วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ทรงประทานพระพรแด่ผู้ที่ต่ำต้อย

ส.ที่ 30 เทศกาลธรรมดา ปี C
วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2007




มีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อว่า เฟดเดรริค เดอะเกรท ได้ไปเยี่ยมนักโทษในคุกและถามถึงชีวิตและความเป็นอยู่ทีละคน หลายๆ คนก็บอกพระองค์ว่า พวกเขาเป็นคนบริสุทธิ์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย , เข้าใจผิดในบางเรื่องบางตอน,และอื่นๆ ในที่สุดกษัตริย์ก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องขังซึ่งนักโทษคนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลย กษัตริย์ก็เลยสงสัยก็ถามชายคนนั้นว่า “เราคิดว่า เจ้าก็คงเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยใช่หรือไม่?” ชายคนนั้นตอบว่า “เปล่าครับ ผมไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ ผมได้ทำสิ่งที่ผิดมากมาย และพร้อมที่จะรับการลงโทษ” กษัตริย์ก็เลยรับสั่งต่อไปว่า “ทหาร, รีบปล่อยตัวคนคนนี้ ผู้บริสุทธิ์อยู่ที่นี่แล้ว” ซึ่งเหมือนดังที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “พระเจ้าทรงกดผู้ที่ยกตนขึ้นและทรงประทานพระพรแด่ผู้ที่ต่ำต้อย” (1 Peter 5:5).



พระวรสารในวันนี้ เกี่ยวข้องกับเราทุกคน ผู้ที่มีความเชื่อ 2 คน ฟารีสีและคนเก็บภาษี ทั้งคู่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน, ศาสนาเดียวกัน,และมานมัสการพระเจ้าในวัดเดียวกัน ทั้งคู่ เป็นผู้ที่มีใจร้อนรนและมาภาวนาในวัดพร้อมกัน แต่พี่น้องสังเกตอะไรหรือไม่? เมื่อมานมัสการพระเจ้าเสร็จแล้ว คนหนึ่งกลับบ้านด้วยสันติสุขในจิตใจ แต่อีกคนไม่เป็นเช่นนั้น เราทุกคนที่นี่ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชื่อเช่นเดียวกัน ต้องพยายามมองดูเรื่องนี้ให้ดี ไม่เพียงแต่เรียนรู้ถึงเคล็ดลับของการนมัสการพระเจ้า แต่มองดูว่า การนมัสการพระเจ้านี้นำทางชีวิตของเราแต่ละคน และเมื่อนมัสการเสร็จแล้วไม่ทำให้เราผิดหวังในแต่ละวันแต่ละสัปดาห์ที่เรามาวัด
ฟารีสี เป็นคนที่มีวินัยในการดำเนินชีวิต สวดภาวนาอย่างดี เป็นคนศรัทธามาก เป็นคนที่เอาจริงเอาจังในเรื่องศาสนา ที่อุทิศชีวิตทุกวันให้กับการสวดภาวนาและถือพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างดี และในความเป็นจริงที่มากกว่านั้น พวกเขาทำมากกว่าที่บทบัญญัติได้กำหนดซะด้วยซ้ำไป พวกเขาอดอาหาร 2 ครั้งต่อสัปดาห์ คือ วันจันทร์และวันพฤหัสบดี ซึ่งในกฏบัญญัติกำหนดแต่เพียงว่า ให้ประชาชนอดอาหารปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในวันชดเชยใช้โทษบาป พวกเขาบริจาคเงินรายได้ 1 ใน 10 เมื่อฟารีสีกล่าวในเรื่องเล่าวันนี้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า” (Luke 18:11-12) พวกเขาไม่ได้ล้อเล่น แต่ทำอย่างจริงจังในชีวิต




ตรงกันข้าม คนเก็บภาษี ถูกมองว่า เป็นพวกที่มีคุณธรรมต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะว่าคนพวกนี้ทำงานให้กับพวกโรมัน ซึ่งเป็นคนต่างชาติ(เก็บเงินพวกเดียวกันส่งให้คนต่างชิต) รับเงินสกปรก เงินที่ไม่ได้มาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งพวกยิวถือว่า คนพวกนี้เป็น “คนบาปสาธารณะ” ที่มีทางด่วนนำไปสู่นรก แต่สิ่งสำคัญก็คือ คนเก็บภาษีนี้รู้ตัวว่า เสียงของมนุษย์มิใช่เป็นเสียงของพระเจ้าเสมอไป พวกเขายังคงมีหวังที่จะได้รับความรอด มิใช่เพราะกฏบัญญัติของศาสนาใดใด แต่เป็นเพราะ “พระเมตตาของพระเจ้าล้วนๆ”



การมีความเชื่อในพระเจ้า มิได้ช่วยให้เราได้รับความรอด น.ยากอบ บอกว่า ปีศาจก็เชื่อในพระเจ้าและใจสั่นด้วยความกลัว (James 2:19). ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ความเชื่อที่เรามีนี้ มีผลทำให้เรามองดูชีวิตของเราและบุคคลอื่นๆ อย่างไร ความเชื่อมีผลต่อชีวิตอย่างไร? ฟารีสีเชื่อถึงพระเจ้าที่รักเฉพาะคนดีดีและรังเกียจคนไม่ดี ผู้คนปฏิบัติเหมือนกับพระเจ้าที่พวกเขาเคารพนับถือ ดังนั้น พวกฟารีสีจึงรีบเรียนรู้ที่จะรักเฉพาะคนดีดีอย่างพวกเขาเท่านั้น และมองดูอย่างหยามเหยียดต่อคนที่ไม่ดี และคนบาปอย่างพวกคนเก็บภาษี



พี่น้องครับ พระเยซูเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง เพราะพ่อคิดว่า พระองค์ไม่อยากให้เราเป็นอย่างฟารีสี เพราะ “พระเยซูเจ้าตรัสเล่าเรื่องอุปมานี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่น” ตรงกันข้าม คนเก็บภาษี ไม่วางใจในตนเองหรือสิ่งใดใดที่ตัวเขาเองได้ทำ แต่วางไว้”ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” พ่อเองเชื่อว่า ไม่มีใครดีที่สุดในโลก หรือไม่มีคนใดที่เลวจนไม่อาจทำความดีได้ คนบาปนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้า ข้อนอกและภาวนาว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” (v. 13). และนี่เองที่ทำให้ชายคนนี้ กลับบ้านด้วยสันติสุขในจิตใจกับพระเจ้า



พี่น้องครับ เราทุกคนก็มาหาพระเหมือนกันเพื่อนมัสการและสวดภาวนา เราทุกคนหวังจะกลับบ้านด้วยสันติสุขในพระเจ้า ให้เราเลียนแบบอย่างจากคนเก็บภาษีคนนั้น เพื่อจะรู้ถึงเคล็ดลับของการภาวนา, การนมัสการพระเจ้า ประการที่ 1 ไม่ควรฟังผู้อื่นหรือแม้แต่ความคิดของตนเอง ว่า พระเจ้าจะทรงโกรธเราและไม่มีทางอภัยให้กับเรา ประการที่ 2 ต้องยอมรับตนเองถึงความบกพร่องของตนเองและวางชีวิตของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งทรงพระทัยกว้างใหญ่กว่าบาปใดใด ที่สุด ให้เราสัญญากับพระเจ้าว่า เราจะไม่ดูถูกผู้อื่นซึ่งอาจเป็นคนบาปที่อาจมีข้อบกพร่อง แต่ต้องพยายามช่วยเหลือให้บุคคลเหล่านั้นได้พบหนทางกลับมาหาพระเจ้า เหมือนดังที่ คนเก็บภาษีที่ช่วยให้เราได้พบกับพระเจ้า และต้องไม่ลืมว่า “ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น’



ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

\(^_^)/ ดูรูปไปก่อนนะครับ


ดูรูปไปก่อนนะครับ ช่วงนี้ว่างน้อยมาก

วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ฉันเป็นคนใช้ไร้ประโยชน์...........

บทเทศน์ ส.27 เทศกาลธรรมดา ปี C ประจำวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2007


"Wang li"


อ่านพระวาจา ......คลิกที่นี่





ชายคนหนึ่งตกจากหน้าผา ในระหว่างที่ลอยตกลงมานั้น เขาก็คว้ากิ่งไม้ยึดเหนี่ยวไว้ได้ แต่ก็ไม่สามารถจะไต่กลับขึ้นไปได้ ถ้าตกลงไปข้างล่างก็ต้องตายแน่นอน ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาก็มองขึ้นไปบนฟ้า และตะโกนขึ้นไปว่า “มีใครอยู่บนนั้นไหมครับ?” มีเสียงหนึ่งตอบลงมาว่า “ใช่แล้ว,เราอยู่นี่ เจ้าเชื่อในเราหรือเปล่า?” ชายหนุ่มก็ตอบไปว่า “ลูกเชื่อพระองค์,เชื่อพระองค์จริงๆ โปรดช่วยลูกด้วยเถิด” เสียงนั้นก็ตอบว่า “เอาหล่ะ ถ้าเจ้าเชื่อในเรา, เจ้าก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดใด เราจะช่วยเจ้า เอาหล่ะปล่อยมือจากกิ่งไม้ได้แล้ว” ชายหนุ่มนั้นก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตะโกนกลับขึ้นไปอีกครั้งว่า “ข้างบนนั้นหน่ะ,มีคนอื่นอีกไหม?”
พี่น้องครับ ชายคนนี้เป็นผู้มีความเชื่อหรือเปล่า? แน่นอนมีแน่ เขาเชื่อว่า พระเจ้าทรงมีอยู่ เขาเชื่อในพลังของการภาวนา เขาเชื่อว่าพระเจ้าสามารถช่วยเขาจากอันตรายของชีวิตได้ ดังนั้นเขาจึงภาวนาต่อพระเจ้า แต่ถ้าเขาเชื่อในพระเจ้าในขณะที่กำลังปีนอยู่นั้น ทำไมเขาจึงไม่ปฏิบัติตามที่พระเจ้าทรงบอก?? ทำไมเขาไม่ปล่อยมือจากกิ่งไม้ที่เขายึดไว้? พระเจ้าช่วยเขาไม่ได้แล้วหรือ? เราได้ฟังเรื่องนี้ก็อาจจะรู้สึกขำขำ เพราะว่าบางครั้งในชีวิตเราก็เป็นเหมือนชายคนนี้แหละ เราเชื่อในพระเจ้า แต่เมื่อสิ่งต่างๆ ที่เราได้ทำ สิ่งที่เรายึดถืออยู่ในชีวิตไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ เราก็ยึดสิ่งนั้นไว้ในมือของเราเองและมองหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างอื่นสำหรับตัวของเราเอง เราเชื่อ แต่เรายังเป็นคนที่ยังมีความเชื่อน้อย


บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าก็เช่นกัน, ก็เป็นคนที่มีความเชื่อน้อย พวกเขาเชื่อในพระเยซูและก็ติดตามพระองค์ แต่เมื่อเขาเห็นทหารมาจับพระเยซูเจ้าไป ขณะที่อยู่ในสวนเกทเสมานี พวกเขาก็ละทิ้งพระเยซูเจ้าไป พวกเขาเป็นคนมีความเชื่อน้อย

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ พวกเขาจึงมาหาพระเยซูเจ้าและบอกกับพระองค์ว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” คนที่ไม่รู้ และไม่รู้ตัวว่า ตัวเองนั้นกำลังไม่รู้ เขาเรียกว่า คนไม่ฉลาด(คนโง่) แต่คนที่ไม่รู้ แต่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ เขาเรียกว่า คนฉลาด พวกสาวกรู้ว่า ความเชื่อของพวกเขานั้นยังไม่เพียงพอ พวกเขาจึงพยายามที่จะเพิ่มพูนความเชื่อของพวกเขาให้มากขึ้น อะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ความเชื่อนั้นไปเพิ่มพูนขึ้นใน 1 ปีที่ผ่านมา เราเข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจกี่ครั้ง, เราสัมมนาพระคัมภีร์หรือศึกษาพระคัมภีร์กี่ครั้ง? เราอ่านหนังสือไปกี่เล่ม? สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเครื่องหมายที่บอกว่า ความเชื่อของเราเพิ่มพูนขึ้นขนาดไหน

และเพื่อที่จะตอบกับศิษย์ของพระองค์ ในการเพิ่มพูนความเชื่อ พระเยซูเล่าเรื่องของคนใช้ที่กลับมาจากท้องนาและมาเตรียมอาหารให้เจ้านายของเขาและคอยเฝ้าดูในขณะที่เจ้านายรับประทานอาหาร พี่น้องลองคิดดูว่า ทำไมเจ้านายจึงไม่ให้คนรับใช้ที่เพิ่งกลับจากทุ่งนา น่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานทำไร่ ตากแดดร้อน เหนื่อย หิว ไปทำตามความต้องการของตัวเอง คือ ไปหาอาหารกินเองและพักผ่อน ดูเหมือนเจ้านายใจร้าย แต่สิ่งที่พ่อเชื่อว่า พระเยซูต้องการบอกกับเราก็คือ ถ้าเราแต่ละคน เติบโต เป็นผู้ใหญ่ทางความเชื่อแล้ว เราควรทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยเป็นอันดับแรกสุดในชีวิตของเราตลอดเวลา ถ้าเรามีความเชื่อแล้ว เราจะม่าบ่นว่า ว่า เราได้ทำงานเพื่อพระเจ้ามาตลอดทั้งวันแล้ว ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้วและกลายเป็นว่า พระเจ้าจะต้องมาตั้งใจฟังดูความต้องการของเราหรือ? ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เราต้องลืมตัวเองและทำงานเพื่อพระเจ้า และรู้ว่า พระประสงค์ของพระเจ้าจะมาถึงเรา เมื่อไรอย่างไรนั้น ตามแต่พระองค์จะเห็นสมควร (วันฝังศพ คุณพ่อคมกฤส อานามนารถ " เราคงต้องยอมรับในสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาต" )

ความเชื่อที่ช่วยให้เพียงแต่รอดพ้น มิใช่เป็นความเชื่อในพระเจ้า ความเชื่อหมายถึง ไม่ว่าฉันจะรอดหรือไม่รอดพ้น ฉันจะยึดความเชื่อของฉันไว้กับความรักของพระเจ้าที่มีต่อตัวฉัน นี่คือข้อผิดพลาดของชายหนุ่มคนนั้นที่คิดถึงพระเจ้า เฉพาะให้พระองค์ช่วยให้รอดพ้น แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์จะช่วยให้รอดและมีความรักต่อเขา พระเจ้ารักอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อเราทุกคน คริสตังค์หลายคนเฝ้ามองหาอัศจรรย์ในชีวิต รอคอยและหวังให้พระเจ้าทำอัศจรรย์ในชีวิต แต่สิ่งที่พระวาจาได้สอนเราในวันนี้ ความเชื่อที่แท้จริง ที่เติบโตแล้วคือ ความเชื่อที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากว่า พระเจ้าตอบสนองต่อความต้องการของเรามากน้อยเท่าไร ทันทีทันใด แต่ อยู่ที่ น้ำใจของเราที่จะรับใช้พระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการคิดราคาค่าจ้างใดใด ขอให้วันนี้เราร่วมกับบรรดาศิษย์ของพระองค์และร้องขอให้พระองค์ “โปรดเพิ่มพูนความเชื่อให้พวกเราด้วยเถิด”

ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน