้า ความสำเร็จหมายถึง การที่ผู้คนทั้งหลายตระหนักและเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา พระเยซูบอกเราว่า ให้เราทำตรงกันข้ามกับความคิดทั่วๆไป ก่อนที่จะมีมนุษย์ในโลกนี้ พระเจ้าได้ทรงมีความฝันให้มนุษย์ทุกคนได้ดำเนินชีวิตอย่างไร เราไม่ได้มีชีวิตเพื่อทำอะไรก็ได้เพื่อตัวของเราเอง แต่เรามาทำงานของพระเจ้าด้วยมือของเรา ด้วยร่างกายและจิตใจเพื่อให้งานนั้นได้สำเร็จไป
6. คำสอนในเรื่อง การปฏิสนธินิรมลของแม่พระ คือเรื่องหนึ่งที่สอนเราได้ว่า พระเจ้าทรงต้องการให้แต่ละคนทำหน้าที่ นั่นคือ ให้แม่พระเป็นแม่ของพระเยซูเจ้า และพระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงคนหนึ่งให้เตรียมชีวิตและกำหนดให้มีหน้าที่พิเศษนั้น ไม่มีหญิงคนใดก่อนหรือหลังจากแม่พระที่จะเป็นแม่ของพระเจ้า นอกจากแม่พระอีกแล้ว นี้เองที่พระเยซูทรงบอกกับยากอบและยอห์นว่า “การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”
7. จากคำพูดนี้ หมายความว่า พระเจ้าได้ทรงกำหนดเราไว้ กำหนดโลกของเราไว้แล้วหรือ? คำตอบก็คือ ไม่ใช่ พระเจ้าได้มีความตั้งใจที่จะสร้างเราทุกคน นั่นคือสิ่งที่พระองค์ได้กำหนดไว้ แต่การที่เราจะบรรลุความสำเร็จนี้ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราแต่ละคนได้ร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้าอย่างไร?
8. พระเจ้าทรงให้ “น้ำใจอิสระ” ในการทำสิ่งใดใดก็ได้ตามใจของเราเอง เพื่อให้เราร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้าหรือไม่ก็ได้ อยู่ที่เรา แม้ว่าพระเจ้าจะทรงเลือกให้แม่พระเป็นแม่ของพระบุตร แต่เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าต้องการเริ่มต้นกิจการของพระองค์ พระองค์ก็ยังทรงส่งฑูตสวรรค์มาเพื่อแสวงหาความร่วมมือจากมารีอา พระเจ้าให้อิสระต่อเรามากเพียงใด
9. แม่พระจึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จเพราะ พระนางมีความกล้าหาญที่จะตอบว่า “ข้าพเจ้าคือผู้รับใช้ของพระเจ้า” ตอบรับกับพระวาจาของพระเจ้าที่มีต่อพระนาง
10. สำหรับยากอบและยอห์น อาจเป็นตัวแทนของใครก็ตามที่อาจคิดถึงความสำเร็จแบบนี้ เราจึงต้องหาหนทางที่ต้องมองดูสิ่งต่างๆ ลดความทะเยอทะยาน ลดศัตรูและคู่แข่ง และสละละทิ้งการแข่งขันต่อกันระหว่างคนเรา ซึ่งเราอาจเรียกว่า เราเป็นหนูตัวหนึ่งที่วิ่งแข่งกันในการแข่งขันวิ่งหนู แม้ว่าเราจะชนะ แต่เราก็ยังเป็นหนูตัวนั้น
11. พี่น้องครับ ความสำเร็จในมุมมองใหม่ที่พระเยซูเจ้าสอนเราในวันนี้ เป็นเรื่องตรงข้ามกับความคิดแบบโลก แต่พยายามสอนให้เราร่วมมือกับแผนการของพระเจ้า เพื่อเราแต่ละคนจะได้ตระหนักว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างเราให้แต่ต่างกัน เพื่อให้เราทำสิ่งที่ต่างกัน ให้มีความสำเร็จในรูปแบบที่แตกต่างกันไปสำหรับทุกคน
12. พี่น้องครับ ถ้าหากว่า ในวันนี้เราพร้อมที่จะค้นพบและอยู่ในความร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้า นั่นคือ ความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิตของเรา
13. ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

