วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

อาทิตย์ พระทรมาน - วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม ค.ศ.2008



พี่น้องที่รักครับ เรื่องราวพระทรมานของพระเยซูเจ้านั้น เป็นเหตุการณ์แห่งประวัติศาตร์แห่งความรอด ซึ่งเราได้ยินได้ฟังทุกปีทุกปี เพื่อเป็นการทบทวน , ระลึกถึงเหตุการณ์ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะน่ารัก หรือไม่น่ารัก คนนั้นจะเป็นลูกที่ดี หรือไม่ดีของพระ พระศาสนจักรก็ยังเชิญชวนให้เราระลึกถึงเหตุการณ์แห่งความรักนี้ทุกๆ ปี

พี่น้อง 2 คน คนพี่กับคนน้อง คนพี่เป็นคนดี , น้องตรงกันข้าม ,วันหนึ่งน้องกลับมาบ้านด้วยเสื้อเปื้อนเลือด และก็บอกกับพี่ชายของตนเองว่า “ผมฆ่าคนตาย” ณ เวลานั้นเอง ตำรวจก็ล้อมบ้านของพวกเขาไว้ พี่ก็เปลี่ยนเสื้อกับน้อง สุดท้ายพี่ก็ถูกจับ ถูกตัดสินประหารชีวิต พี่ตาย น้องรอด

พี่น้องครับ เรื่องที่พ่อเล่า กับเรื่องในพระคัมภีร์มีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ มีคนที่ตาย ตายเพราะความรักที่มีต่ออีกผู้หนึ่ง และถ้าเป็นเรา สิ่งที่เราควรทำคืออะไร? พ่อคิดว่า เราคงคิดเหมือนๆ กันว่า

การกตัญญูรู้คุณต่อพระเยซู และถ้าเราเป็นน้องคนนั้น เราคงต้องกตัญญูต่อพี่ชาย เป็นเรื่องสำคัญสุด เพราะนี่คือชีวิตที่บอกพระเจ้าบอกเราว่า “พระเจ้ารักเรา” และเมื่อเรารู้ว่า “พระเจ้ารักเรา” แล้วเราต้องตอบสนองความรักนี้อย่างไร?

พี่น้อง จากเรื่องที่พ่อเล่า สิ่งที่เราหวังว่า น้องชายจะทำเพื่อพี่ชายที่ตายไปนั้นคืออะไร? เราหวังว่า น้องชายคนนั้นจะตอบสนองด้วย “ความกตัญญูรู้คุณ” นั่นคือ การที่เขาจะกลับตัว กลับใจดำเนินชีวิตให้ดีที่สุด เขาต้องไม่ดำเนินชีวิตในแบบเดิมๆ ที่จะทำให้พี่เดือดร้อนอีก
ความกตัญญูต้องทำให้เขาคิดถึงคืนวันที่พี่ชายของเขายังมีชีวิตอยู่ และแต่ละวันที่มีชีวิตอยู่นั้น ก็ต้องคิดถึงพี่ชายที่ได้ตายเพื่อเขา และที่สุด ถ้าพี่ชายของเขามีภรรยาและลูกๆ เขาก็ต้องช่วยพี่ชายในการดูแล รักภรรยาของพี่และดูแลลูกของพี่ให้ดีที่สุด นั่นคือความกตัญญู

พี่น้องครับ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าคาดหวังจากเราในวันนี้ ความกตัญญู เพื่อที่จะรักและเอาใจใส่พี่น้องของเราทุกคน ความกตัญญูจะทำให้เราเข้มแข็งที่จะต้อสู้เอาชนะบาป

ความกตัญญูจะทำให้เราเข้มแข็งในการแปรเปลี่ยนความรักของพระที่มีต่อเราไปสู่เพื่อนมนุษย์ทุกคน
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551

ส.5 มหาพรต ปี A - วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม ค.ศ.2008



















พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า เราเข้าใกล้สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น สิ่งที่เราได้ตั้งใจทำ เราเตรียมจิตใจของเราเพื่อร่วมส่วนในพระทรมานของพระเยซู

พี่น้องครับ ในประเพณีของชาวยิวเชื่อกันว่า หลังจากที่คนเราตาย วิญญาณจะยังอยู่ในร่างกายอีก 3 วัน และหลังจากสามวันแล้ว วิญญาณก็จะจากไปแล้วไม่มีทางหวนกลับมาอีก ซึ่งก็พอดีกับช่วงเวลาที่ร่างกายก็เริ่มเน่าเปื่อยด้วย มาร์ธาได้บอกว่า “พระเจ้าข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาถึงวันที่สี่” มาร์ธาถามคำถามนี้เพื่อแสดงว่า นางหมดหวังแล้ว พระเยซูเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก สิ่งนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมพระเยซูเจ้าจึงต้องเสด็จมาในวันที่สี่ เพื่อทำให้สิ่งที่ไม่มีหวัง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ “ให้เป็นไปได้” นั่นคือ การปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ

พี่น้องครับ สำหรับเราคริสตชนทุกคน การกลับคืนชีพของลาซารัสสะท้อนภาพของการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าด้วย พระองค์กลับเป็นขึ้นมาในวันที่สาม พระกายของพระองค์ไม่เน่าเปื่อย และสำหรับเราทุกคนก็เป็นเครื่องหมายว่า “จงอย่าเลิกหวังแม้ในสถานการณ์ที่หมดหวัง” ไม่มีคำว่าสายสำหรับเรา ที่พระเจ้าจะช่วยเราแต่ละคน แต่สิ่งแรกที่เราควรทำก็คือ การร่วมมือกับพระเจ้าในชีวิตของเรา
พี่น้องครับ เราจะร่วมมือกับพระเจ้าในประสบการณ์ในความเชื่อของเราอย่างไร? พ่อคิดว่าเราทุกคนรู้ก็คือ นั่นคือ ความเชื่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ น.ยอห์นต้องการจะใช้สำหรับเราในวันนี้ แต่สิ่งสำคัญก็คือ การที่เราร่วมมือกับอัศจรรย์ต่าง ๆ ของพระในชีวิตของเรา ซึ่งขึ้นอยู่กับการฝึกฝนความนบนอบและการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

พี่น้องครับ เพื่อให้อัศจรรย์นั้นเกิดผล พระเยซูเจ้าได้มอบ 3 ประการในพระวาจาในวันนี้ ซึ่งพ่อขอแบ่งปันดังต่อไปนี้ 1. พระเยซูตรัสว่า “จงยกแผ่นหินออก....แล้วพวกเขาก็กลิ้งหินออกไป” สำหรับพวกเรา เราเข้าใจหรือเปล่าว่า ทำไปเราต้องยกหินที่หนัก ๆ ออกไปด้วย? แต่เพราะความเชื่อที่เรามีในพระเยซูเจ้าในตัวพระองค์เอง มิใช่ผ่านทางสติปัญญา แต่เป็นการปฏิบัติตามพระองค์ นั่นคือ ความนบนอบเชื่อฟัง ทำไมพระเยซูเจ้าไม่สั่งให้หินกลิ้งออกไปเอง? ทำไมต้องสั่งให้ผู้คนไปช่วยกันยก? พ่อก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่เราทุกคนรู้ก็คือ พละกำลังจากพระเจ้านั้น มนุษย์จะต้องร่วมมือกับพระเจ้า มีคนกล่าวไว้ว่า “พระเจ้าดูเหมือนว่าจะไม่ทำอะไรที่พระองค์เองไม่ได้ร่วมมือกับสิ่งสร้างของพระองค์”

ประการที่ 2 พระเยซูสั่งคนตายว่า “ลาซารัส จงออกมาเถิด” ผู้ตายก็ออกมา เราไม่รู้ว่า หลังจากคำสั่งของพระเยซูแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นในถ้ำนั้นบ้าง คำสั่งของพระเยซูเจ้าได้รับการปฏิบัติแบบ “ความนบนอบแบบทันทีทันใด” ลาซารัสลุกขึ้นทันที ในขณะที่มือและเท้านั้นก็เต็มไปด้วยผ้าพันอยู่
ประการที่ 3 คำสั่งที่ 3 ก็มุ่งไปหาผู้คนที่อยู่ที่นั่น “จงเอาผ้าออกและให้เขาไปเถิด” ขณะที่ลาซารัสลุกออกมาจากหลุม สิ่งสำคัญก็คือ เขาไม่สามารถเอาผ้าออกด้วยตนเองได้ เขาต้องการให้ผู้คนช่วยเขา ผู้ที่จะช่วยเขาก็คือ ผู้ที่อยู่ที่นั่น อาจเป็นเพื่อนบ้าน พี่น้อง ชุมชนแห่งความเชื่อเดียวกันนั้ ในการรับเขากลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง

พี่น้องครับ มีคริสตชนหลายคนที่ทุกวันนี้ได้ตกอยู่ในความตายของบาปต่าง ๆ หลาย ๆ คนก็เข้าไปอยู่ในหลุมศพแห่งความสิ้นหวังและหมดกำลังใจแล้ว การผูกชีวิตของเขาติดกับนิสัยแห่งบาปต่าง ๆ และทัศนคติที่ไม่ดีทั้งหลาย อัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นกับเราก็คือ การฟังพระเยซู การนบนอบต่อคำสอนของพระองค์และปฏิบัติตามทันที

พี่น้องครับ พ่อขอฝากคำถามไว้สำหรับวันนี้ก็คือ 1.เราพร้อมที่จะร่วมมือกับพระองค์ในอัศจรรย์ต่าง ๆ ในชีวิตของเราหรือเปล่า? 2.เราพร้อมที่จะกลิ้งก้อนหินที่กั้นระหว่างเรากับแสงของพระคริสตเจ้าหรือไม่? 3.เราพร้อมที่จะก้าวออกมาจากอุโมงค์แห่งความบาปผิดหรือไม่? 4.เราพร้อมที่จะให้อภัย สิ่งที่ที่ติดยึดในใจเรา การให้อภัยที่เรายังยึดมั่นถือมั่นในใจ ให้บุคคลเหล่านั้นเป็นอิสระไปจากหัวใจของเราหรือเปล่า?

พี่น้องครับ นี่เป็นหนทางหลาย ๆทางที่เราสามารถร่วมมือกับพระเจ้า ให้พระทำอัศจรรย์ต่าง ๆ ในชีวิตของเราเพื่อฟื้นฟูชีวิตของเราแต่ละคนให้กลับมาสู่หนทางของพระเจ้า การภาวนา,กิจการแห่งความเมตตาและการกลับใจส่วนตัวของเราจะเป็นเหมือนดินดีที่ทำให้ชีวิตเติบโตอย่างสมบูรณ์ในความรักของพระที่มีต่อเราทุกคน

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน


วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2551

ส.4 เทศกาลมหาพรต ปี A - ข้อคิดจากพระวาจา



วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม ค.ศ.2008


พี่น้องที่รักในพระคริสตเจ้า เมื่อพ่อมาอยู่ที่นี่ พ่อได้มีโอกาสพบกับคนตาบอด 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือตาบอดแต่กำเนิด กับเพิ่งมาตาบอด (มองไม่เห็นเมื่อสูงอายุ) สิ่งที่พ่อสังเกตก็คือ ทั้งสองกลุ่มต้องการมองเห็น พ่อได้คุยกับคุณยายท่านหนึ่ง คุณยายบอกว่าอยากมองเห็น พ่อบอกคุณยายว่า บางครั้งบางคราวเรามองไม่เห็นบ้างก็ดี ยิ่งในปัจจุบันด้วย หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่ดูเสียก็ยังดีกว่า


วันนี้พระเยซูเจ้าได้รักษาชายคนหนึ่งซึ่งตาบอดแต่กำเนิด การตาบอดคือสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิต เห็นได้ชัดว่า ชายคนนี้ต้องนั่งเป็นขอทานเพราะไม่มีอะไรที่เขาทำได้ ความคิดของชาวยิวก็คือ “นี่คือสิ่งที่เป็นผลมาจากบาป” ขนาดหายแล้วยังไม่อยากจะเชื่อ ถามกันว่า นี่ไม่ใช่คนขอทานที่นั่งอยู่ตรงนั้นหรือ? ไม่รู้อยากให้หาย หรือยังข้องใจว่า หายได้อย่างไร นี่มันคนบาปชัด ๆ นี่คือสิ่งที่น่าประหลาดใจมาก เพราะว่าเพื่อนบ้านไม่ได้ต้องการให้เขาหายดีจากการรักษาของพระเยซู เมื่อพวกฟารีสีได้พยายามบังคับให้เขาปฏิเสธว่า เขาไม่ได้กลับมามองเห็น เพราะพระเยซู ชายตาบอดคนนั้นก็ได้เรียนรู้ว่า คนที่ตาบอดจริง ๆ ไม่ใช่เขา แต่เป็นพวกฟารีสีต่างหาก


พี่น้องครับ สิ่งที่น่าเศร้าใจก็คือ การมืดบอดฝ่ายวิญญาณ หัวใจที่ไม่พร้อมรับแสงสว่างจากพระเยซูเจ้า จิตใจที่ไม่พร้อมที่จะให้อภัยเพื่อนพี่น้อง


พี่น้องครับ ช่วงเวลามหาพรต เป็นช่วงเวลาที่แสงสว่างของพระเยซูเจ้า ได้ส่องเข้ามาในใจของเรามากเป็นพิเศษ ชัดเป็นพิเศษ เข้าใกล้ใจเรามากที่สุด เพราะเราได้เห็นพระองค์จนถึงไม้กางเขน ในความรักที่พระองค์มีต่อเรา รักเรามากที่สุด


ถ้าหากใจเราเป็นเหมือนม่านชัตเตอร์ เปิดรับแวบเดียว แค่สิ่งที่ฉันต้องการ แล้วก็ปิดตัวเอง ไม่รับพระองค์อีก พระองค์มาแค่ที่ฉันต้องการก็พอ เวลาอื่นไม่ต้อง


พี่น้องครับ พระวาจาเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราทุกยุคทุกสมัย ทุกช่วงเวลาแห่งชีวิต พระวาจานี้เป็นเหมือนแสงที่ส่องสว่างในใจของเรา เราทุกคนเกิดมาด้วยใจที่ยังบอด เราได้รับศีลล้างบาปซึ่งเปิดใจเรา ทำให้เราเริ่มต้นเดินทางในความเชื่อ ตามแบบอย่างของพระคริสตเจ้า ชีวิตที่เราได้รับจากศีลล้างบาป ทำให้เรามีพลังในการนำพระคริสตเจ้าไปในทุกสิ่งที่เราทำและทุกคนที่เราพบ


พี่น้องครับ แสงสว่างเปรียบเหมือนชีวิตของพระเยซูและความมืดเป็นภาพของความชั่วร้าย เราแต่ละคนก็สามารถให้แสงสว่างนี้เมื่อเรารักกัน มีชีวิตคริสตชนที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีต่อกัน


มหาพรต จึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ทบทวนชีวิต ทบทวนดูความตั้งใจดีของเรา ดูว่า ชีวิตปัจจุบันของเราเป็นอย่างไร? ครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน อดทนกัน รับรู้สภาพที่เป็นไปของแต่ละคน เมื่อนั้นเราก็เข้าใกล้การเป็นแสงสว่างให้แก่กันและกัน


พี่น้องครับ ความมืดมนในจิตใจ ก็เปรียบได้กับการที่เราไม่รักกันและความมืดบอดใสนการอิจฉา ริษยากัน และนั่นทำให้เรา ไม่สามารถมองความดีของผู้อื่นได้นั่นเอง


พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าขอร้องให้เรา มองดูข้อบกพร่องของเราเองเพราะ ความบกพร่องนั้นมาจากความมืด ซึ่งไม่ง่ายที่จะปฏิบัติ ต้องใช้เวลาและเรียกร้องความอดทนเพราะหลายคนก็ล้มเลิกกลางทาง พระเยซูรู้ว่าเราทุกคนมีความอ่อนแอและพระองค์ต้องการช่วยเราให้รอด เรามาหาพระองค์ก็เพราะเราต้องการรักษาจากพระองค์เช่นกัน เราถูกเรียกร้องให้เดินตามแสงสว่างนั้น


ขอให้พี่น้องทุกคนดำเนินชีวิตในแสงสว่างของพระคริสตเจ้า ขอให้ความมืดบอดทั้งหลายในชีวิตของเราต้องพินาศไปเพราะแสงสว่างแห่งความดี ความจริงของพระเยซูเจ้า พระเจ้าของเรา


ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน