วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2009
1. พี่น้องที่รัก สิ่งที่พระเยซูเจ้าได้รับการท้าทายจากฟารีสีในวันนี้ เป็นเรื่องสำหรับเราทุกคนในวันนี้ “การแต่งงานและการหย่าร้าง”
2. พระองค์ให้คำตอบที่ชัดเจนที่สุดว่า การแต่งงานเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างไว้ด้วยตัวของพระองค์เอง ชีวิตที่อยู่ด้วยกันระหว่างชายและหญิง เกิดขึ้นด้วยความรักและความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า การรวมกันนี้มนุษย์ไม่สามารถไปแยกออกจากกันได้ เมื่อคนสองคนแต่งงานกันแล้วไม่มีอำนาจใดใดในโลกนี้ที่จะแยกคนสองคนนี้ออกจากกัน
3. “สิ่งที่พระเจ้าได้รวมไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
4. พี่น้องครับ ในเช้าวันนี้ เราได้รับการเชื้อเชิญให้ทบทวน “ศักดิ์ศรีในชีวิตแต่งงาน” และ “คำสัญญามั่นคงตลอดไปของศีลแต่งงาน” ซึ่งถ้าหากเรามองดูในปัจจุบันนี้ ก็ดูเหมือนว่า คำสัญญานี้ดูเหมือนว่า จะเป็นเรื่องที่ประหลาด เป็นเรื่องแปลก, เราได้ยินเรื่องของการหย่าร้าง จนดูเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งในชีวิตของเรา ดังนั้นคำสอนของพระเยซูเจ้าในวันนี้ จึงเป็นการบอกกับเราอีกครั้งหนึ่งว่า สิ่งที่มนุษย์ควรจะเชื่อฟังมากที่สุดก็คือ พระเจ้า
5. พี่น้องครับ ถ้าเราเปรียบชีวิตเป็นการเดินทาง และการแต่งงานก็เป็นเรื่องของคนสองคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน วันแต่งงานก็คือ วันที่เริ่มต้นการเดินทาง เมื่อพระศาสนจักรได้อวยพรคู่บ่าวสาวและครอบครัว และเพื่อนๆ ก็มาร่วมแสดงความยินดี และก็โปรยดอกกุหลาบให้ พร้อมๆ กับอวยพรให้ชีวิตคู่นั้นราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ
6. ชีวิตแต่งงานต้องเป็นชีวิตที่ต้องอาศัยพลังแห่งความรักมาก ต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน พร้อมที่จะก้าวไปในชีวิตที่สงบราบเรียบ และชีวิตที่มีแต่พายุพัดโหมกระหน่ำ เพื่อแสดงให้เห็นว่า รักแท้นั่นต้องได้รับการพิสูจน์ การอวยพรของพระศาสนจักรและครอบครัวไมได้เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ทำให้ชีวิตสมรสนั้นราบรื่นตลอดไป
7. พี่น้องครับ ชีวิตสมรสที่ดีต้องช่วยกันสร้าง ไม่ใช่แค่การเลือกคู่แท้ของเราเท่านั้น แต่ในชีวิตสมรสเรื่องเล็กๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญมากด้วยเช่นกัน เช่น การพูดการจาที่ให้กำลังใจกัน และคำพูดที่แสดงถึงการคิดไตร่ตรองก่อนพูดออกมา , การให้อภัยต่อกันและกัน และพร้อมที่จะลืมความผิดพลาดบกพร่องนั้นๆ เพื่อจะได้เข้านอนโดยที่ไม่มีความโกรธต่อกันแล้ว
8. คู่สมรส จะไม่สามารถเผชิญหน้ากับโลกได้ ถ้าหากว่าไม่มีพื้นฐานจาก การมีความรักแท้ ความรักเท่านั้นที่จะเป็นสิ่งเชื่อมและสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้
9. นอกจากนั้น ความหวังและความไว้วางใจกันและกัน จะทำให้ชีวิตคู่ สามารถผ่านแต่ละปีๆ ไปได้ ทั้งในเวลาที่ดี มีความสุข และในเวลาที่มีความทุกข์ด้วยกัน
10. ให้เราภาวนาเพื่อครอบครัวทุกครอบครัว จะได้มีความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัว เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระพรของพระเจ้าในครอบครัวทุกครอบครัว
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน
"ปราศจากเราแล้ว ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย" (เทียบ ยน 15:5) "Without you, I can do nothing" (Jn 15:5)
My Profile
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552
ส.26 เทศกาลธรรมดา ปี B -
อาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2009
• มีนักปรัชญาคนหนึ่งชื่อว่า มาร์ติน บูเบอร์ เขียนหนังสือชื่อว่า I and thou (ฉันและเธอ) (1878-1965) เมื่อได้ศึกษาความคิดของ บูเบอร์ เขาเขียนว่า ความสัมพันธ์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลที่หนึ่ง ยอมรับบุคคลที่สองว่า เป็นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งของใดใด ถ้าใครก็ตามปฏิบัติต่อกันและกัน ความสัมพันธ์ที่แท้จริงคือ คนสองคนที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นในฐานะ “บุคคล” บูเบอร์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า นี่แหละคือความสัมพันธ์แบบที่พระเจ้ามีกับเราแต่ละคน ในหนังสือ ฉันและเธอ จึงยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะว่า เธอ นั้น คือ “เธอนิรันดร” (พระเจ้า) .
• วันนี้ พระเยซูเจ้าสอนว่า พระเจ้าทรงเป็นพระบุคคลที่ทรงรักและเอาใจใส่ต่อเราแต่ละคน พระเยซูเจ้าสอนว่า พระเจ้าจะเข้ามาสู่ชีวิตของเราทุกคน ถ้าหากบุคคลนั้นๆ เปิดรับความรักของพระองค์ ปรัชญาของบูเบอร์ จึงเป็นเสมือนหัวใจของเราคริสตชน แต่ที่พ่อบอกพี่น้องว่า บูเบอร์นั้น เป็นชาวยิว แต่ทำไมในปรัชญาของท่านจึงเต็มไปด้วยแก่นแท้ของชีวิตคริสตชน? อาจเป็นเพราะว่า พระจิตของพระเจ้า ชีวิตของพระเยซูเจ้า ได้ปรากฏชัดในโลกว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่ในโลกเรานี้อย่างแน่นอน เหมือนกับคนเช่น เอลดาด,เมดาด หรือ มาตินบูเบอร์ ซึ่งไม่ได้อยู่ในเต๊นท์นัดพบ ก็ยังได้รับพระจิตแห่งความจริงด้วย
• คนต่อมา ชื่อ บอร์นฮอรฟ์ เป็นศาสนบริกรลูเทอรัน เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่แสดงตนชัดเจนในการต่อต้านฮิตเลอร์ และประกาศว่า การที่ฮิตเลอร์ทำกับชาวยิวนั้นไม่ถูกต้อง บอร์นฮอร์ฟไม่ยอมเงียบ เขาจึงถูกจับ,ทรมานและถูกฆ่าตายในที่สุด บอร์นฮอร์ฟ จะได้เป็นมรณสักขีหรือเป็นนักบุญหรือเปล่า? แน่นอน แต่ว่าจะเป็นอย่างไรดี คนที่เป็นคาทอลิกเท่านั้นที่จะเป็นนักบุญได้ไม่ใช่หรือ? บอร์นฮอร์ฟตายโดยที่ไม่ได้เป็นคาทอลิก ท่านประกาศความจริงและให้กำลังใจ, ให้คนเข้มแข็งและแสดงให้เห็นถึงพละกำลังของพระจิตเจ้าในตัวของท่าน พระจิตของพระเยซูได้นำพระศาสนจักรผ่านทางร่างกายของพระคริสตเจ้าโดยผ่านทางชีวิตของ บอร์นฮอร์ฟ ถึงแม้ว่า ชายผู้ยิ่งใหญ่นี้ จะไม่ได้ไปที่เต๊นท์นัดพบเพื่อได้รับพระพรแห่งการเป็นคาทอลิกก็ตาม
• ชีวิตของ มหาตมะ คานธี เป็นชาวฮินดูและเป็นคนต่างศาสนา แต่ชีวิตของท่านและการที่ท่านได้ยอมตายเพื่อรักษาหลักการเช่นเดียวกับพระคริสตเจ้า เป็นไปได้ใหมว่า คานที ได้รับพระจิตเจ้าแม้ว่าท่านจะไม่รู้จักพระจิตเจ้านั้นเลย หรือแม้แต่ไม่รู้จักกับพระเยซูเจ้าเลย
• พ่อเชื่อว่า พละกำลังของพระจิตเจ้ามีมากกว่าข้อจำกัดทางศาสนา คานธีก็คงเป็นเหมือนชายในพระวรสารวันนี้ที่ได้ทำการไล่ปีศาจในนามของพระเยซู แม้ว่า ชายคนนั้นจะไม่ได้เป็นหนึ่งในศิษย์ 12 คนของพระเยซูเจ้าเลยก็ตาม แต่เขาได้แสดงพลังของพระเยซูเจ้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นศิษย์ของพระองค์เลยก็ตาม
• เมื่อพระเยซูเสด็จกลับขึ้นสู่สวรรค์ พระบิดาทรงส่งพระจิตเจ้าเพื่อปฏิบัติภารกิจต่อไป พระจิตของพระบิดาและพระบุตรยังคงดำเนินอยู่ในโลกของเราและหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนที่ยอมรับความรักของพระเจ้า
• พระเยซูเจ้าไม่ได้ห้ามคนที่ทำการในนามของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา” พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้ศิษย์ของพระองค์ติดตามชายคนนั้นไป แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้ศิษย์ของพระองค์และเราทุกคนให้รู้ว่า นั่นคืองานของพระเจ้า เราได้ปฏิบัติต่อผู้ที่ไม่ได้เป็นคาทอลิก เหมือนดังพี่น้องด้วยความเคารพเพราะ เรารู้ว่า พระเจ้าอาจพูดอะไรกับเรา ผ่านทางบุคคลเหล่านั้น และอาจพูดกับพวกเขาเหล่านั้นผ่านทางเราคาทอลิกด้วยเช่นกัน
• ขอให้โลกของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยพระจิตของพระเจ้า และให้เราเปิดตาของเราเพื่อรับสิ่งดีในตัวของบุคคลที่อยู่รอบข้างเรามากขึ้น ทุกศาสนา ทุกความดีงาม และปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรักต่อกันอย่างแท้จริง อันจะทำให้ ความรักในแบบพระเยซูเจ้าได้เป็นจริงในชีวิตของเรา
• ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน
• มีนักปรัชญาคนหนึ่งชื่อว่า มาร์ติน บูเบอร์ เขียนหนังสือชื่อว่า I and thou (ฉันและเธอ) (1878-1965) เมื่อได้ศึกษาความคิดของ บูเบอร์ เขาเขียนว่า ความสัมพันธ์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลที่หนึ่ง ยอมรับบุคคลที่สองว่า เป็นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งของใดใด ถ้าใครก็ตามปฏิบัติต่อกันและกัน ความสัมพันธ์ที่แท้จริงคือ คนสองคนที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นในฐานะ “บุคคล” บูเบอร์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า นี่แหละคือความสัมพันธ์แบบที่พระเจ้ามีกับเราแต่ละคน ในหนังสือ ฉันและเธอ จึงยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะว่า เธอ นั้น คือ “เธอนิรันดร” (พระเจ้า) .
• วันนี้ พระเยซูเจ้าสอนว่า พระเจ้าทรงเป็นพระบุคคลที่ทรงรักและเอาใจใส่ต่อเราแต่ละคน พระเยซูเจ้าสอนว่า พระเจ้าจะเข้ามาสู่ชีวิตของเราทุกคน ถ้าหากบุคคลนั้นๆ เปิดรับความรักของพระองค์ ปรัชญาของบูเบอร์ จึงเป็นเสมือนหัวใจของเราคริสตชน แต่ที่พ่อบอกพี่น้องว่า บูเบอร์นั้น เป็นชาวยิว แต่ทำไมในปรัชญาของท่านจึงเต็มไปด้วยแก่นแท้ของชีวิตคริสตชน? อาจเป็นเพราะว่า พระจิตของพระเจ้า ชีวิตของพระเยซูเจ้า ได้ปรากฏชัดในโลกว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่ในโลกเรานี้อย่างแน่นอน เหมือนกับคนเช่น เอลดาด,เมดาด หรือ มาตินบูเบอร์ ซึ่งไม่ได้อยู่ในเต๊นท์นัดพบ ก็ยังได้รับพระจิตแห่งความจริงด้วย
• คนต่อมา ชื่อ บอร์นฮอรฟ์ เป็นศาสนบริกรลูเทอรัน เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่แสดงตนชัดเจนในการต่อต้านฮิตเลอร์ และประกาศว่า การที่ฮิตเลอร์ทำกับชาวยิวนั้นไม่ถูกต้อง บอร์นฮอร์ฟไม่ยอมเงียบ เขาจึงถูกจับ,ทรมานและถูกฆ่าตายในที่สุด บอร์นฮอร์ฟ จะได้เป็นมรณสักขีหรือเป็นนักบุญหรือเปล่า? แน่นอน แต่ว่าจะเป็นอย่างไรดี คนที่เป็นคาทอลิกเท่านั้นที่จะเป็นนักบุญได้ไม่ใช่หรือ? บอร์นฮอร์ฟตายโดยที่ไม่ได้เป็นคาทอลิก ท่านประกาศความจริงและให้กำลังใจ, ให้คนเข้มแข็งและแสดงให้เห็นถึงพละกำลังของพระจิตเจ้าในตัวของท่าน พระจิตของพระเยซูได้นำพระศาสนจักรผ่านทางร่างกายของพระคริสตเจ้าโดยผ่านทางชีวิตของ บอร์นฮอร์ฟ ถึงแม้ว่า ชายผู้ยิ่งใหญ่นี้ จะไม่ได้ไปที่เต๊นท์นัดพบเพื่อได้รับพระพรแห่งการเป็นคาทอลิกก็ตาม
• ชีวิตของ มหาตมะ คานธี เป็นชาวฮินดูและเป็นคนต่างศาสนา แต่ชีวิตของท่านและการที่ท่านได้ยอมตายเพื่อรักษาหลักการเช่นเดียวกับพระคริสตเจ้า เป็นไปได้ใหมว่า คานที ได้รับพระจิตเจ้าแม้ว่าท่านจะไม่รู้จักพระจิตเจ้านั้นเลย หรือแม้แต่ไม่รู้จักกับพระเยซูเจ้าเลย
• พ่อเชื่อว่า พละกำลังของพระจิตเจ้ามีมากกว่าข้อจำกัดทางศาสนา คานธีก็คงเป็นเหมือนชายในพระวรสารวันนี้ที่ได้ทำการไล่ปีศาจในนามของพระเยซู แม้ว่า ชายคนนั้นจะไม่ได้เป็นหนึ่งในศิษย์ 12 คนของพระเยซูเจ้าเลยก็ตาม แต่เขาได้แสดงพลังของพระเยซูเจ้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นศิษย์ของพระองค์เลยก็ตาม
• เมื่อพระเยซูเสด็จกลับขึ้นสู่สวรรค์ พระบิดาทรงส่งพระจิตเจ้าเพื่อปฏิบัติภารกิจต่อไป พระจิตของพระบิดาและพระบุตรยังคงดำเนินอยู่ในโลกของเราและหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนที่ยอมรับความรักของพระเจ้า
• พระเยซูเจ้าไม่ได้ห้ามคนที่ทำการในนามของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา” พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้ศิษย์ของพระองค์ติดตามชายคนนั้นไป แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้ศิษย์ของพระองค์และเราทุกคนให้รู้ว่า นั่นคืองานของพระเจ้า เราได้ปฏิบัติต่อผู้ที่ไม่ได้เป็นคาทอลิก เหมือนดังพี่น้องด้วยความเคารพเพราะ เรารู้ว่า พระเจ้าอาจพูดอะไรกับเรา ผ่านทางบุคคลเหล่านั้น และอาจพูดกับพวกเขาเหล่านั้นผ่านทางเราคาทอลิกด้วยเช่นกัน
• ขอให้โลกของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยพระจิตของพระเจ้า และให้เราเปิดตาของเราเพื่อรับสิ่งดีในตัวของบุคคลที่อยู่รอบข้างเรามากขึ้น ทุกศาสนา ทุกความดีงาม และปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรักต่อกันอย่างแท้จริง อันจะทำให้ ความรักในแบบพระเยซูเจ้าได้เป็นจริงในชีวิตของเรา
• ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552
ส.25 เทศกาลธรรมดา ปี B - อาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2009
1. สวัสดีพี่น้องที่เคารพ บทอ่านในวันนี้ทำให้เราสะท้อนถึง ความหวังของเราในเรื่องความรอดและพระวาจาได้เชิญชวนเราให้ไตร่ตรองว่า การดำเนินชีวิตเป็นศิษย์ที่เข้าใจชีวิตแท้ของพระเยซูเจ้านั้น ควรจะต้องทำอย่างไร?
2. หลายครั้งในชีวิตของคริสตชน เราลืมนำเอาพระวาจามารำพึงในชีวิตของเราอย่างที่ควรจะเป็น เรามักจะทำแค่ขอให้เรามีความเชื่อและมีประสบการณ์ในชีวิตที่เข้มแข็งก็พอแล้ว
3. ในหนังสือปรีชาญาณในวันนี้ สะท้อนให้เราเห็นว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าบางคนพยายามที่จะทำความดีมากๆ นั่นก็คือ บางครั้งคนอื่นๆจะไม่เชื่อว่า คนคนนั้นจะเป็นคนดี หรือจะทำดีจริงๆได้ แล้วทุกคนก็อยากจะทดสอบความดีของคนคนนั้น ด้วยการที่เราคิดว่า ถ้าเราสามารถหาความผิดในตัวของผู้อื่นได้ เราก็จะลบล้างความดีทั้งหมดของเขาได้
4. พี่น้องครับ เวลาเราทำความดีนั้น ความดีจะเชิญชวนเราเสมอให้เปลี่ยนแปลงตัวเราเอง ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะดีได้ ถ้าพ่อถามว่า เราอยากเป็นคนดีไหม? หรือว่า เราแค่ทำความดีให้คนอื่นคิดว่า เราเป็นคนดี? หรือเราได้พยายามมองดูพระประสงค์ของพระเจ้าและพยายามดำเนินชีวิตไปตามสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาให้เราเป็น?
5. พวกเราหลายๆคน ไม่ค่อยสนใจว่า พระเจ้าต้องการอะไรจากเรา เพราะเรามักคิดว่า สิ่งที่พระเจ้าต้องการ กับสิ่งที่เราต้องการนั้น ไม่เคยเป็นสิ่งเดียวกันเลย
6. แม้ว่า บางสิ่งบางอย่างในชีวิตของเราก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายอะไร ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของเรา แต่เราก็ไม่อยากรับความทุกข์ทรมานหรือเผชิญหน้ากับความยากลำบากในชีวิต
7. เราได้เห็นสถานการณ์นี้ในพระวาจาวันนี้ด้วย ศิษย์ของพระเยซูไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์บอก เมื่อพระองค์กำลังบอกว่า พระองค์กำลังจะไปรับทรมาน จะต้องตายและจะกลับฟื้นคืนชีพในวันที่สาม แทนที่จะเข้าใจ กลับเริ่มคุยกันว่า ใครจะเป็นใหญ่กว่ากัน หรือพูดง่ายๆว่า ใครจะเป็นคนสำคัญที่สุด นี่แหละคือชีวิตจริงของมนุษย์
8. พี่น้องเคยคุยกัน หรือถกเถียงกันไหมว่า ใครจะเป็นใหญ่กว่ากัน ถ้าเราเคยเราก็กำลังเป็นเหมือนกับศิษย์ของพระเยซูนี่เอง
พระเยซูเจ้าทรงชัดเจนมาก พระองค์บอกกับศิษย์ว่า สิ่งสำคัญประการเดียวที่จะทำให้เราเป็นคนสำคัญได้ก็คือ การรับใช้ผู้อื่นด้วยความรัก
a. เราจะยอมทนทุกข์เพื่อกันและกันได้ไหม?
b. หรือ เราจะยอมเสียสละในสิ่งที่เรามี เพื่อให้คนอื่นนั้นมีมากกว่าเราได้ไหม?
c. หรือเราจะยอมให้ตัวเองลำบากเพื่อให้คนอื่นสบายกว่าเราได้ไหม นี่คือคำถามที่จะทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจเลย
พระเยซูเจ้าในวันนี้ เชิญชวนเราให้ดำเนินชีวิตเพื่อผู้อื่น รับใช้กันและกัน ยอมเป็นคนสุดท้ายเพื่อให้คนอื่นๆได้เป็นคนแรก
9. พี่น้องครับ คำสอนนี้ต่อต้านความเป็นตัวตนของธรรมชาติมนุษย์ และต่อต้านต่อ “ค่านิยมของสังคมโลกในปัจจุบัน”
10. พี่น้องครับ เราจะติดตามพระเยซูเจ้าไปหรือเปล่า? หรือ เราจะเลิกคุยกัน เถียงกันว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด?
11. ขอพระเจ้าประทานพระพรให้เราเข้มแข็งในการติดตามพระองค์ด้วย ความรัก และ ความถ่อมตน เสมอ
2. หลายครั้งในชีวิตของคริสตชน เราลืมนำเอาพระวาจามารำพึงในชีวิตของเราอย่างที่ควรจะเป็น เรามักจะทำแค่ขอให้เรามีความเชื่อและมีประสบการณ์ในชีวิตที่เข้มแข็งก็พอแล้ว
3. ในหนังสือปรีชาญาณในวันนี้ สะท้อนให้เราเห็นว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าบางคนพยายามที่จะทำความดีมากๆ นั่นก็คือ บางครั้งคนอื่นๆจะไม่เชื่อว่า คนคนนั้นจะเป็นคนดี หรือจะทำดีจริงๆได้ แล้วทุกคนก็อยากจะทดสอบความดีของคนคนนั้น ด้วยการที่เราคิดว่า ถ้าเราสามารถหาความผิดในตัวของผู้อื่นได้ เราก็จะลบล้างความดีทั้งหมดของเขาได้
4. พี่น้องครับ เวลาเราทำความดีนั้น ความดีจะเชิญชวนเราเสมอให้เปลี่ยนแปลงตัวเราเอง ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะดีได้ ถ้าพ่อถามว่า เราอยากเป็นคนดีไหม? หรือว่า เราแค่ทำความดีให้คนอื่นคิดว่า เราเป็นคนดี? หรือเราได้พยายามมองดูพระประสงค์ของพระเจ้าและพยายามดำเนินชีวิตไปตามสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาให้เราเป็น?
5. พวกเราหลายๆคน ไม่ค่อยสนใจว่า พระเจ้าต้องการอะไรจากเรา เพราะเรามักคิดว่า สิ่งที่พระเจ้าต้องการ กับสิ่งที่เราต้องการนั้น ไม่เคยเป็นสิ่งเดียวกันเลย
6. แม้ว่า บางสิ่งบางอย่างในชีวิตของเราก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายอะไร ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของเรา แต่เราก็ไม่อยากรับความทุกข์ทรมานหรือเผชิญหน้ากับความยากลำบากในชีวิต
7. เราได้เห็นสถานการณ์นี้ในพระวาจาวันนี้ด้วย ศิษย์ของพระเยซูไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์บอก เมื่อพระองค์กำลังบอกว่า พระองค์กำลังจะไปรับทรมาน จะต้องตายและจะกลับฟื้นคืนชีพในวันที่สาม แทนที่จะเข้าใจ กลับเริ่มคุยกันว่า ใครจะเป็นใหญ่กว่ากัน หรือพูดง่ายๆว่า ใครจะเป็นคนสำคัญที่สุด นี่แหละคือชีวิตจริงของมนุษย์
8. พี่น้องเคยคุยกัน หรือถกเถียงกันไหมว่า ใครจะเป็นใหญ่กว่ากัน ถ้าเราเคยเราก็กำลังเป็นเหมือนกับศิษย์ของพระเยซูนี่เอง
พระเยซูเจ้าทรงชัดเจนมาก พระองค์บอกกับศิษย์ว่า สิ่งสำคัญประการเดียวที่จะทำให้เราเป็นคนสำคัญได้ก็คือ การรับใช้ผู้อื่นด้วยความรัก
a. เราจะยอมทนทุกข์เพื่อกันและกันได้ไหม?
b. หรือ เราจะยอมเสียสละในสิ่งที่เรามี เพื่อให้คนอื่นนั้นมีมากกว่าเราได้ไหม?
c. หรือเราจะยอมให้ตัวเองลำบากเพื่อให้คนอื่นสบายกว่าเราได้ไหม นี่คือคำถามที่จะทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจเลย
พระเยซูเจ้าในวันนี้ เชิญชวนเราให้ดำเนินชีวิตเพื่อผู้อื่น รับใช้กันและกัน ยอมเป็นคนสุดท้ายเพื่อให้คนอื่นๆได้เป็นคนแรก
9. พี่น้องครับ คำสอนนี้ต่อต้านความเป็นตัวตนของธรรมชาติมนุษย์ และต่อต้านต่อ “ค่านิยมของสังคมโลกในปัจจุบัน”
10. พี่น้องครับ เราจะติดตามพระเยซูเจ้าไปหรือเปล่า? หรือ เราจะเลิกคุยกัน เถียงกันว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด?
11. ขอพระเจ้าประทานพระพรให้เราเข้มแข็งในการติดตามพระองค์ด้วย ความรัก และ ความถ่อมตน เสมอ
ส.24 เทศกาลธรรมดา ปี B - อาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2009
1. มีเรื่องเล่าว่า เชอร์ล๊อคโฮมกับดอกเตอร์วัตสันก็ไปแคมป์ปิ้งกันสองคน ขณะที่ทั้งสองกำลังนอนหลับอยู่นั้น โฮมก็ปลุกวัตสันแล้วบอกว่า “วัตสัน ลองมองไปที่ท้องฟ้าซิและบอกซิว่า คุณเห็นอะไรบ้าง?” วัตสันตอบว่า “ผมเห็นดวงดาวเป็นล้านๆดวงเลย” โฮมถามต่อว่า “และมันบอกอะไรกับคุณบ้าง” วัตสันตอบว่า “ดาราศาสตร์ บอกกับเราว่า มีกาแลคซี่เป็นล้านๆและมีดวงดาวอีกมากมายในจักรวาลนี้”
2. เทววิทยา,บอกกับเราว่า พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่และเรานั้นเล็กน้อยและไม่มีค่าอะไรเลย
3. อุตุนิยมวิทยา,บอกเราว่า พรุ่งนี้เราจะมีวันที่สดใสหรือไม่? และคุณหล่ะ พวกนี้บอกคุณว่าอะไรมั่ง” โฮมตอบว่า “มีคนขโมยเตนท์ของเราไปแล้ว!”
4. บางคนก็มีความรู้มากมายแต่เมื่อกลับไปมองดูในชีวิต กลับได้คะแนนในชีวิตเป็นศูนย์ เหมือนกับ น.เปโตรในพระวรสารวันนี้
5. มีนักวิชาการทางพระคัมภีร์บอกเราว่า พระวรสารในวันนี้เป็น “ศูนย์กลางของพระวรสารของ น.มารโก” ครึ่งแรกของพระวรสารเป็นการนำเรามาสู่พระวาจาในตอนนี้ , และครึ่งที่สองก็เริ่มต้นจากนี้ไป
6. ตั้งแต่ตอนต้นพระวรสารจนมาถึงจุดนี้ เป็นการเตรียมสำหรับการ “ไขแสดงถึงความลับที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระแมสซิยาห์”, ในตอนนี้เองที่ “ความเป็นพระแมสซิยาห์” ได้ถูกเผยแสดง, และจากนี้ไปจนจบพระวรสารจะเริ่มต้น “ภารกิจเข้มข้นของพระเยซูเจ้าในฐานะพระแมสซิยาห์” ดังนั้นในพระวรสารวันนี้ คือ การที่พระเยซูเจ้าทรงทดสอบศิษย์ของพระองค์เพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขาเข้าใจพระองค์แล้วหรือยัง?? การสอบถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน , ส่วนแรกสองเรื่อง เทววิทยา ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของการปฏิบัติ
7. ในส่วนแรกนั้น พระเยซูเจ้าทรงถามเป็นคำถามกับ น.เปโตรว่า “คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร” ในสมัยนั้น เขาจะชอบถามก่อนว่า คนอื่นคิดอย่างไร แล้วจึงค่อยๆบอกความคิดของตนเองว่า คิดอย่างไร? เปโตร โฆษกของบรรดาศิษย์ตอบทันทีว่า “พระองค์คือพระแมสซิยาห์(พระคริสตเจ้า) ” นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญเพราะพระเยซูเจ้ากำลังเปิดเผย ถ้าเราอ่านในพระวรสารของ น.มัทธิว เราก็จะพบว่า พระเยซูเจ้าทรงดีใจและทรงมอบรางวัลให้กับเปโตร บอกว่า เปโตรได้รับการเผยแสดงนี้จากพระเจ้า และพระองค์ได้ให้รางวัล นั่นคือ ก่อนหน้านี้เปโตรชื่อ ซีมอน พระองค์ให้ชื่อใหม่ว่า เปโตร ซึ่งแปลว่า ศิลา และบนศิลานี้ พระเยซูเจ้าจะทรงตั้งพระศาสนจักรของพระองค์ ประตูนรกจะไม่มีวันเอาชนะพระศาสนจักรได้ นี่บททดสอบบทแรก บททดสอบเทววิทยา เปโตรผ่านฉลุย.
8. บททดสอบที่สอง นั่นก็คือ บททดสอบภาคปฏิบัติซึ่งเป็นข้อสรุปของบทที่ 1 “พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ว่า บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานอย่างมาก จะถูกผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่สามวันต่อมาจะกลับคืนชีพ” ข้อ 31
9. จากจุดนี้เองที่ เปโตรไม่เห็นด้วยกับพระเยซูเจ้า แม้ว่าเขาจะได้ 100% ในคะแนนสอบทางเทววิทยา , แต่ในความเป็นจริง เปโตรแสดงให้เห็นว่า ท่านไม่รู้อะไรเลยในเรื่องการปฏิบัติในสิ่งที่ท่านได้ตอบไป ดังนั้นพระเยซูเจ้าเลยตำหนิเปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง อย่าขัดขวาง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” ข้อ 33. ศิลาที่พระเยซูจะสร้างพระศาสนจักร กลายเป็น ซาตานในทันที.
10. สิ่งที่เป็นสิ่งที่ทำให้เปโตรอยู่ในอาการที่เรียกว่า ช๊อค , และน่าจะคล้ายพวกเราด้วยเช่นกัน เราอาจเป็นเหมือนกับเปโตร คือ ให้ความสนใจต่อเรื่องของคำสอน เทววิทยา แต่สนใจต่อการปฏิบัติจริงๆในชีวิต
11. เวลาที่เราเตรียมผู้เรียนคำสอน เราก็พยายามสอนข้อคำสอนมากมายและก็ทดสอบในสิ่งที่พวกเขาได้เรียน ตอบได้หมด เมื่อเราถามว่า “ท่านมีความเชื่อในข้อคำสอนนั้นหรือไม่??” เขาก็ตอบว่า “เชื่อครับ” เราก็ทำการล้างบาปให้เขา แต่หากถามว่า เราได้ตรวจสอบว่าในชีวิตจริงนั้นเขาปฏิบัติอย่างไร? เราคงไม่ได้ลงไปลึกขนาดนั้นได้ แต่สิ่งเหล่านี้อาจจะมากเกินไปสำหรับเรา แต่สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์มองว่า จำเป็นที่จะต้องมีการปฏิบัติในชีวิตจริงๆของเราด้วย”
12. ในเรื่อง วันพิพากษา พระเยซูเจ้าได้เปิดเผยว่า เราจะถูกตัดสินโดยที่ว่า เรานั้นได้ปฏิบัติความเชื่ออย่างไร? มากกว่าการที่เรามีความเชื่อมากน้อยแค่ไหน? แน่นอนว่า ความรู้ และการปฏิบัตินั้นก็สำคัญทั้งสองอย่าง แต่ชีวิตที่ปฏิบัตินั่น สำคัญอย่างยิ่งและมาเป็นที่ 1 ต่อหน้าพระเจ้าเสมอ
13. ให้เราได้วอนขอพระเจ้าในวันนี้ เพื่อให้เรามั่นคงในความเชื่อที่แท้จริงดุจดังศิลา แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ ขอให้ “การปฏิบัติในชีวิตของเรานั้นเป็นจริงมากขึ้นในชีวิตของเราด้วย”
14. ขอพระเจ้าอำนวยพระพรแด่พี่น้องเสมอ
2. เทววิทยา,บอกกับเราว่า พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่และเรานั้นเล็กน้อยและไม่มีค่าอะไรเลย
3. อุตุนิยมวิทยา,บอกเราว่า พรุ่งนี้เราจะมีวันที่สดใสหรือไม่? และคุณหล่ะ พวกนี้บอกคุณว่าอะไรมั่ง” โฮมตอบว่า “มีคนขโมยเตนท์ของเราไปแล้ว!”
4. บางคนก็มีความรู้มากมายแต่เมื่อกลับไปมองดูในชีวิต กลับได้คะแนนในชีวิตเป็นศูนย์ เหมือนกับ น.เปโตรในพระวรสารวันนี้
5. มีนักวิชาการทางพระคัมภีร์บอกเราว่า พระวรสารในวันนี้เป็น “ศูนย์กลางของพระวรสารของ น.มารโก” ครึ่งแรกของพระวรสารเป็นการนำเรามาสู่พระวาจาในตอนนี้ , และครึ่งที่สองก็เริ่มต้นจากนี้ไป
6. ตั้งแต่ตอนต้นพระวรสารจนมาถึงจุดนี้ เป็นการเตรียมสำหรับการ “ไขแสดงถึงความลับที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระแมสซิยาห์”, ในตอนนี้เองที่ “ความเป็นพระแมสซิยาห์” ได้ถูกเผยแสดง, และจากนี้ไปจนจบพระวรสารจะเริ่มต้น “ภารกิจเข้มข้นของพระเยซูเจ้าในฐานะพระแมสซิยาห์” ดังนั้นในพระวรสารวันนี้ คือ การที่พระเยซูเจ้าทรงทดสอบศิษย์ของพระองค์เพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขาเข้าใจพระองค์แล้วหรือยัง?? การสอบถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน , ส่วนแรกสองเรื่อง เทววิทยา ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของการปฏิบัติ
7. ในส่วนแรกนั้น พระเยซูเจ้าทรงถามเป็นคำถามกับ น.เปโตรว่า “คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร” ในสมัยนั้น เขาจะชอบถามก่อนว่า คนอื่นคิดอย่างไร แล้วจึงค่อยๆบอกความคิดของตนเองว่า คิดอย่างไร? เปโตร โฆษกของบรรดาศิษย์ตอบทันทีว่า “พระองค์คือพระแมสซิยาห์(พระคริสตเจ้า) ” นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญเพราะพระเยซูเจ้ากำลังเปิดเผย ถ้าเราอ่านในพระวรสารของ น.มัทธิว เราก็จะพบว่า พระเยซูเจ้าทรงดีใจและทรงมอบรางวัลให้กับเปโตร บอกว่า เปโตรได้รับการเผยแสดงนี้จากพระเจ้า และพระองค์ได้ให้รางวัล นั่นคือ ก่อนหน้านี้เปโตรชื่อ ซีมอน พระองค์ให้ชื่อใหม่ว่า เปโตร ซึ่งแปลว่า ศิลา และบนศิลานี้ พระเยซูเจ้าจะทรงตั้งพระศาสนจักรของพระองค์ ประตูนรกจะไม่มีวันเอาชนะพระศาสนจักรได้ นี่บททดสอบบทแรก บททดสอบเทววิทยา เปโตรผ่านฉลุย.
8. บททดสอบที่สอง นั่นก็คือ บททดสอบภาคปฏิบัติซึ่งเป็นข้อสรุปของบทที่ 1 “พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ว่า บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานอย่างมาก จะถูกผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่สามวันต่อมาจะกลับคืนชีพ” ข้อ 31
9. จากจุดนี้เองที่ เปโตรไม่เห็นด้วยกับพระเยซูเจ้า แม้ว่าเขาจะได้ 100% ในคะแนนสอบทางเทววิทยา , แต่ในความเป็นจริง เปโตรแสดงให้เห็นว่า ท่านไม่รู้อะไรเลยในเรื่องการปฏิบัติในสิ่งที่ท่านได้ตอบไป ดังนั้นพระเยซูเจ้าเลยตำหนิเปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง อย่าขัดขวาง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” ข้อ 33. ศิลาที่พระเยซูจะสร้างพระศาสนจักร กลายเป็น ซาตานในทันที.
10. สิ่งที่เป็นสิ่งที่ทำให้เปโตรอยู่ในอาการที่เรียกว่า ช๊อค , และน่าจะคล้ายพวกเราด้วยเช่นกัน เราอาจเป็นเหมือนกับเปโตร คือ ให้ความสนใจต่อเรื่องของคำสอน เทววิทยา แต่สนใจต่อการปฏิบัติจริงๆในชีวิต
11. เวลาที่เราเตรียมผู้เรียนคำสอน เราก็พยายามสอนข้อคำสอนมากมายและก็ทดสอบในสิ่งที่พวกเขาได้เรียน ตอบได้หมด เมื่อเราถามว่า “ท่านมีความเชื่อในข้อคำสอนนั้นหรือไม่??” เขาก็ตอบว่า “เชื่อครับ” เราก็ทำการล้างบาปให้เขา แต่หากถามว่า เราได้ตรวจสอบว่าในชีวิตจริงนั้นเขาปฏิบัติอย่างไร? เราคงไม่ได้ลงไปลึกขนาดนั้นได้ แต่สิ่งเหล่านี้อาจจะมากเกินไปสำหรับเรา แต่สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์มองว่า จำเป็นที่จะต้องมีการปฏิบัติในชีวิตจริงๆของเราด้วย”
12. ในเรื่อง วันพิพากษา พระเยซูเจ้าได้เปิดเผยว่า เราจะถูกตัดสินโดยที่ว่า เรานั้นได้ปฏิบัติความเชื่ออย่างไร? มากกว่าการที่เรามีความเชื่อมากน้อยแค่ไหน? แน่นอนว่า ความรู้ และการปฏิบัตินั้นก็สำคัญทั้งสองอย่าง แต่ชีวิตที่ปฏิบัตินั่น สำคัญอย่างยิ่งและมาเป็นที่ 1 ต่อหน้าพระเจ้าเสมอ
13. ให้เราได้วอนขอพระเจ้าในวันนี้ เพื่อให้เรามั่นคงในความเชื่อที่แท้จริงดุจดังศิลา แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ ขอให้ “การปฏิบัติในชีวิตของเรานั้นเป็นจริงมากขึ้นในชีวิตของเราด้วย”
14. ขอพระเจ้าอำนวยพระพรแด่พี่น้องเสมอ
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
ส.23 เทศกาลธรรมดา ปี B - วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2552/2009
1. การใช้เวลาอยู่ในกลุ่มของคนที่ตาบอดและหูหนวกนั้น ทำให้เราตระหนักว่า คุณค่าและพระพรแห่งการพูดและการได้ยินเสียงต่างๆ นั้นมีค่าแค่ไหน? คนเหล่านั้นถูกตัดขาดจากโลกแห่งเสียงและไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการสนทนากับเพื่อน, เสียงหัวเราะของเด็กๆ และความสนุกสนานในการฟังเพลงใดใด
2. ชายในพระวรสารวันนี้ เราเห็นว่า ชายคนนี้ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้พบพระเยซูเจ้าในวันนี้ พระองค์รักษาชายตาบอดหูหนวก ทำให้เขาได้พบจุดเปลี่ยนในชีวิตและทำให้เขากลับมาเป็นคนธรรมดาๆ เหมือนกับเรา
3. พี่น้องครับ เราทุกคนโชคดีที่เกิดมาได้ยินเสียงและสามารถพูดได้ แต่พระพรทั้งสองประการนี้จะต้องมีความหมายมากกว่าการที่เราใช้เพื่อสื่อสารเท่านั้น
4. นั่นคือ เราสามารถฟังเสียงของพระเจ้าและประกาศพระวาจาของพระองค์ นี่คือสิ่งที่เราไม่ควรจะลืม อะไรที่เราพูดและอะไรก็ตามที่เราได้ยิน กำหนดให้เราทำอะไรและทำให้เราเป็นคนอย่างไรได้
5. นี่คือโอกาสของเราที่เราจะได้ เอาใจใส่ต่อคนที่ดำเนินชีวิตอย่างโดดเดี่ยว (บุคคลชายขอบของสังคม) เพราะการเป็นคนหูหนวกและตาบอด อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งที่ดีที่เราจะระลึกไว้เสมอว่า คนหูหนวก ไม่ได้มีอยู่แค่ในสมัยของพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่มีอยู่ตลอดทุกกาลสมัย และอาจหมายถึงในสมัยของเราที่บางคน ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธที่จะฟังเสียงของพระองค์
6. เราทุกคนต้องการการรักษาจากมือของพระคริสตเจ้า เพื่อทำให้เราได้ยินและบอกเล่าข่าวดีของพระเจ้า
7. พระเยซูเจ้าคือผู้เดียวที่สามารถรักษาคนหูหนวกและตาบอดจากสิ่งที่เราเป็น เพื่อเราจะได้ใช้ความสามารถนี้ได้ เป็นไปได้ที่เราอาจเป็นเหมือนคนตาบอดหูหนวกนี้เพราะการปฏิเสธที่จะฟังคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว , ผู้คนที่มีปัญหา,และคนที่วิตกกังวลต่อชีวิต
8. หลายๆ ครั้ง ปากของเราซึ่งสามารถพูดได้ ออกเสียงได้ ก็อาจไม่ได้พูดคำที่ให้กำลังใจกันและกันมากเท่าที่ควร หรือเป็นคำพูดที่ให้ความหวังและกำลังใจ หรือเรากลายเป็นคนระมัดระวังคำพูดในเวลาที่เราควรจะพูดในความจริง และก็ยังมีปัญหาต่อการพูดคุยกับเพื่อนบ้านเพราะว่าเรามีรั้วกั้นบ้านเป็นแนวยาวหรือมีความอิฉาริษยาต่อกัน
9. พี่น้องครับ สิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการบอกกับเราในวันนี้ก็คือ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การเกิดมาเป็นคนตาบอด หรือหูหนวก แต่เป็นเพราะ “มีหูแต่ไม่ได้ยิน มีลิ้นแต่ไม่ยอมพูด” เราก็เป็นคนตาบอดหูหนวกคนหนึ่ง ที่จำเป็นจะต้องก้าวไปหาพระเยซูเจ้าเพื่อให้พระองค์รักษาเรา เพื่อให้เราเป็นผู้สื่อสารในที่เงียบสงัด เป็นเพื่อนกับคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในชีวิต และให้กำลังใจกับผู้ที่หมดหวังในทุกโอกาสของเรา
10. พ่อขอนำข้อคิดจากผู้ที่ไปเข้าเงียบครั้งที่ผ่านมา
a. ชัดเจนในตัวเองว่า ที่ได้คิดว่าได้ใช้ชีวิตติดตามพระองค์มาตลอดนั้น ความจริงแล้วยังไม่ใช่เลย มีอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้ และดำเนินชีวิตอย่างจริงจัง ในคุณลักษณะต่างๆ ตามแบบฉบับ ของพระองค์
b. เพิ่งรู้ว่า ได้ปล่อยให้พระองค์ทำงานหนักเพียงฝ่ายเดียวมานานแสนนาน โดยไม่ให้ความ ร่วมมือและไม่เปิดใจตัวเองอย่างจริงจัง จนทำให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรัก และความอดทน ของพระองค์อย่างมากมาย ในขณะนี้
c. พระวาจาของพระองค์ มีชีวิต พูดได้ และน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ
11. ขอพระเจ้าประทานพระพระแด่พี่น้องเสมอไป
2. ชายในพระวรสารวันนี้ เราเห็นว่า ชายคนนี้ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้พบพระเยซูเจ้าในวันนี้ พระองค์รักษาชายตาบอดหูหนวก ทำให้เขาได้พบจุดเปลี่ยนในชีวิตและทำให้เขากลับมาเป็นคนธรรมดาๆ เหมือนกับเรา
3. พี่น้องครับ เราทุกคนโชคดีที่เกิดมาได้ยินเสียงและสามารถพูดได้ แต่พระพรทั้งสองประการนี้จะต้องมีความหมายมากกว่าการที่เราใช้เพื่อสื่อสารเท่านั้น
4. นั่นคือ เราสามารถฟังเสียงของพระเจ้าและประกาศพระวาจาของพระองค์ นี่คือสิ่งที่เราไม่ควรจะลืม อะไรที่เราพูดและอะไรก็ตามที่เราได้ยิน กำหนดให้เราทำอะไรและทำให้เราเป็นคนอย่างไรได้
5. นี่คือโอกาสของเราที่เราจะได้ เอาใจใส่ต่อคนที่ดำเนินชีวิตอย่างโดดเดี่ยว (บุคคลชายขอบของสังคม) เพราะการเป็นคนหูหนวกและตาบอด อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งที่ดีที่เราจะระลึกไว้เสมอว่า คนหูหนวก ไม่ได้มีอยู่แค่ในสมัยของพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่มีอยู่ตลอดทุกกาลสมัย และอาจหมายถึงในสมัยของเราที่บางคน ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธที่จะฟังเสียงของพระองค์
6. เราทุกคนต้องการการรักษาจากมือของพระคริสตเจ้า เพื่อทำให้เราได้ยินและบอกเล่าข่าวดีของพระเจ้า
7. พระเยซูเจ้าคือผู้เดียวที่สามารถรักษาคนหูหนวกและตาบอดจากสิ่งที่เราเป็น เพื่อเราจะได้ใช้ความสามารถนี้ได้ เป็นไปได้ที่เราอาจเป็นเหมือนคนตาบอดหูหนวกนี้เพราะการปฏิเสธที่จะฟังคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว , ผู้คนที่มีปัญหา,และคนที่วิตกกังวลต่อชีวิต
8. หลายๆ ครั้ง ปากของเราซึ่งสามารถพูดได้ ออกเสียงได้ ก็อาจไม่ได้พูดคำที่ให้กำลังใจกันและกันมากเท่าที่ควร หรือเป็นคำพูดที่ให้ความหวังและกำลังใจ หรือเรากลายเป็นคนระมัดระวังคำพูดในเวลาที่เราควรจะพูดในความจริง และก็ยังมีปัญหาต่อการพูดคุยกับเพื่อนบ้านเพราะว่าเรามีรั้วกั้นบ้านเป็นแนวยาวหรือมีความอิฉาริษยาต่อกัน
9. พี่น้องครับ สิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการบอกกับเราในวันนี้ก็คือ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การเกิดมาเป็นคนตาบอด หรือหูหนวก แต่เป็นเพราะ “มีหูแต่ไม่ได้ยิน มีลิ้นแต่ไม่ยอมพูด” เราก็เป็นคนตาบอดหูหนวกคนหนึ่ง ที่จำเป็นจะต้องก้าวไปหาพระเยซูเจ้าเพื่อให้พระองค์รักษาเรา เพื่อให้เราเป็นผู้สื่อสารในที่เงียบสงัด เป็นเพื่อนกับคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในชีวิต และให้กำลังใจกับผู้ที่หมดหวังในทุกโอกาสของเรา
10. พ่อขอนำข้อคิดจากผู้ที่ไปเข้าเงียบครั้งที่ผ่านมา
a. ชัดเจนในตัวเองว่า ที่ได้คิดว่าได้ใช้ชีวิตติดตามพระองค์มาตลอดนั้น ความจริงแล้วยังไม่ใช่เลย มีอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้ และดำเนินชีวิตอย่างจริงจัง ในคุณลักษณะต่างๆ ตามแบบฉบับ ของพระองค์
b. เพิ่งรู้ว่า ได้ปล่อยให้พระองค์ทำงานหนักเพียงฝ่ายเดียวมานานแสนนาน โดยไม่ให้ความ ร่วมมือและไม่เปิดใจตัวเองอย่างจริงจัง จนทำให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรัก และความอดทน ของพระองค์อย่างมากมาย ในขณะนี้
c. พระวาจาของพระองค์ มีชีวิต พูดได้ และน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ
11. ขอพระเจ้าประทานพระพระแด่พี่น้องเสมอไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)