คุณค่าการสวดสายประคำในครอบครัว

คุณค่าการสวดสายประคำในครอบครัว
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงประกาศให้เดือนตุลาคม 2002 ถึงเดือนตุลาคม 2003 เป็นปีแห่งสายประคำ พระองค์ยังได้ทรงออกสมณสาสน์ “สายประคำของพระนางพรหมจารีมารีอา” เพื่อฉลอง 25 ปีของรัชสมัยของพระองค์ และระลึกถึงครบรอบ 120 ปี ที่สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ได้ทรงออกเอกสารเกี่ยวกับการสวดสายประคำ “Supremi Apostolatus Officio” นอกจากนั้นยังเป็นการระลึกถึงครบรอบ 40 ปึของการเปิดประชุมสังคายนาวาติกัน เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1962 และยังเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองปีศักดิ์สิทธิ์ด้วย

1)ประวัติของการสวดสายประคำ การสวดสายประคำให้เกียรติแก่พระแม่มารี มีองค์พระจิตเจ้าทรงนำทาง และเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในสหัสวรรษที่สอง(หลังปี ค.ศ.1000) และมีนักบุญจำนวนมากที่รักการสวดสายประคำ และได้ส่งเสริมการสวดสายประคำตลอดมา พระศาสนจักรเองก็ได้ส่งเสริมให้สัตบุรุษได้สวดภาวนาเช่นเดียวกัน การสวดสายประคำเป็นบทภาวนาเรียบๆซื่อๆ แต่มีความศักดิ์สิทธิ์ การสวดสายประคำจึงซึมซาบเข้าในจิตใจสัตบุรุษอย่างลึกซึ้ง แม้เวลาจะผ่านไปมากาว่าสองพันปีแล้ว แต่การสวดสายประคำก็ยังทำให้ชีวิตของคริสตชนก้าวหน้าไปด้วยความสดชื่นตลอดมาเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันยาวนานพอสมควร และ เชื่อกันว่า การสวดสายประคำนั้นคงเริ่มต้นในอารามฤษี ซึ่งได้มีการสวดทำวัตรเป็นหมู่คณะ โดยใช้บทสวดจากบทเพลงสดุดี 150 บท แต่มีฤษีบางคนความรู้น้อย ไม่สามารถอ่านหนังสือทำวัตรได้ พวกท่านจึงใช้การสวดบท “วันทามารีอา” 150 บท แทนการสวดบทเพลงสดุดี 150 บท ต่อจากนั้นการสวดสายประคำได้มีพัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั้งปี ค.ศ. 1214 ที่แม่พระได้ประทานลูกประคำแก่นักบุญดอมีนิก ผู้ก่อตั้งคณะดอมีนีกัน เพื่อจะได้ใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กับพวกเฮเรติกอัลบีเยน โดยแม่พระได้ประจักษ์มา พร้อมกับเทวดา 3 องค์ แม่พระได้ตรัสกับท่านนักบุญว่า ถ้าท่านนักบุญต้องการให้พวกเฮเรติกกลับใจ จะต้องเผยแพร่การสวดสายประคำ ท่านนักบุญจึงได้เผยแพร่การสวดสายประคำ และสามารถทำให้ผู้หลงผิดเหล่านั้นกลับใจในที่สุด

2)ความหมาย “สายประคำ” ตรงกับคำว่า “โรซารี”ในภาษาลาติน ซึ่งหมายความว่าพวงมาลัยกุหลาบ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราสวดสายประคำครบสามสาย เราจะร้อยกุหลาบสีขาว 153 ดอก ซึ่งหมายถึงบทวันทามารีอา 153 บท และร้อยกุหลาบสีแดงอีก 16 ดอก ซึ่งหมายถึงบทข้าแต่พระบิดา 16 บท มาลัยสวรรค์นี้จะไม่มีวันเหี่ยวเฉาไป แต่จะเป็นเสมือนเกียรติมงคลที่เราได้ถวายแต่พระแม่เจ้าแห่งสวรรค์

ประจักษ์พยานในเรื่องนี้มีปรากฏอยู่เสมอ เช่น บราเดอร์อัลฟองโซ แห่งคณะเยซูอิตได้สวดสายประคำอย่างศรัทธา และทุกครั้งที่ท่านสวดบทข้าแต่พระบิดา จะมีกุหลาบสีแดงออกจากปากของท่าน และเมื่อสวดบทวันทามารีอา จะมีดอกกุหลาบสีขาวออกมาจากปากของท่านเช่นเดียวกัน

การสวดสายประคำจึงเป็นความศรัทธา ที่หยั่งรากลึกในหัวใจของชาวเราทุกคน ทำให้เรามีความศรัทธาต่อพระเยซูเจ้า และพระแม่มารีอา ท่านบุญราศรีบาโทโล ลองโก ซึ่งเป็นผู้มีความศรัทธาต่อการสวดสายประคำ ได้เคยกล่าวว่า, “ผู้ใดส่งเสริมการสวดสายประคำ ผู้นั้นจะได้รับความรอดนิรันดร”

พระแม่มารีเองมีพระประสงค์ให้ลูกๆของพระแม่ได้สวดสายประคำ เพราะพระแม่มีความห่วงใยในพวกลูกๆของพระนาง ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงฝากฝังไว้แก่พระแม่ ณ แทบเชิงกางเขน โดยมีศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรัก เป็นตัวแทนของพวกเราทุกคน, “ นี่คือแม่ของท่าน”(ยน19:27)

3)สายประคำเป็นบทภาวนาเพื่อครอบครัว

ก)ครอบครัวยุคปัจจุบันกำลังถูกคุกคาม
การสวดสายประคำเป็นบทภาวนาที่เราสามารถติดต่อกับพระเป็นเจ้าได้อย่างดีที่สุด โดยอาศัยการเสนอวิงวอนของพระแม่มารี และพระเป็นเจ้าจะทรงประทานพระหรรษทานอย่างอุดมสมบูรณ์แก่บุคคลหรือแก่ครอบครัวที่สวดสายประคำพร้อมกัน ในสมณสาสน์ “สายประคำของพระนางพรหมจารีมารีอา” สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงเน้นความสำคัญของการสวดสายประคำและครอบครัว โดยพระองค์ได้ตรัสถึงสถาบันครอบครัวกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก จากพลังแห่งการแตกแยก และทำให้ครอบครัวทั้งหลายกำลังอ่อนแอลง, “นอกจากนั้น เหตุผลสำคัญและเร่งด่วนที่จะต้องสวดภาวนา เกิดจากปัญหาอีกประการหนึ่งของสมัยปัจจุบัน นั่นคือปัญหาครอบครัว ซึ่งเป็นหน่วยเล็กที่สำคัญที่สุดของสังคม และอนาคตของสังคมนี้กำลังถูกคุกคามอย่างน่ากลัวจากพลังที่สร้างความแตกแยก อันสืบเนื่องมาจากความคิดทางปรัชญา จึงเป็นกิจกรรมในข่ายงานอภิบาลครอบครัว ซึ่งจะช่วยต่อต้านพลังบ่อนทำลายสังคมในสมัยของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ”(RVM 6)

ข)ครอบครัวที่สวดภาวนาร่วมกันย่อมอยู่ด้วยกัน
จากประวัติอันยาวนานของการสวดสายประคำ เป็นที่ประจักษ์ว่าการสวดสายประคำได้ช่วยนำและแก้ไขปัญหาครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้สมาชิกในครอบครัวมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน เพราะเมื่อสมาชิกทุกคนหันมามองดูพระเยซูเจ้า จะช่วยทำให้สมาชิกแต่ละคนหันสายตามามองกันง่ายขึ้น สามารถสื่อสารกันรู้เรื่องมากขึ้น สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้อภัยกันและกัน และผูกพันกันด้วยสายสัมพันธ์ของความรักขององค์พระจิตเจ้า

