
Don't Worry Be Happy?
1. สวัสดีพี่น้องที่รัก ในบทอ่านที่สองในวันนี้ น.เปาโลให้มุมมองที่สำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะสามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตของเราได้ "พี่น้อง จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด”(ฟป.4:4) และ "อย่ากระวนกระวายใจถึงสิ่งใดเลย”.(ฟป.4:6) ความหมายคล้ายๆกับเพลงฮิตของ Bobby Mcferin ที่ชื่อว่า, Don't Worry Be Happy?
2. แม้ว่าเราจะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยของเล่นมากมาย , ความสะดวกสบายต่างๆมากมาย แต่มีผู้คนเป็นจำนวนมากที่มีความรู้สึกว่า เขาขาดประสบการณ์แห่งสันติสุขที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขา ตรงกันข้าม เขากลับมีแต่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความกังวลใจในเรื่องต่างๆและความวิตกกังวลมากมาย ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหา อย่างกับเพลงของ บอบบี้ ได้บอกว่า
“อย่าไปกังวลในเรื่องใดใด จงมีความสุขเถิด”
• ทุกชีวิตมีปัญหา เมื่อเรากังวล เราก็ทำให้มันเพิ่มเป็นสองเท่า ฉะนั้น อย่ากังวลเลย จงมีความสุขเถิด
• ถ้าหากเธอไม่มีที่จะหนุนศีรษะนอน มีคนมาขโมยที่นอนของเธอไป จงอย่ากังวลเลย จงมีความสุขเถิด
3. พี่น้องครับ ทั้ง น.เปาโล และบ๊อบบี้ มีสิ่งที่แตกต่างกันก็คือ บ๊อบบี้บอกเราว่า อย่ากังวลเลย จงมีความสุขเถิด แต่ไม่ได้บอกเราว่า ทำไมเราต้องมีความสุข หรือ การไม่ต้องกังวลนั้นสำคัญอย่างไร? ตรงกันข้าม น.เปาโล บอกเราในวันนี้ ว่า ทำไมเราจึงต้องมีความสุข และ เราจะลบล้างความกังวลต่างๆให้หมดไปได้อย่างไร น.เปาโลได้ให้กุญแจที่จะไขไปสู่ความสุขนั้นแก่เราทุกคน.
4. ในส่วนแรกของบทอ่านในวันนี้ บอกกับเราว่า ทำไมเราจึงต้องมีความสุขและละทิ้งความกังวลใจทั้งหลาย "จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด, ข้าพเจ้าขอย้ำอีกว่า จงให้ความอ่อนโยนของท่านทั้งหลายปรากฏแก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว” (4:4-5). เราควรจะมีความสุขมิใช่เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดีชีวิตเราโอเคแล้ว , มิใช่เพราะสุขภาพเราดี ,ฐานะการเงินของเราดี, มิใช่เพราะมีคนเอาของขวัญคริสตมาสกล่องใหญ่ๆ มาให้เรา แต่เป็นการที่เรารู้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว”
5. เราควรที่จะมีความสุข มิใช่เพราะสิ่งที่เราเห็นผ่านมาในอดีต หรือสิ่งที่เราเห็นเฉพาะในวันนี้ แต่เพราะสิ่งที่เราเชื่อว่ากำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต นั่นคือ ความสุขซึ่งมาจากความเชื่อที่ผลิบานและ ความหวังว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเสด็จมาเช็ดคราบน้ำตาของทุกดวงตาที่กำลังร้องให้
6. ชายคนหนึ่ง ป่วยเป็นโรคลูคีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว ก่อนที่ชายคนนี้จะตาย 1 สัปดาห์ ชายคนนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “ทำไมต้องเป็นผม? ผมไม่เคยสูบบุหรี่, หรือแตะต้องแอลกอฮอล์เลยตลอดชีวิต ผมรู้จักคนหลายคนที่ทั้งดื่มและสูบ และดำเนินชีวิตแบบผิดๆ แต่พวกเขาก็ไม่เป็นมะเร็งเลยสักคน แล้วทำไมต้องเป็นผมด้วย"
7. ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้ แต่ น.เปาโล ก็ย้ำเตือนเราในวันนี้ว่า การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะเป็น ความสุขสำหรับผู้ที่เชื่อและมีความหวังในพระองค์
8. ทำไม น.เปาโล จึงบอกเช่นนั้น หากเราศึกษาชีวิตของท่าน เราก็จะรู้ว่า ทำไมท่านจึงเขียนเช่นนั้น เพราะ น.เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้จากในคุก เป็นนักโทษ อยู่ในที่ที่ท่านก็ไม่รู้ว่า จะได้ออกไปจากคุกหรือเปล่า หรือจะมีชีวิตรอดออกไปหรือไม่ ท่านไม่ได้สอนเราด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ท่านสอนเราด้วยชีวิตของท่านเอง "จงชื่นชมยินดีเถิด จงให้ความอ่อนโยนของท่านทั้งหลาย ปรากฏแก่คนทั้งปวงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาใกล้แล้ว”
9. น.เปาโลบอกว่า "อย่ากระวนกระวายถึงสิ่งใดเลย จงทูลขอพระเจ้าให้ทรงทราบ โดยคำอธิษฐาน การวอนขอ พร้อมด้วยการขอบพระคุณ" (4:6) ในทุกสถานการณ์,ในทุกๆ ความยากลำบากหรือปัญหาใดใด น.เปาโลรู้ว่า มีสิ่งหนึ่งที่เราควรทำมากกว่า ความกระวนกระวายก็คือ การยกสิ่งต่างๆ มอบให้กับพระเจ้าในคำภาวนา น.เปาโล ไม่ได้ขอให้เราปฏิเสธปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิต แต่ขอให้เราตั้งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา ด้วยการสวดภาวนา เปลี่ยนความกังวลนั้นเป็นคำภาวนา
10. นั่นหมายถึงการทีเราสามารถ มีชีวิตที่เป็นสุขได้ สุขสันติในพระเจ้า ซึ่งคนรอบข้างเราไม่เข้าใจ "แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินสติปัญญาจะเข้าใจได้นั้น จะคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเยซู" (4:7). เป็นสันติสุขที่พระเจ้าประทานให้ สันติสุขที่ไม่เหมือนกับที่โลกให้ และเราทุกคน เรียนรู้ที่จะวางใจในพระองค์ในทุกสิ่งและทุกๆ สถานการณ์ของชีวิต เราเรียนรู้ที่จะนำทุกสิ่งถวายแด่พระเจ้าในคำภาวนาของเรา
11. ไม่ว่าในเวลานี้ เราจะพบกับอุปสรรคและปัญหาที่ใหญ่โตเพียงใด เราก็ภาวนาด้วยความร่าเริงยินดีและด้วยความมั่นใจเช่นเดียวกับ นักโทษเปาโลในเวลานั้นที่ภาวนาว่า “เชิญเสด็จมาเถิด พระเยซูเจ้าข้า”
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน .....