วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2551

ส.4 เทศกาลมหาพรต ปี A - ข้อคิดจากพระวาจา



วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม ค.ศ.2008


พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า เมื่อพ่อมาอยู่ที่นี่ พ่อได้มีโอกาสพบกับคนตาบอด 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือตาบอดแต่กำเนิด กับเพิ่งมาตาบอด (มองไม่เห็นเมื่อสูงอายุ) สิ่งที่พ่อสังเกตก็คือ ทั้งสองกลุ่มต้องการมองเห็น พ่อได้คุยกับคุณยายท่านหนึ่ง คุณยายบอกว่าอยากมองเห็น พ่อบอกคุณยายว่า บางครั้งบางคราวเรามองไม่เห็นบ้างก็ดี ยิ่งในปัจจุบันด้วย หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่ดูเสียก็ยังดีกว่า


วันนี้พระเยซูเจ้าได้รักษาชายคนหนึ่งซึ่งตาบอดแต่กำเนิด การตาบอดคือสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิต เห็นได้ชัดว่า ชายคนนี้ต้องนั่งเป็นขอทานเพราะไม่มีอะไรที่เขาทำได้ ความคิดของชาวยิวก็คือ “นี่คือสิ่งที่เป็นผลมาจากบาป” ขนาดหายแล้วยังไม่อยากจะเชื่อ ถามกันว่า นี่ไม่ใช่คนขอทานที่นั่งอยู่ตรงนั้นหรือ? ไม่รู้อยากให้หาย หรือยังข้องใจว่า หายได้อย่างไร นี่มันคนบาปชัด ๆ นี่คือสิ่งที่น่าประหลาดใจมาก เพราะว่าเพื่อนบ้านไม่ได้ต้องการให้เขาหายดีจากการรักษาของพระเยซู เมื่อพวกฟารีสีได้พยายามบังคับให้เขาปฏิเสธว่า เขาไม่ได้กลับมามองเห็น เพราะพระเยซู ชายตาบอดคนนั้นก็ได้เรียนรู้ว่า คนที่ตาบอดจริง ๆ ไม่ใช่เขา แต่เป็นพวกฟารีสีต่างหาก


พี่น้องครับ สิ่งที่น่าเศร้าใจก็คือ การมืดบอดฝ่ายวิญญาณ หัวใจที่ไม่พร้อมรับแสงสว่างจากพระเยซูเจ้า จิตใจที่ไม่พร้อมที่จะให้อภัยเพื่อนพี่น้อง


พี่น้องครับ ช่วงเวลามหาพรต เป็นช่วงเวลาที่แสงสว่างของพระเยซูเจ้า ได้ส่องเข้ามาในใจของเรามากเป็นพิเศษ ชัดเป็นพิเศษ เข้าใกล้ใจเรามากที่สุด เพราะเราได้เห็นพระองค์จนถึงไม้กางเขน ในความรักที่พระองค์มีต่อเรา รักเรามากที่สุด


ถ้าหากใจเราเป็นเหมือนม่านชัตเตอร์ เปิดรับแวบเดียว แค่สิ่งที่ฉันต้องการ แล้วก็ปิดตัวเอง ไม่รับพระองค์อีก พระองค์มาแค่ที่ฉันต้องการก็พอ เวลาอื่นไม่ต้อง


พี่น้องครับ พระวาจาเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราทุกยุคทุกสมัย ทุกช่วงเวลาแห่งชีวิต พระวาจานี้เป็นเหมือนแสงที่ส่องสว่างในใจของเรา เราทุกคนเกิดมาด้วยใจที่ยังบอด เราได้รับศีลล้างบาปซึ่งเปิดใจเรา ทำให้เราเริ่มต้นเดินทางในความเชื่อ ตามแบบอย่างของพระคริสตเจ้า ชีวิตที่เราได้รับจากศีลล้างบาป ทำให้เรามีพลังในการนำพระคริสตเจ้าไปในทุกสิ่งที่เราทำและทุกคนที่เราพบ


พี่น้องครับ แสงสว่างเปรียบเหมือนชีวิตของพระเยซูและความมืดเป็นภาพของความชั่วร้าย เราแต่ละคนก็สามารถให้แสงสว่างนี้เมื่อเรารักกัน มีชีวิตคริสตชนที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีต่อกัน


มหาพรต จึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ทบทวนชีวิต ทบทวนดูความตั้งใจดีของเรา ดูว่า ชีวิตปัจจุบันของเราเป็นอย่างไร? ครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน อดทนกัน รับรู้สภาพที่เป็นไปของแต่ละคน เมื่อนั้นเราก็เข้าใกล้การเป็นแสงสว่างให้แก่กันและกัน


พี่น้องครับ ความมืดมนในจิตใจ ก็เปรียบได้กับการที่เราไม่รักกันและความมืดบอดใสนการอิจฉา ริษยากัน และนั่นทำให้เรา ไม่สามารถมองความดีของผู้อื่นได้นั่นเอง


พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าขอร้องให้เรา มองดูข้อบกพร่องของเราเองเพราะ ความบกพร่องนั้นมาจากความมืด ซึ่งไม่ง่ายที่จะปฏิบัติ ต้องใช้เวลาและเรียกร้องความอดทนเพราะหลายคนก็ล้มเลิกกลางทาง พระเยซูรู้ว่าเราทุกคนมีความอ่อนแอและพระองค์ต้องการช่วยเราให้รอด เรามาหาพระองค์ก็เพราะเราต้องการรักษาจากพระองค์เช่นกัน เราถูกเรียกร้องให้เดินตามแสงสว่างนั้น


ขอให้พี่น้องทุกคนดำเนินชีวิตในแสงสว่างของพระคริสตเจ้า ขอให้ความมืดบอดทั้งหลายในชีวิตของเราต้องพินาศไปเพราะแสงสว่างแห่งความดี ความจริงของพระเยซูเจ้า พระเจ้าของเรา


ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ลูกเองไม่ได้เป็นคนดีนัก แต่ลูกมีความหวังว่าจะทำได้อย่างที่คุณพ่อสอนมานี้

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เข้ามาอ่านแล้วได้ข้อคิดกลับไปทุกครั้ง จะพยายามทำให้ได้บ้างนะค่ะ เพราะบางครั้งมันก็ยากที่จะยอมรับค่ะ