ในปัจจุบันนี้สมาชิกในครอบครัวต่างๆมีโอกาสอยู่ด้วยกันน้อยมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่รัดตัว ทำให้มีเวลอยู่ด้วยกันน้อยกว่าอดีตที่ผ่านมา สมาชิกในครอบครัวก็มักใช้เวลาในการดูโทรทัศน์บ้าง หรือนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ การที่ครอบครัวหันมาสวดสายประคำพร้อมกันในครอบครัว จะทำให้มีบรรยากาศของครอบครัวแห่งนาซาเร็ธ ซึ่งมีพระเยซูเจ้าเป็นศูณย์กลาง ลูกๆในครอบครัวจะเรียนรู้จากตัวอย่งของพระเยซูเจ้า ในเรื่องการทำงาน ความนบนอบ ความรักต่อกัน และพ่อแม่จะเรียนรู้จากตัวอย่างของพระแม่มารี ที่ยินดีรับความทุกข์อย่างสงบ ยอมรับความยากลำบากในชีวิตด้วยความกล้าหาญ สมาชิกในครอบครัว จะ มีส่วนร่วมในความยินดีและความโศกเศร้าพร้อมกัน มอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับสามชิกในครอบครัวไว้ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า พร้อมกับมีความหวังและกำลังใจที่จะต่อสู้กับชีวิตต่อไปด้วยความมั่นคง และทำให้บ้านเป็นบ้านที่มีแต่ความสงบและสันติ พระเป็นเจ้าจะประทานพระหรรษทานให้แก่ครอบครัวอย่างมากมาย และบางครั้งพระองค์อาจจะประทานกระแสเรียกแก่ลูกๆ โดยสมัครเป็นพระสงฆ์หรือนักบวช

ค)การสวดสายประคำเพื่อการพัฒนาการด้านต่างๆของลูก
ในการสวดสายประคำนั้น พ่อแม่ยังมีโอกาสได้วิงวอนขอ เพื่อให้ลูกๆได้พัฒนาและเติบโตเป็นคนที่สมาบูรณ์ เมื่อรำพึงชีวะประวัติของพระเยซูเจ้า ตั้งแต่พระองค์ได้ปฏิสนธิในครรภ์ของพระแม่มารี จนถึงวันที่พระองค์ได้ทรงกลับคืนชีพ และเสด็จสู่สวรรค์ “พระกุมารทรงเจริญวัยแข็งแรงขึ้น ทรงพระปรีชาญาณอย่างสมบูรณ์ และพระหรรษทานของพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์” (ลก2;40) ในยุคปัจจุบันนี้เทคโนโลยีต่างๆมีการพัฒนาไปรวดเร็วมาก จนทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยยิ่งวันยิ่งมากขึ้น เด็กๆและเยาวชนได้รับข่าวสารที่มีแต่สิ่งเลวร้ายมากกว่าสิ่งดีงาม พ่อแม่ทุกคนจึงมีความห่วงใยในอันตรายที่ลูกๆของตนกำลังเผชิญอยู่ กลัวว่าลูกๆของตนจะเป็นเหยื่อของยาเสพติด การปล่อยตัวสำส่อน การแก้ปัญหาโดยใช้ความรุนแรง ตลอดจนการหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย

ง)การฝึกให้รู้จักเงียบ
การสวดสายประคำพร้อมกันในครอบครัวทุกวัน จะเป็นโอกาสดีให้เด็กๆได้มีประสบการณ์ตั้งแต่เล็กเรื่อง “การหยุดพักเพื่อภาวนา” แม้การสวดภาวนาจะไม่ใช่การแก้ปัญหาชีวิตได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้จิตใจของพวกลูกๆได้พบกับความสงบ และจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน แม้ว่าเด็กๆมีความยากลำบากในการสวดสายประคำ อาจเป็นเพราะไม่มีสมาธิพอ แต่การใช้เครื่องมือบางอย่าง จะช่วยให้การสวดภาวนาง่ายเข้า เช่น การใช้รูปภาพ และเสียงเพลงเป็นต้น และเมื่อพวกเขาสามารถสวดด้วยตนเองได้แล้ว พวกเขาจะยินดีสวดภาวนาเพื่อรับพระคุณต่างๆโดยไม่ต้องมีการบังคับแต่อย่างใด

ในโอกาสนี้ขอนำพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ซึ่งพระองค์ได้สรุปไว้ในสมณสาส์น “สายประคำของพระนางพรหมจารีมารีอา”ว่า,

“สายประคำศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารี ซึ่งเป็นโซ่ทองที่คล้องชาวเราไว้กับพระเจ้า เป็นสายสัมพันธ์ความรักที่เชื่อมเราไว้กับบรรดาทูตสวรรค์ เป็นป้อมปราการที่ช่วยชีวิตให้พ้นจากการจู่โจมของนรก เป็นท่าเรือที่ช่วยให้พ้นจากการอับปาง เราจะไม่มีวันทิ้งเจ้าเลย เจ้าจะเป็นความบรรเทาของเราในวาระสุดท้ายของชีวิต เราจะจุมพิตเจ้าขณะที่ชีวิตของเราจะออกจากร่าง ข้าแต่พระราชินีแห่งสายประคำแห่งปอมเปย์ ถ้อยคำสุดท้ายจากปากของข้าพเจ้าทั้งหลายจะเป็นพระนามของพระนาง ข้าแต่พระมารดาน่ารักยิ่ง พระนางผู้ทรงเป็นที่พึ่งของคนบาป ผู้บรรเทาที่ยิ่งใหญ่ของผู้ทุกข์ยาก ขอพระนางจงได้รับพระพรทั่วทุกแห่งหน บัดนี้และตลอดไป ทั้งบนแผ่นดินและในสวรรค์”


จาก http://www.catholic.or.th/spiritual/article/article2009/article38.html

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ส.28 เทศกาลธรรมดา ปี B


อ่านพระวาจาประจำสัปดาห์ http://www.catholic.or.th/spiritual/homily/oct09/11oct09.html




1. นายพรานแอฟริกันมีวิธีการที่ยอดเยี่ยมในการดักจับลิง คือ เขาจะผ่ามะพร้าวออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งก็เจาะรูตรงกลาง ให้กว้างพอสำหรับมือของลิงจะลอดเข้ามาได้ แล้วเขาก็เอา ส้ม 1 ลูกใส่ลงไปข้างใน แล้วก็ประกบมะพร้าวเข้าด้วยกัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอาไปแขวนที่ต้นไม้
2. ในที่สุด เมื่อลิงได้กลิ่นของส้ม ไม่นานมันก็รีบโหนต้นไม้มาแล้วเอามือล้วงเข้าไปในมะพร้าวลูกนั้น มันก็พยายามดึงเอาส้มออกมา แน่นอนว่า ส้มออกมาไม่ได้แน่นอน เพราะส้มใหญ่กว่ารูที่เจาะไว้ ลิงก็พยายามดึงแล้วดึงอีก แต่ก็ไม่ได้คิดว่า มันจะมีอันตรายอะไร ขณะที่ลิงกำลังดึงอย่างขมักเข้นอยู่นั้น นายพรานก็เอาตาข่ายแล้วจับลิงไว้ได้ หากลิงคิดได้ มันก็แค่ปล่อยส้มแล้วเอามือออกมา แล้วก็หนีไป
3. การดักจับแบบนี้ก็ได้ผลเพราะว่า เพราะลิงคิดไม่ได้ว่า มันจะเลือกเอาอะไรระหว่าง ส้ม กับ อิสระภาพ มันจะเอาทั้งสองอย่าง แม้ว่า ลิงจะเห็นว่า นายพรานมาแล้ว มันก็คงไม่ปล่อยส้มในมือและวิ่งหนีไป แต่จะพยายามเอาส้มไปด้วยให้ได้
4. การดักจับแบบนี้ได้ผลเพราะว่า ลิงถูกจับได้เพราะความโลภของตนเอง ถ้าเราจินตนาการว่า ในตอนนั้นลิงอาจจะสวดภาวนาว่า “โอ้พระเจ้า ช่วยลูก(ลิง)ด้วยแต่ว่า อย่าขอร้องให้ผมปล่อยส้มไปนะครับ” เรื่องนี้อาจฟังเป็นเรื่องสนุกๆ แต่ในความเป็นจริงก็คือ หลายๆ คนในพวกเรา ก็อาจจะสวดภาวนาแบบลิงนี่แหละ
5. เหมือนในพระวรสารวันนี้ ที่ชายหนุ่มที่มาหาพระเยซู ที่อาจสวดภาวนาเช่นเดียวกันว่า “ขอพระองค์ประทานชีวิตนิรันดรให้กับลูก แต่อย่าขอให้ลูกทิ้งทรัพย์สมบัติของลูกไปเลย”
6. พี่น้องครับ ถ้าพี่น้องเป็นคนรักสัตว์ และพี่น้องกำลังเห็นลิงตัวนั้น มือกำลังติด นายพรานก็กำลังมาแล้ว พี่น้องจะทำอย่างไร? พี่น้องอาจจะตะโกนบอกลิงตัวนั้นว่า “ปล่อยส้มไปก่อน แล้ววิ่งสุดชีวิต”
7. นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงบอกกับชายหนุ่มผู้ร่ำรวยคนนั้น พระองค์มองเห็นชายคนนั้นอยู่ในอันตราย เสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตนิรันดร กับจิตใจที่ยึดติดกับทรัพย์สมบัติ พระองค์จึงบอกเขาให้ไปขายทรัพย์สมบัตินั้นและรักษาชีวิตไว้ ทำไมพระเยซูทำเช่นนี้? เพราะ “พระองค์ทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู” Jesus looked at him and loved him” (Mark 10:21a).
8. คำสอนและคำแนะนำของพระเยซูเจ้า เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจเสมอ แต่ คำสั่งสอนนี้เพื่อ “ความดีของแต่ละคน” และมันจะเปลี่ยนชีวิตของเรา เมื่อเราตระหนักว่า “พระองค์สอนเช่นนี้ เพราะพระองค์รักเรา และพระองค์รู้จักเราดีที่สุด รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดควรหลีกเลี่ยง
9. ชายหนุ่มผู้ร่ำรวย ก็เหมือนกับลิงตัวนั้นที่เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ส้มในขณะที่ชีวิตกำลังมีอันตราย พระเยซูเจ้าจึงชี้หนทางให้เขาเอาตัวรอด “ท่านยังขาดไปสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาเถิด”
10. พี่น้องครับ ทำไมชายหนุ่มคนนี้จึงพบว่า คำสอนนี้จึงยากจะปฏิบัติตาม? เรารู้ว่า ชายคนนี้เป็นคนเคร่งศาสนา ปฏิบัติบทบัญญัติของชาวยิวมาตั้งแต่เด็ก และศาสนายิวเชื่อว่า ความร่ำรวยเป็นเครื่องหมายของการอวยพรของพระเจ้าและ ความยากจนคือ การที่พระเจ้าสาปแช่ง
11. เมื่อพระเยซูบอกกับศิษย์ของพระองค์แล้ว พวกเขาจึงพากันบ่นว่า “ดังนี้ ใครเล่าจะสามารถรอดพ้นได้”
12. พระวรสารในวันนี้ จึงท้าทายเราทุกคนให้คิดถึง ความต่ำต้อยและความรักของพระเจ้าที่สามารถอยู่ในเราทุกคนได้ และระลึกไว้เสมอว่า ความยากจนต่ำต้อยนั้น ก็เป็นวิถีทางแห่งชีวิตทางหนึ่งให้เราตอบรับความรักของพระเจ้าได้
13. วัตถุนิยม คือ การเชื่อว่า หากปราศจากทรัพย์สมบัติแล้วชีวิตก็ไร้ความหมาย ชายหนุ่มผู้ร่ำรวยคนนั้นก็เป็นผู้ที่มีความเชื่อเช่นนั้น
14. ดังนั้น ให้เราภาวนาว่า พระเจ้าได้ประทาน ปรีชาญาณ พระพรต่างๆ มากกว่า ลิงตัวนั้นในการที่เราจะละทิ้งทรัพย์สมบัติในรูปแบบต่างๆ ได้
15. “มนุษย์จะได้ประโยชน์อันใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต”