วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2551

ส.5 เทศกาลปัสกา ปี A







อาทิตย์ที่ 20 เมษายน ค.ศ.2008


เด็กชายคนหนึ่งอายุ 5 ขวบ อยู่ในครัวกับแม่ของเขาที่กำลังเตรียมทำกับข้าว แม่จึงบอกให้เขาไปหยิบของที่ห้องใต้ดิน เด็กชายคนนั้นจึงบอกว่า “แม่ครับ ข้างล่างมันมืดมากเลยนะครับ และผมก็กลัวมากด้วย” แม่ก็ย้ำอีกว่า ไม่เป็นไรลูกไม่ต้องกลัวปลอดภัยแน่นอน” แต่ก็ไม่สำเร็จเด็กน้อยก็ไม่ยอมไป ที่สุดแม่ก็บอกว่า “เอาหละลูก พระเยซูจะอยู่กับลูกนะ” เด็กน้อยจึงเดินไปที่ประตูและเปิดประตูช้าๆ มองเข้าไปก็เห็นว่ามันมืดมากก็ไม่กล้าเข้าไป เด็กน้อยเกิดความคิดบางอย่าง จึงตะโกนเข้าไปในความมืดนั้นว่า “พระเยซูครับ ถ้าพระองค์อยู่ในนั้น ช่วยกรุณาส่งของมาให้ผมด้วยครับ ขอบคุณครับ”


ความกลัวของเด็กน้อยคนนี้ คล้ายกับความกลัวของบรรดาศิษย์ของพระเยซูในเวลาที่พระเยซูกำลังจะจากพวกเขาไป พวกเขากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับโลกเพียงลำพัง ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูได้พยายามทำเหมือนกับแม่ของเด็กน้อยคนนั้นได้ทำ คือ อย่ากลัวเลย แม้ว่า พระองค์จะไม่อยู่ที่นั่น กับพวกเขาก็ตาม
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ใจของท่านทั้งหลาย จงอย่าหวั่นไหวเลย” (John 14:1a). ศิษย์ของพระเยซูเกิดความกลัว และพระเยซูทรงปลอบโยน ให้กำลังใจพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเอาชนะความหวาดกลัว พร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า


เหตุผลที่พระเยซูเจ้าบอกก็คือ “ถ้าท่านเชื่อในพระเจ้า ท่านก็เชื่อในเราด้วย”(14:1b). เป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อในพระเจ้า พระองค์เป็นจิตซึ่งเรามองไม่เห็น แต่สิ่งที่ท้าทายมากกว่านั้นก็คือ การเชื่อในสิ่งที่มองเห็นได้ ในแบบธรรมดาๆ มีเนื้อมีหนัง ซึ่งเราทุกคนรู้กันอยู่แล้ว สิ่งที่ท้าทายมากกว่านั้นคือ การเชื่อในการบังเกิด การรับเอากาย ความรัก พละกำลังของพระเจ้า ที่ปรากฏมาในตัวของมนุษย์ซึ่งบางครั้งก็อ่อนแอ ซึ่งขาดความรัก,ความรู้, ขาดคุณธรรมจริยธรรมที่ดี ที่แข็งแรง นี่คือความท้าทายที่เราต้องเชื่อในตัวของมนุษย์หรือ? พี่น้องเชื่อในพระเจ้า (ง่ายมาก) พี่น้องเชื่อในพระเยซู มนุษย์คนหนึ่ง(นี่คือส่วนที่ยากกว่า)


ศิษย์ของพระเยซูมองเห็นพระเจ้าในตัวของพระเยซู ตราบเท่าที่พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา พวกเขาไม่กลัว แต่พวกเขาไม่เห็นพระเจ้าในเพื่อนพี่น้อง เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนๆ กัน มีความอ่อนแอ ต้องตายเหมือนกัน


ศิษย์ของพระองค์แยกพระเยซูออกไปอยู่ต่างหาก พวกเขาแยกพระองค์ออกจากมนุษย์ทั่วไป พระเยซูพยายามบอกพวกเขาว่า ถ้าพระเจ้าทำงานของพระองค์ผ่านทางพระเยซู พระเจ้าเองก็จะทำงานผ่านทางมนุษย์คนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน


พระเยซูวางพระองค์เองอยู่ในระดับเดียวกันกับมนุษย์ทั่วไป เพื่อให้พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าสามารถใช้พวกเขา เพื่องานของพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน พระองค์บอกว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วยและจะกระทำกิจการที่ใหญ่กว่านั่นอีก เพราะเรากำลังไปเฝ้าพระบิดา” (verse 12).


วันนี้ พวกเราบางคนอาจเหมือนฟิลิป คำภาวนาที่เราสวดอาจเป็นดังนี้ “พระเจ้าข้าโปรดทำให้เราเห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว”(verse 8). โปรดแสดงให้เราเห็นพระเจ้าในพระศาสนจักรด้วยเถิด โปรดแสดงให้เราเห็นพระเจ้าที่กำลังมีส่วนในเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกนี้ด้วยเถิด คำตอบของพระเยซูคืออะไร ? “ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราดำรงอยู่พระบิดา?'


พี่น้องครับ เมื่อเราเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักร หรือในโลกของเรา ซึ่งอาจไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เราจึงไม่ควรต่อว่าพระเจ้าว่า พระองค์ไปอยู่ที่ไหน ทำไมพระองค์ละทิ้งพวกเรา แต่ตรงกันข้าม พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอ แต่สิ่งที่เราควรถามกับตัวเองก็คือ “ทำไมพวกเราไม่พบกับพระองค์?” ทำอย่างไรเราจึงจะกลับมาเดินในหนทางของพระองค์ได้อีก พระเจ้ากำลังตรัสอะไรกับเรากับชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตเรา? อย่าให้ใจของพวกเราวุ่นวายเลย เราเชื่อในพระเจ้า ให้เราเชื่อในตัวของเพื่อนมนุษย์ชายหญิง ซึ่งถูกสร้างให้มีความเหมือนกับพระเจ้า .


ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน ค.ศ.2008





ส.3 เทศกาลปัสกา ปี A


พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า มีนักท่องเที่ยวอเมริกันผู้หนึ่ง ได้ไปเยี่ยมรับไบชาวโปแลนด์ซึ่งมีชื่อเสียงมาก ชื่อว่า คาอิม เมื่อเขาเข้าไปในบ้านของรับใบ ก็รู้สึกประหลาดใจมากเพราะในบ้านนั้นมีแต่เพียงชั้นวางหนังสือ, โต๊ะ+เก้าอี้ว่างๆ เขาจึงถามรับใบว่า “รับใบ เฟอร์นิเจอร์ในบ้านท่านไปไหนหมดซะหล่ะ” รับใบตอบว่า “และคุณหล่ะ , เฟอร์นิเจอร์ของคุณอยู่ไหน?” “ของผมรึ” นักท่องเที่ยวงงงง “รับใบครับ ผมเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่นะคร้าบ ผมแค่ผ่านมาเท่านั้น” รับใบตอบว่า “ผมก็เหมือนกัน”


พ่อเริ่มต้นเล่าเรื่องนี้ในวันนี้ ก็เพื่อนำไปสู่การแบ่งปัน ที่พ่อนำมาจากบทอ่านที่ 2 จากจดหมาย น.เปโตร ฉบับที่ 1 ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อให้กำลังใจต่อบรรดาคริสตชนที่กำลังถูกเบียดเบียน เพราะได้เชื่อในพระเยซูเจ้า เปโตรต้องการให้คริสตชนมั่นคงในความเชื่อในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก


แต่ข้อความของ น.เปโตร ไม่ใช่มอบให้กับชาวยิวเท่านั้น แต่สำหรับคริสตชนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วย นั่นหมายถึงพวกเราทุกคนด้วย พ่อเชิญชวนให้ฟังประโยคสำคัญนี้พร้อมกัน
“ถ้าท่านเรียกพระองค์ผู้พิพากษาตามการกระทำของแต่ละคนโดยไม่ลำเอียงว่า “พระบิดา” ก็จงดำเนินชีวิตขณะที่อยู่ในต่างแดนนี้ด้วยความเคารพยำเกรงพระองค์”


พี่น้องครับ ความเชื่อกับชีวิตประจำวันนั้น เปรียบเหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน ความเชื่อที่ไม่มีผลต่อชีวิตก็เป็นความเชื่อที่ไม่มีประโยชน์ พี่น้องลองคิดดูเล่น ๆ ว่า เราเป็นคริสตตังค์ มีความเชื่อ เริ่มต้นจากศีลล้างบาป เติบโต แต่บอกว่าไม่อยากปฏิบัติชีวิตคริสตชน และชีวิตที่ไม่เดินตามความเชื่อ ก็เป็นชีวิตที่หาความจริงไม่ได้


น.เปโตร เตือนเราที่กำลังอยู่ต่างแดน เพราะท่านได้สำนึกว่า โลกนี้ไม่ใช่บ้านแท้ของเรา เราดำเนินชีวิตในโลกนี้ ก็เพื่อกลับไปสู่บ้านแท้ซึ่งมีพระบิดาของเราอยู่ที่นั่น


พระเจ้าไม่ทรงตัดสินเรา เพราะเราเป็นชนชาติอะไร, เรามีเงินมากแค่ไหน, สถานะทางสังคมเป็นอย่างไร, ศาสนาอะไร, แต่ตัดสินตามการกระทำของเรา ดังนั้น เราจึงต้องเอาความเชื่อและการปฏิบัติ ไปควบคู่กัน
ถ้าหากเราแปลประโยคต่างๆ เหล่านี้ให้เข้ากับชีวิตของเรา จิตใจของเราต้องบอกว่า เพราะการดำเนินชีวิตในโลกนี้เป็นการอยู่ต่างถิ่น (ถูกเนรเทศ) พระเจ้าที่เรานมัสการนี้เป็น บิดาแห่งพระเมตตา แต่ พระองค์ก็ทรงตัดสินอย่างยุติธรรมด้วยเช่นกัน เราจึงควรดำเนินชีวิตนี้โดยเกรงกลัวต่อพระเจ้า ความเกรงกลัวนี้ต้องเป็นลักษณะที่เราเคารพยำเกรง เกรงอกเกรงใจด้วยความรักและเคารพ เพราะไม่ต้องการให้พระขุ่นเคืองพระทัย ไม่ใช่กลัวการลงโทษ


พี่น้องคงได้รับชมการถ่ายทอดพิธีมิสซาปลงศพของสมเด็จพระสันตะปาปา เราคงมีความรู้สึกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดพิธี บทเพลง บุคคลสำคัญต่าง ๆที่มาร่วมในพิธี ผู้คนมากมายหลายล้านคนทั่วโลกที่จับตาดูพิธี


สิ่งที่พ่อประทับใจที่สุดในพิธีวันนั้นก็คือ โลงศพ โลงไม้ธรรมดา เรียบง่าย ธรรมดาที่สุด แต่บ่งบอกถึงสัจธรรมและความเรียบง่ายของพระองค์ได้อย่างครบถ้วน ไม่มีดอกไม้วางข้างโลง บนโลง หน้าโลง ฯลฯ มีแต่ความเรียบง่าย ที่สะท้อนให้เห็นว่า บุคคลที่อยู่ในนั้น ต้องการให้โลกเป็นอย่างไร สงบ ราบเรียบ สันติสุข


ความเชื่อของพระสันตะปาปา แสดงออกมาในกิจการของพระองค์ มิใช่เพียงพระองค์มีตำแหน่งเป็นพระสงฆ์ พระสันตะปาปา แต่เป็นสิ่งที่พระองค์ทำตั้งแต่เกิดมาได้รับศีลล้างบาป สิ่งที่พระองค์ได้ทำ ก็คือ นำความรัก, สันติสุข , ความหวังให้กับทุกคน ให้ทุกคนมีความสุขต่อไป ไม่ต้องเสียใจ แต่ให้มีความหวังว่า วันหนึ่งหากเราได้ปฏิบัติชีวิตในความเชื่อเช่นเดียวกับพระองค์ท่านแล้ว เราก็จะได้รับการตัดสินด้วยพระเมตตาและพระยุติธรรมของพระเจ้า เช่นเดียวกับพระองค์ท่านด้วย


ขอให้เราทุกคนตระหนักว่า ชีวิตของเราทุกคนเป็นการเดินทางแสวงบุญในโลกนี้ เพราะทรัพย์สมบัติที่แท้จริง คือพระอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง


ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน