วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ส.17 เทศกาลธรรมดา ปี B - อาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2552-2009

• เด็กชายคนหนึ่งก็ไปเรียนคำสอนที่วัดในวันอาทิตย์ เมื่อเรียนเสร็จแม่ก็ไปรับ ระหว่างทางที่กำลังนั่งในรถนั้นเอง เขาก็บอกแม่ว่า “เรื่องโมเสสและผู้คนที่ข้ามทะเลแดงมีบางสิ่งบางอย่างครับแม่” “ไหนบอกแม่มาซิ”

• "เมื่อชาวยิวได้รับอนุญาตให้ออกจากแผ่นดินอียิปต์แล้ว แต่กษัตริย์ฟาโรห์และกองทัพก็ยังไล่ตามพวกชาวยิวไป ชาวยิวก็เลยวิ่งหนีให้เร็วที่สุด จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทะเลแดง กองทัพของกษัตริย์ก็ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา โมเสสก็เลยใช้วิทยุสื่อสารไปบอกกองทัพอากาศอิสราแอลให้ส่งเครื่องรบมาบอมบ์พวกอียิปต์ และในขณะนั้นเอง กองทัพเรือของอิสราแอลก็สร้างแพเพื่อให้ชาวยิวได้เดินข้ามทะเลแดงไปได้”

• แม่ก็ช๊อคไปเลยแล้วจึงถามลูกชายว่า “นี่เขาสอนลูกอย่างนี้หรือ?” "ก็ไม่เชิงครับแม่" ลูกชายตอบ"แต่ถ้าผมเล่าแบบที่เขาเล่ามา แม่ก็ไม่เชื่อผมอยู่ดีนั่นแหละ”

• เด็กน้อยคนนี้คิดแบบเด็กๆ และอาจไม่เชื่อในเรื่องอัศจรรย์ใดใดและไม่มีที่ว่างสำหรับความจริงทางจิตวิญญาณ ทางด้านจิตใจ.

• ในพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ เรื่องราวของการเลี้ยงคน 5 พันคน น.ยอห์น อ้างถึงชื่อของศิษย์ 2 คนคือ ฟิลิปและอันดรูว์ ศิษย์สองคนนี้สามารถเป็นตัวแทนของ ความเชื่อในสองรูปแบบ

• ฟิลิป เป็นตัวแทนของ ความเชื่อแบบจับต้องได้ *อันดรูว์เป็นตัวแทนของความเชื่อแบบเหนือธรรมชาติ ทำให้อันดรูว์มีที่ว่างสำหรับอัศจรรย์ต่างๆและทำให้อัศจรรย์นั้นเป็นไปได้

พระเยซูและบรรดาศิษย์ของพระองค์ได้พบกับปัญหา ฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์ ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พระเยซูจึงหันไปหาฟิลิปและถามว่า “พวกเราจะไปซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน? (John 6:5). เราจึงตั้งคำถามว่า ทำไมพระเยซูจึงหันไปหาฟิลิปและทำไมจึงถามเรื่องการไปซื้อขนมปัง? บางทีพระเยซูอาจรู้ว่า ในจิตใจของฟิลิปนั้น ไม่อาจรับเรื่องที่ว่า จะเลี้ยงคนจำนวนมากมายนั้นได้อย่างไร? ยกเว้นแต่ต้องอาศัยเงิน? และนี้คือสิ่งที่ น.ยอห์นได้เพิ่มเติมเข้าไปว่า "พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา” (ข้อที่ 6). คำตอบของฟิลิปแสดงให้เห็นถึงการคำนวนเพียงแต่ตัวเลข คำนวนแต่ทางด้านวัตถุเท่านั้น "ขนมปังสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ไม่พอ”(ข้อที่7). แต่พระเยซูเจ้าทรงรู้ดีว่าพระองค์ทำอะไร พระองค์ถามคำถามเช่นนี้ เพื่อปลุกความคิดเรื่องเกี่ยวกับวัตถุแต่เพียงอย่างเดียวของฟิลิป

สำหรับอันดรูว์ ความเชื่อสำคัญกว่า พูดขึ้นมาว่า "เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว” (ข้อ 9). อันดรูว์รู้ดีว่า ขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวไปสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรเลย ต่อหน้าจำนวน 5000คน นับเฉพาะชาย ยังไม่รวมผู้หญิงและเด็ก

แต่อันดรูว์มีความเชื่อเพียงพอที่จะเห็นว่า ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เพียงพอสำหรับการเริ่มต้น. บางทีอันดรูว์อาจจะอ้างถึงปลา 2 ตัวกับขนมปัง เพราะท่านจำได้ว่า ที่งานเลี้ยงแต่งงานที่เมืองคานา พระเยซูยังเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นได้เลย ท่านจำได้ว่า พระเยซูมิได้ทำเปลี่ยนน้ำเป็ฯเหล้าจากความว่างเปล่า แต่ทำอัศจรรย์จากบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ และเป็นหน้าที่ของบรรดาศิษย์ที่จะต้องเป็นผู้จัดหาสิ่งธรรมดาๆ เพื่อพระเยซูเจ้าจะได้ทรงทำอัศจรรย์ได้ เหมือนอย่างการเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น, หรือขนมปังที่จะเลี้ยงคนจำนวนมากๆ

ดังนั้น ความเชื่อไม่ได้หมายความว่า เราไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วก็มองไปที่สวรรค์เพียงอย่างเดียว แทนที่จะทำอย่างนั้น เราต้องเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แม้เป็นเพียงแค่ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ อัศจรรย์คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน
• อัศจรรย์ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อเรา แต่พระองค์ทรงทำร่วมกับเราด้วย
• เฮนรี่ ฟอร์ด เคยกล่าวไว้ว่า "ไม่ว่าคุณจะคิดว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ คุณก็ถูกเสมอ"
• เช่นกันเราอาจจะบอกได้ว่า ไม่ว่าคุณจะเชื่อในอัศจรรย์หรือไม่ก็ตาม ผู้ที่มีความเชื่อก็สามารถทำให้เกิดอัศจรรย์ในชีวิตของเราได้เสมอ

ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อ ก็ปิดโอกาสของตัวเองที่จะมีประสบการณ์เกี่ยวอัศจรรย์ต่างๆ ดังเช่นที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสไว้เสมอๆ ว่า “จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อเถิด” (Matthew 9:29)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ส.16 ธรรมดา ปี B - 19 ก.ค.2009

• มีรูปภาพในยุคแรกเริ่มของคริสตชนที่วาดบนกำแพงในอุโมงคาตากอมในกรุงโรม ก็คือรูปของพระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะ กำลังอุ้มลูกแกะอยู่บนบ่า สิ่งนี้เป็นหัวใจหลักของแนวคิดของคริสตชนในยุคแรกเริ่มที่วันนี้เราได้ฟังพระวรสารซึ่งพระคริสตเจ้าได้ทรงสงสารบรรดาผู้คนที่พวกเขาเหมือนกับแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง
• เหตุการณ์ในเวลานั้น ก็คือ ช่วงเวลาที่บรรดาศิษย์ที่กลับมาจากการทำงาน กลับมาจากการมีประสบการณ์ครั้งแรก พวกเขาเหนื่อยและจำเป็นที่จะต้องได้รับการพักผ่อน พระเยซูทรงรู้ถึงความต้องการนี้และพระองค์ต้องการพาพวกเขาไปสู่ที่เงียบสงบ เพื่อพวกเขาจะได้ผ่อนคลายและใช้เวลาว่างๆเพื่อสวดภาวนา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
• เพราะว่ามีผู้คนมากมายที่ติดตามไปทุกที่ที่พวกเขาไปและไปถึงก่อนพวกเขา บางทีอาจมีบางคนที่คาดว่า พระเยซูต้องไล่ผู้คนเหล่านั้นไป แต่พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนสถานการณ์เหล่านั้น กลายเป็นการสนใจต่อความต้องการของผู้คนเหล่านี้
• พี่น้องครับ เรามาเรียนรู้หัวใจของพระเยซูที่พระองค์ทรงสนใจต่อความต้องการของผู้อื่นก่อนที่จะสนใจเรื่องของตนเอง และถ้าพระเยซูเจ้าไม่ทรงพักผ่อน เราเองซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ก็คงต้องไม่พักเช่นกัน
• เมื่อหน้าที่จากศีลล้างบาปเรียกร้องจากเรา เราทุกคนจึงมีความรับผิดชอบและมีหน้าที่ของการเป็นชุมพาบาลด้วยเช่นกัน
• พ่อยกตัวเช่นในครอบครัวของเรา หากเด็กๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่และให้คำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม เด็กๆ เหล่านั้นก็อาจหลงเดินทางผิดและดำเนินชีวิตอย่างไร้จุดหมาย
• พี่น้องครับ การเป็นนายชุมพาบาลที่ดีอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นนั้นคือ อย่าทำให้เป็นหน้าที่ หนทางที่พระองค์ต้องการให้เราเดินก็คือ ทางตรงและหนทางแคบๆ ของพระบัญญัติ 10 ประการ แม้ว่า เราจะติดต่อกับพระเยซูเจ้าโดยการภาวนาได้ แต่เราก็พบว่า มีหนทางอื่นๆ ที่อาจดึงดูดใจของเราให้หลงเดินนอกทางของพระองค์
• พี่น้องครับ สิ่งที่พระวรสารบอกเราในวันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราต้องหาสถานที่เงียบๆ สำหรับชีวิตของเรา เพื่อเราจะสามารถอยู่ตามลำพังกับพระเยซูเจ้าในการสวดภาวนา และเหมือนกับพระเยซูเจ้า เราจำเป็นจะต้องหลีกหนีเวลาที่ทำให้เรายุ่งวุ่นวายตลอดเวลา และหนีจากความกดดันต่างๆในชีวิตของเราเพื่อจะรับฟังเสียงแห่งการรักษาเยียวยาจากพระเจ้าและทำให้จิตวิญญาณของเราสดชื่นขึ้น เสียงของพระเจ้าเป็นเสียงที่ดีที่สุดในการทำให้เราเกิดความสงบ เพียงแต่เราให้พระเยซูเจ้าทรงเข้ามาสร้างบ้านของพระองค์ในหัวใจของเรา มันจะทำให้เราได้รับพละกำลังและความเข้มแข็งจากพระเจ้าเพื่อช่วยเราในการดำเนินชีวิต
• พี่น้องครับ การภาวนาโดยลำพังกับพระเจ้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตของเรา เมื่อเราอยู่ตามลำพังกับพระองค์ เราต้องถามตัวเราเองว่า ชีวิตของเรากำลังจะไปที่ไหน?และเราจะทำให้ชีวิตเราบรรลุถึงสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร? เพราะถ้าเราไม่มีที่ว่างให้กับพระเจ้าในชีวิตของเรา เราก็เสียเวลาเปล่าๆ และมองไม่พ้นจากสิ่งที่เราทำในชีวิตของเราเท่านั้น
• พี่น้องครับ ชีวิตของเรานั้นศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว แต่เราจะฟไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จนกว่าเราจะยอมรับความรักของพระเจ้าที่ให้เราได้มีส่วนและพักอยู่กับพระองค์แม้เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ตาม
• ขอพระเจ้าอำนวยพรแด่พี่น้องเสมอ

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2552.......


ส.15 เทศกาลธรรมดา ปี B
ชาวนาคนหนึ่งได้ว่าจ้างช่างไม้ให้มาซ่อมโรงนาเก่าๆ ของเขา วันแรก ช่างไม้ก็ทำงานได้ไม่ดีเท่าไร แถมยังมาทำงานสายเพราะยางรถแบน ระหว่างทางก็ทำเลื่อยไฟฟ้าพัง และในวันสุดท้ายรถเก่าๆก็สตาร์ทไม่ติด ชาวนาต้องขับรถไปส่งที่บ้านของช่างไม้ เมื่อมาถึงบ้าน ช่างไม้ก็เชิญชาวนาเข้าบ้านเพื่อพบปะกับครอบครัวของเขา

ขณะที่กำลังเดินผ่านประตูหน้าบ้าน ช่างไม้ก็หยุดที่ต้นไม้เล็กๆหน้าบ้าน เอามือทั้งสองจับที่ต้นไม้ แล้วจึงเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้ม พร้อมทั้งกอดลูกๆทั้ง 2 และจูบภรรยา หลังจากนั้นเขาก็เดินไปส่งชาวนาที่รถ เมื่อกำลังเดินผ่านต้นไม้นั้น ชาวนาก็อดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้นว่า เขาทำอะไรที่ต้นไม้ก่อนเข้าบ้าน ช่างไม้ตอบว่า “นั่นคือต้นไม้แห่งปัญหา” ผมไม่รู้หรอกว่า ปัญหาของผมจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือ ปัญหานั้นจะต้องไม่เข้ามาในบ้านของผม ไม่มาถึงภรรยาและลูกๆ ของผมอย่างแน่นอน ดังนั้น ผมจึงแขวนปัญหาต่างๆไว้ที่ต้นไม้นี้ ทุกๆ คืนเมื่อผมกลับมาบ้าน และเมื่อถึงตอนเช้าผมก็จะมาเอามันไป แต่มีเรื่องน่าขันก็คือ ทุกครั้งในเวลาเช้าที่ผมจะมาเอามันไป ปรากฏว่า มันก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว

พี่น้องครับ การมีต้นไม้แห่งปัญหา เป็นวิธีการที่ช่างไม้คนนี้ได้ตกลงกับตัวเองว่า จะจัดการกับปัญหาประจำวัน เพราะปัญหาและความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราทุกคนจึงต้องการต้นไม้แห่งปัญหา สิ่งนี้เองที่พระเยซูบอกกับศิษย์ของพระองค์ให้ไปประกาศข่าวดีให้กับโลก สอนพวกเขาให้ฉลาดที่จะจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยต้นไม้แห่งปัญหา “ถ้าที่ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากที่นั่น พลางสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานปรักปรำเขา”(Mark 6:11).

หรือ ถ้าท่านได้พยายามสอนผู้คนในหมู่บ้านและท่านพบกับความล้มเหลว จงอย่าให้ความล้มเหลวทำให้คุณรู้สึกแย่ จงสลัดฝุ่นและไปหมู่บ้านใหม่และเริ่มต้นด้วยหน้าตาสดชื่นแจ่มใส การสลัดฝุ่นออกจากเท้าเป็นวิธีการเดียวกับการแขวนปัญหาต่างๆไว้ที่ “ต้นไม้แห่งปัญหา” นั่นเอง
สิ่งที่เหมือนกันของ บรรดาศิษย์และช่างไม้ที่ชาญฉลาดนั้นก็คือ เราจำเป็นต้องมี ต้นไม้แห่งปัญหานั้น ทำไม? ก็เพราะว่าการเริ่มต้นด้วยปัญหาและความล้มเหลวนั้น เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันอยู่ในชีวิตของเราทุกคน แต่บางครั้ง เราจมอยู่กับปัญหานั้นนานไปหน่อยและให้ปัญหานั้นปล้นเอาความกระตือรือล้นและความสุขของเราไป บางครั้งเรายอมให้ปัญหาและความกดดันต่างๆ จากที่ทำงานมาสู่ที่ครอบครัวของเรา เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราจำเป็นต้องมีต้นไม้แห่งปัญหา ที่ซึ่งเราสามารถแขวนปัญหาและลืมปัญหาของเรา อย่างน้อยที่สุดก็ชั่วขณะหนึ่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องจบแต่ละวัน ด้วยการสลัดฝุ่นแห่งความกังวลและความล้มเหลวออกจากเท้าของเรา และรู้ว่า พรุ่งนี้ก็เป็นวันใหม่ ที่เราสามารถเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆได้เสมอ ฟุตบอลที่แพ้วันนี้ 10-0 พรุ่งนี้สกอร์บอร์ดก็เริ่มต้นที่ 0-0

พี่น้องครับ ทำอย่างไรถ้าเราไม่มีต้นไม้แห่งปัญหา? ถ้าเราไม่มีทางสลัดฝุ่นแห่งความล้มเหลวของเมื่อวานออกจากเท้าของเรา ฝุ่นมันยังเกาะเท้าเราแน่นทีเดียว สะสมไปเรื่อยๆ หนักขึ้นๆ ผลก็คือ ทำให้เราตกต่ำและสิ้นคิด เราล้มเลิกทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่ไปหมู่บ้านใหม่ๆแล้ว ไม่มีโครงการใหม่ๆในชีวิตแล้ว แต่พระเยซูเจ้าไม่ต้องการให้เราเป็นแบบนั้น พระองค์ต้องการให้เราเป็นผู้ที่เริ่มต้นใหม่ทุกวัน วันใหม่ ความท้าทายใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ

พี่น้องครับ ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้เตรียมให้เราพบกับความล้มเหลว พบกับความอ่อนแอต่างๆมากมาย และรู้ว่า เรายังเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง นักบุญทั้งหลายมิใช่คนที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ไม่ใช่คนที่ไม่เคยทำผิดพลาด แต่พวกเขาเป็นคนที่ตระหนักถึงความผิดพลาดนั้น รู้ตัว แก้ไข เริ่มต้นใหม่แล้วก้าวไปข้างหน้าทุกๆวัน ด้วยความหวังใหม่ๆ ในพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงดูแลเราด้วยต้นไม้แห่งปัญหา นั่นคือ พระคริสตเจ้า

“พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้ในพระวรกายบนไม้กางเขน”(1 Peter 2:24).ผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะศีลอภัยบาป เราสามารถเข้าไปถึงต้นไม้แห่งชีวิต ทำได้โดยการภาวนาในแต่ละวันอย่างที่ น.เปโตรได้บอกเราว่า

“จงละความกระวนกระวายทั้งมวลของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน”(1 Peter 5:7).

ขอพระเจ้าอำนวยพระพรแด่พี่น้องเสมอ