"ปราศจากเราแล้ว ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย" (เทียบ ยน 15:5) "Without you, I can do nothing" (Jn 15:5)
My Profile
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ส.22 เทศกาลธรรมดา ปี B -
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2552/2009
นักบวชสององค์ คนหนึ่งชื่อว่า บราเดอร์ฟรังซิส อีกองค์นั้นอาวุโสกว่า กำลังเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยโคลนและฝนก็กำลังตก ขณะที่กำลังเดินไปนั้นเอง ก็ได้พบกับเด็กสาวน่ารักในชุดผ้าไหมอย่างดี กำลังยืนด้วยความกลัวที่จะข้ามแม่น้ำไป เพราะว่ามีน้ำท่วมและโคลนเลนมากมาย “มาเลยสาวน้อย” บราเดอร์ฟรังซิสบอก และเข้าไปอุ้มเด็กหญิงคนนั้นไว้ในแขนที่แข็งแรงของบราเดอร์ แล้วก็พาเธอข้ามแม่น้ำไป นักบวชทั้งสองก็เดินไปด้วยกันอย่างเงียบๆจนมาถึงอารามของพวกเขา พระอาวุโสกว่าที่นิ่งเงียบมานานก็พูดขึ้นมาว่า “พระไม่ควรจะเข้าใกล้หญิงสาว” พระอาวุโสว่า “ไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวย ทำไมเธอถึงทำเช่นนั้น” บราเดอร์ฟรังซิสก็ตอบว่า “พี่ชายที่รัก, ผมได้วางเด็กหญิงคนนั้นไปที่ริมฝั่งแม่น้ำตั้งนานแล้ว แต่ว่า พี่ชายยังคงแบกเธอมาตลอดทางจนถึงอารามแห่งนี้”
ในพระสององค์นี้ เราได้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างชีวิตฝ่ายจิตของคริสตชนด้วย นั่นคือ สิ่งที่หลีกเลี่ยงและสิ่งที่ควรรวมเข้าไว้ 1. ชีวิตจิตแบบหลีกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแนวคิดของศาสนาในยุคดั้งเดิม และก็หลีกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่คนที่ทำบาป ก็ต้องหลีกเลี่ยง เป้าหมายก็คือ คนคนนั้นจะได้ไม่เป็นคนบาปไปด้วย
2. ชีวิตจิตแบบที่สอง ให้ความสนใจต่อคนบาป ผู้ซึ่งบ่อยครั้งเราบอกว่า ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปสัมผัสแตะต้อง แบบนี้ไม่ต้องหนีแต่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ และเชื่อว่า การจุดเทียนเล่มหนึ่ง ดีกว่าการนั่งด่าแช่งความมืดมิด
ความสมดุลย์ของชีวิตของคริสตชน ก็คือ เราต้องทำให้ทั้งสองแบบกลมกลืนกัน อย่างที่ น.ยากอบบอกกับเราว่า “ความเลื่อมใสศรัทธาบริสุทธิ์และไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าพระบิดา คือ การเยี่ยมเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน(การรวมเข้ากับโลก) และการรักษาตนให้พ้นจากมลทินของโลก(การหลีกหนีจากโลก) ” ยากอบ 1:27
ในพระวรสารในวันนี้ บรรดาฟารีสีและธรรมาจารย์ ได้พูดแต่เรื่อง ชีวิตจิตแบบหลีกเลี่ยงทุกอย่าง (ที่อาจทำให้เป็นมลทิน) พุ่งไปที่พิธีกรรมต่างๆ บ่นเรื่องการไม่ล้างมือก่อนกินข้าว สนใจแต่ในเรื่องพิธีกรรมการล้างมือซึ่งหมายถึงความแตกต่างกับชาวต่างชาติ แต่ไม่ได้สังเกตว่า สิ่งที่พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ของพระองค์ทำก็คือ การที่ไม่มองเห็นความแตกต่างระหว่างชาวยิวหรือชาวต่างชาติ แต่สนใจว่า จะทำให้ทั้งสองชาติเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? พระองค์จึงตรัสว่า “พระองค์ทรงเรียกประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตรัสว่า “ทุกคนจงฟัง ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์ทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั่นแหละ ทำให้เขามีมลทิน” (Mark 7:14-15)
ประโยคเดียวของพระเยซูเจ้านี่แหละ ลบล้างรูปแบบของศาสนาที่มีแต่ความกลัว การหลีกเลี่ยงอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งหมด ลบล้างความแตกต่างระหว่างบุคคล คนต่างชาติไม่ทำให้คนยิวไม่สะอาด ในขณะเดียวกันคนยิวก็ไม่ได้ทำให้คนต่างชาติไม่สะอาด
ไม่มีอะไรและไม่มีใครที่มาจากภายนอก ที่จะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ ถ้ามีใครสักคนหรือของบางอย่างทำให้เรารู้สึกมีมลทินได้ นั่นก็อาจบอกได้ว่า เรานี่แหละที่ทำให้เป็นมลทินก่อนเป็นคนแรก เราจำเป็นต้องมองให้ลึกลงไปในหัวใจและวิญญาณของเรา คนที่มีใจสะอาด มองไม่เห็นอะไร นอกจากทุกที่และทุกคนเป็นคนบริสุทธิ์
“ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะจะได้เห็นพระเจ้า”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมพระเยซูจึงไม่รังเกียจที่จะสัมผัสต่อคนพิการ ไปกินข้าวกับคนบาป และยอมให้ หญิงไม่สะอาดมาสัมผัสพระองค์ พระองค์ทรงเข้าร่วมชีวิตกับคนบาป จนพระองค์มีชื่อเล่นที่พวกเขาตั้งให้ว่า “เป็นเพื่อนของคนเก็บภาษีและคนบาป” (Matthew 11:9).
วันนี้เป็นวันดีที่เราจะได้มองเข้าไปดูในหัวใจของเรา ในชีวิตฝ่ายจิตของเราอีกครั้งหนึ่ง และถามตนเองว่า เราเป็นเหมือนพระอาวุโสองค์นั้นหรือเปล่าที่อาจทิ้งให้เด็กหญิงคนนั้น ยืนหนาวด้วยความกลัว แต่พระอาวุโสนั้น ก็ไม่ยอมช่วยเพราะกลัวจะเสียความศักดิ์สิทธิ์ไป?
พระวรสารในวันนี้จึงท้าทายเราให้เราเป็นเหมือนกับ บราเดอร์ฟรังซิส ที่พร้อมจะช่วยเหลือต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งๆที่รู้ว่า นี่อาจทำให้เป็นมลทินได้ แต่ในเวลาเดียวกัน สิ่งสำคัญก็คือ ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่ทำให้เราเป็นมลทินได้
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้อง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
2 ความคิดเห็น:
ขอบคุณที่ให้คำแนะนำที่ดี เพราะบางครั้งเราก้อยึดติดอยู่กับธรรมเนียมที่ไม่ใช่เรื่องแบบนี้อยู่เหมือนกันค่ะ
ดีใจนะที่ได้อ่านงานเขียนของพ่ออีก ยังติดตามอ่านอยู่เรื่อยๆ นะ
ถูกใจมากสำหรับบทเทศน์นี้ นี่ขนาดแค่ได้อ่านเท่านั้นนะ ถ้าได้ฟังคุณพ่อเทศน์สดๆคงจะดีกว่านี้อีก
แสดงความคิดเห็น