วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ - จาก คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์



พระวาจาเพื่อชีวิตคริสตชน








  • สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์

    ข่าวดี ลูกา 24:46-53
    (46)พระองค์ตรัสว่า ‘มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องรับทนทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม (47)จะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม (48)ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้
    (49)‘บัดนี้ เรากำลังจะส่งพระผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้มาเหนือท่านทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่านจะได้รับพระอานุภาพจากเบื้องบนปกคลุมไว้’
    (50)พระองค์ทรงนำบรรดาศิษย์ออกไปใกล้หมู่บ้านเบธานี ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพระพร (51)และขณะที่ทรงอวยพระพรนั้น พระองค์ทรงแยกไปจากเขา และทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์ (52)บรรดาศิษย์กราบนมัสการพระองค์แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่ง (53)เขาอยู่ในพระวิหารตลอดเวลา ถวายพระพรแด่พระเจ้า

    ***********************

    มีบางคน แม้ในหมู่อัครสาวกเอง ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเขาคิดว่าการแสดงพระองค์แต่ละครั้งไม่ใช่พระวรกายของพระองค์จริง แต่เป็นเพียงผีของผู้ตายปรากฏมา หรือไม่ก็เป็นเพียงความเพ้อฝันของศิษย์บางคนที่มีจิตใจฟั่นเฟือนอันเนื่องมาจากความผิดหวัง ตกใจกลัว หรือเศร้าเสียใจสุดขีดกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
    พระองค์จึงแสดงพระองค์แก่พวกเขาตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจทำไม เพราะเหตุใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริง ๆ จงคลำตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้พวกเขาดูพระหัตถ์และพระบาท อีกทั้งทรงรับปลาย่างมาเสวยต่อหน้าพวกเขา (ลก 24:36-43)
    พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อพิสูจน์ว่า พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจริง เพราะทรงมีพระวรกายที่จับต้องได้ และสามารถเสวยอาหารได้ด้วย !
    นอกจากพิสูจน์ด้วยการกระทำแล้ว พระองค์ยังอ้างพระคัมภีร์ที่เราได้รับฟังในวันนี้ เพื่อสนับสนุนสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอีกด้วย
    พระองค์ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องรับทนทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม” (ลก 24:46)
    พระองค์กำลังอ้างพระคัมภีร์เพื่อชี้ให้เห็นว่า “กางเขนเป็นสิ่งจำเป็น” !
    เพราะกางเขนคือสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวถึงและเฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว กางเขนคือสิ่งที่อยู่ในแผนการของพระเจ้าตลอดมา หาใช่เกิดจากการวางแผนผิดพลาดจนทำให้พระเยซูเจ้าต้องจนตรอกและถูกตรึงตายบนไม้กางเขนแต่ประการใดไม่
    และหลังจากความตายบนไม้กางเขนผ่านพ้นไปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในแผนการของพระเจ้าและมีกล่าวถึงในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกันก็คือ “การกลับคืนพระชนมชีพ” !
    ทั้งหมดนี้ย่อมนำมาสู่ความจริงที่ว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายโดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น !!!
    ------------------
    เมื่อทรงทำให้บรรดาอัครสาวกแน่ใจใน “การกลับคืนพระชนมชีพ” จนสามารถเป็นประจักษ์พยานยืนยันได้แล้ว สิ่งที่ตามติดมาอย่าง “เร่งด่วน” และ “ทันที” ก็คือคำสั่งที่ว่า
    “จะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาป” (ลก 24:47)
    นี่คือ “ภารกิจ” สุดท้ายที่ทรงมอบหมายก่อนที่พระองค์จะเสด็จจากโลกนี้ไป !
    พระองค์ทรงมอบหมายให้เราออกไปหาทุกคน ทุกชาติ ทั่วโลก
    เรียกร้องให้พวกเขากลับใจ
    และหยิบยื่นการอภัยบาปให้แก่พวกเขา
    นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักรและของเราทุกคน !
    วันคืนแห่งความเศร้าโศกเสียใจเพราะการสิ้นพระชนม์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว บัดนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดีอันเนื่องมาจากการกลับคืนพระชนมชีพ
    เรามีหน้าที่นำความชื่นชมยินดีนี้ไปสู่มนุษย์ทุกคน !
    ------------------
    แม้ภารกิจจะยิ่งใหญ่และเร่งด่วน แต่คุ้มค่าเสมอที่จะรอคอย “ความช่วยเหลือจากพระเจ้า” ด้วยทรงตรัสว่า “บัดนี้ เรากำลังจะส่งพระผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้มาเหนือท่านทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่านจะได้รับพระอานุภาพจากเบื้องบนปกคลุมไว้” (ลก 24:49)
    เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่มีภารกิจใดที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากเราโดยปราศจากความช่วยเหลือจากพระองค์ !
    ธุรกิจที่ขาดการเตรียมตัวอย่างดีย่อมเสี่ยงต่อความล้มเหลวฉันใด ภารกิจที่ขาดการเตรียมตัวอย่างดีก็ย่อมเสี่ยงต่อความล้มเหลวฉันนั้น
    พระเยซูเจ้าจึงตรัสสั่งให้บรรดาอัครสาวก “คอยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม” เพื่อเตรียมตัวรับ “พระอานุภาพจากเบื้องบน” ซึ่งได้แก่พระจิตเจ้า และพวกเขาได้เตรียมตัวอย่างดีที่สุดด้วยการ “อยู่ในพระวิหารตลอดเวลา ถวายพระพรแด่พระเจ้า” (ลก 24:53)
    การอยู่กับพระเจ้า คือการเตรียมตัวที่ดีที่สุด !
    น่าเสียดายที่บางคนมองว่า การปล่อยวางภารกิจและหน้าที่การงานต่าง ๆ แล้วใช้เวลา อยู่กับพระเจ้า เป็นการเสียเวลา
    อันที่จริง การอยู่กับพระเจ้าไม่ใช่การเสียเวลา แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อรับความช่วยเหลือ ความสว่าง และพละกำลังจากพระองค์ ซึ่งจะช่วยให้เราทำหน้าที่และบรรลุภารกิจได้อย่างสมบูรณ์ชนิดที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า “เราจะทำได้” !
    ------------------
    ที่สุด นาทีสุดท้ายของพระองค์ในโลกนี้ก็มาถึงด้วยความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อทรงนำบรรดาศิษย์ออกไปใกล้หมู่บ้านเบธานี ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพระพร และขณะที่ทรงอวยพระพรนั้น “พระองค์ทรงแยกไปจากเขา และทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์” (ลก 24:50-51)
    ไม่มีผู้ใดเห็น และไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระองค์เสด็จสู่สวรรค์อย่างไร ?
    ทุกวันนี้ การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระองค์ยังคงเป็นธรรมล้ำลึก เพราะเหตุการณ์นี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าคำพูดตามประสามนุษย์จะอธิบายหรือพรรณนาได้
    แต่การเสด็จขึ้นสวรรค์อย่างไรนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราคือ “พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์จริง”
    บางคนอาจสงสัยว่า “ทำไมพระองค์ไม่ประทับอยู่กับเรามนุษย์ในโลกนี้ตลอดไป ?”
    จริงอยู่พระองค์สามารถทำเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน แต่อะไรจะเกิดขึ้น ?
    หากพระองค์ประทับอยู่ในโลกนี้แล้วแสดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์ต่อไปเรื่อย ๆ ความตื่นเต้นยินดีจะไม่กลายเป็นความเคยชิน แล้วเป็นความเย็นเฉย และในที่สุดความเชื่อของเราจะไม่พลอยพังทลายไปดอกหรือ ?
    จึงจำเป็นต้องมีเส้นแบ่งระหว่าง “พระเยซูเจ้าบนโลกนี้” กับ “พระคริสตเจ้าบนสวรรค์” !
    นี่คือเหตุผลตามประสามนุษย์ที่พระองค์ “ถูกนำขึ้นสู่สวรรค์” !
    อย่างไรก็ตาม การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า ที่เราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้ มีความหมายสำคัญยิ่งสำหรับเราทุกคน เหตุว่า
    1. เป็นการสิ้นสุดของพระเยซูเจ้าบนโลกนี้ วันเวลาที่บรรดาอัครสาวกเชื่อและแอบอิงอยู่กับพระเยซูเจ้าที่ทรงมีเลือดและเนื้อเหมือนเราได้สิ้นสุดลงแล้ว
    นับจากนี้ไป เราเชื่อและอิงแอบแนบแน่นอยู่กับพระองค์ซึ่งไม่ขึ้นกับ “เวลา” และ “สถานที่” อีกต่อไป
    2. เป็นการเริ่มต้นความชื่นชมยินดี วันเวลาแห่งความหวาดกลัว การหลบซ่อน และฝันสลายได้ผ่านพ้นไปแล้ว
    เพราะหลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ “บรรดาศิษย์กราบนมัสการพระองค์แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่ง” (ลก 24:52)
    ความ “ยินดียิ่ง” นี้เกิดจากความตระหนักว่า นับจากนี้ไป ไม่มีอะไรภายใต้โลกหล้านี้อีกแล้วที่สามารถ “แยกเราไปจากพระองค์” ผู้ทรงเป็นเจ้านายที่รักได้ ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือผู้มีอำนาจปกครอง ... ไม่มีสรรพสิ่งใด ๆ จะพรากเราได้จากความรักของพระเจ้า ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (รม 8:38-39)
    3. เป็นหลักประกันแห่งความมั่นใจ พระเยซูเจ้าที่บรรดาอัครสาวกเคยติดสอยห้อยตามและรับใช้ บัดนี้ พระองค์ทรงประทับอยู่บนสวรรค์
    ช่างก่อให้เกิดความมั่นใจเพียงใดที่เรามี “เจ้านาย” ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้เท่านั้น แต่ยังทรงประทับอยู่บนสวรรค์อีกด้วย
    เจ้านายที่เฝ้ารอเราอยู่บนสวรรค์ก็คือ พระเยซูเจ้าองค์เดียวกันกับที่ทรงรักและทรงเมตตาต่อมวลมนุษย์เมื่อสองพันปีก่อน !
    ความตายจึงไม่ใช่การเดินทางไปสู่โลกแห่งความมืดมิดและน่ากลัวอีกต่อไป
    แต่เป็นการเดินทางไปหา “พระองค์”.....
    หากเราเลือกเดินตามหนทางของพระองค์ตั้งแต่วันนี้ !!

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ข้อคิดสะกิดใจ จากพระวาจา ส.6 เทศกาลปัสกา


วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2007 , ส.6 เทศกาลปัสกา
วัดนักบุญเปโตร สามพราน

ในประเทศทางแถบแอฟริกา ผู้หญิงที่ถวายตัวให้กับพระเจ้านโดยการเป็นซิสเตอร์นั้น ก็จะแต่งตัวคล้ายๆ กับการเข้าพิธีแต่งงานและร้องเพลงรักให้กับพระเยซู
หลายปีต่อมา ซิสเตอร์สาวๆ คนหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตที่ไม่ราบเรียบก็ได้มีโอกาสกลับไปอยู่ในอาราม ซิสเตอร์สาวก็ถามคุณแม่อธิการว่า “คุณแม่ จริงหรือเปล่า ที่เขาว่าเราได้แต่งงานกับพระเยซูเจ้าแล้ว” “เป็นความจริงแล้วลูกที่รัก ลูกถามทำไมหรือ?” “คือ ตั้งแต่หนูบวชมา 5 ปี หนูไม่มีความรู้สึกรักใครเลย”
ซิสเตอร์คนนี้อาจจะไม่รู้สึกรักอะไรเลย เพราะยังคงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูเจ้า ว่าเป็นเหมือนคนที่แต่งงานจริงๆแค่นั้น
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดรักเรา” พระองค์หมายถึงบรรดาศิษย์ของพระองค์ สำหรับพระเยซู “ผู้ใดรักเรา” คืออีกความหมายหนึ่งของคำว่า “ศิษย์ของเรา” , “ผู้ที่เชื่อในเรา” , “คริสตชน” ความสัมพันธ์ระหว่างคริสตชน กับพระคริสตเจ้า เป็นแก่นแท้ของความรัก นั่นคือสิ่งที่พระเยซูตรัสว่า “ เราไม่เรียกท่านเป็นคนใช้อีกต่อไป ...แต่เรียกท่านเป็นเพื่อน” พวกเราหลายๆ คนอาจรู้สึกดีที่เรานับพระเยซูเป็นเจ้านายมากกว่าที่จะให้พระองค์เป็นเพื่อน การเป็นเจ้านายนั้นมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน แต่การเป็นเพื่อนนั้นไม่มีขีดจำกัด
สิ่งหนึ่งที่พวกเราทุกคนรู้เกี่ยวกับความรักก็คือ เมื่อเวลารักกัน จะต้องการอยู่กับคนที่เรารัก แต่พระเยซูไม่ได้อยู่ให้เราเห็น เราไม่สามารถมองเห็นตัวเป็นๆ ของพระเยซูได้ จับต้องไม่ได้ แล้วเราจะรักพระเยซูที่มองไม่เห็นได้อย่างไร?? นี่คือสิ่งที่พระวาจาในสัปดาห์นี้บอกกับเรา
พระเยซูทรงเตรียมบรรดาศิษย์ของพระองค์ (ผู้ที่รักพระองค์) บอกกับพวกเขาว่า เมื่อพระองค์จะจากโลกนี้ไป พวกเขาจะรักษาความรักที่มีต่อพระองค์ไว้ได้อย่างไร รักษาความรักนี้แม้มองไม่เห็นพระองค์อีกต่อไป
“ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา พระบิดาของเรา จะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จมาพร้อมกับเรามาหาเขา จะ ทรงพำนักอยู่กับเขา (John 14:23).
พี่น้องครับ ถ้าพี่น้องรักพระเยซู 1.ปฏิบัติตามพระวาจา 2.สิ่งนี้ทำให้พระเจ้าทรงรักเรา และ 3.พระเยซูและพระบิดาจะมาอยู่กับเรา
เมื่อเราเข้าใจ 3 ข้อนี้ ช่องว่างระหว่างการที่เรามองไม่เห็นพระเยซูนั้นก็หายไปทันที เพราะถูกเติมเต็มด้วยความเชื่อที่แท้จริง ความเชื่อที่มองไม่เห็นแต่ชัดเจนที่สุดเมื่อเราจากโลกนี้ไป ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ รักษาพระวาจาและปฏิบัติตามพระวาจานั้นอย่างดีในทุกวันเวลาของชีวิตเรา
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

เจ้านายที่แท้จริงของเรา


พระเยซูเจ้าทรงเป็นเจ้านายของเรา
เรื่องราวการกลับใจของ น.ฟรังซิส ซึ่งมีความร้อนรนในการ อัศวิน เป็นอย่างมาก ท่านถูกซุ่มทำร้าย ถูกจับขังคุก และป่วย

หลังจากที่ท่านพักฟื้นที่เมืองอัสซีซี พ่อของท่านก็มาประกันตัว ก็มีเพื่อนๆ อัศวิน ก็ชวนท่านไปอีกเมืองหนึ่งซึ่งกำลังมีการต่อสู้กันอยู่ ฟรังซิสก็อยากไป และคิดว่า ไปครั้งนี้ต้องคุ้มแน่ๆ ได้เป็นอัศวินแน่ๆๆ ต้องพยายามอีกครั้งหนึ่ง

ท่านก็ไปกับเพื่อน คืนแรก ฟรังซิสก็รู้สึกไม่สบายและตัดสินใจนอนพัก ขณะที่ท่านหลับ ท่านได้ยินเสียงหนึ่ง ถามท่านว่า สองอย่างนี้อะไรดีกว่ากัน ?? ติดตามเจ้านาย หรือติดตามคนใช้?? ฟรังซิสตอบว่า “แน่นอนที่สุด, เราต้องติดตามเจ้านายของเรา. แล้วเสียงนั้นก็ถามฟรังซิสว่า แล้วท่านติดตามคนใช้ทำไม? .

ฟรังซิส จำได้ว่า เสียงนั้นคือเสียงของพระคริสตเจ้า ท่านจึงพูดตอบไปว่า “ พระเจ้าข้า พระองค์ต้องการให้ข้าฯ ทำสิ่งใด?” นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ฟรังซิสได้ทำ


ท่านไม่ได้บอกว่า ให้พระองค์ทำสิ่งใดให้กับท่าน แต่ท่านบอกว่า ท่านจะสามารถทำสิ่งใดเพื่อพระองค์ได้บ้าง?


หลังจากสนทนากันแล้ว เสียงนั้นก็บอกให้ ฟรังซิสกลับไปที่เมืองอัสซีซี และพระองค์จะบอกเองว่า จะให้ทำสิ่งใด


หลายครั้ง เราก็อาจติดตาม “คนรับใช้” โดยที่เรามิได้ติดตาม “เจ้านาย” ดังนั้นให้เรายอมจำนนต่อพระเยซูเจ้าและติดตามเจ้านายและมองดูว่า พระองค์ต้องการให้ฉันทำสิ่งใด
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่ท่าน

สวัสดีทุกท่าน


เป็นไงกันบ้างครับ คงจะสบายดีทุกคนนะครับ พ่อก็ย้ายมาได้หลายวันแล้ว ก็คิดถึงบรรยากาศเก่าๆๆ วันเดิมๆ ที่วัดพระมารดาฯ


แม้ว่า จะผ่านมา แต่ก็ยังมีสิ่งต่างๆ ที่ต้องปรับกันต่อไป


พ่อยังไม่ได้เริ่มงานในที่แห่งใหม่ เท่าใดนัก แต่จะเริ่มวันจันทร์ที่ 14 พ.ค.นี้ เชื่อว่า ทุกคนคงมีความสุขดี


เอาไว้พ่อมีอะไร พ่อจะส่งข่าวคราวให้รับทราบ หรืออาจจะบอกเล่าเรื่องราวดีดี ผ่านบล๊อกแห่งนี้ครับ


ขอพระเจ้าอำนวยพระพรแด่ท่าน


คพ.พรชัย วิลาลัย

สันติสุขแบบพระเยซูเจ้า

"Peace I leave with you; my peace I give to you. Not as the world gives do I give it to you. Do not let your hearts be troubled or afraid."

We have said many times before in these homilies, quoting St. Thomas Aquinas, that peace is the tranquility of order. Everything is in its proper place. There is no chaos or disturbance. Jesus tells us in the Gospel selection for today that he is the only real source of this peace.How do we arrive at this true peace? I know only one answer to that question: by surrendering to the Lord, by putting him in control of my life, by letting go and letting God. This is well stated in the 3rd Step of the 12 Steps: We made a decision to turn our will and our lives over to the care of God as we understood Him. The word decision comes from the Latin word, decidere, and means to cut off, to cut away.

In other words, in order to surrender to God we must cut away,cut out, what is standing in the way, blocking my way, from turning my will and life over to God. I must cut away my pride, my over-confidence in myself.

The truth of the matter is that I can't be in control of my life, I can't be in charge, and arrive at the peace I desire.Jesus, help me to make the decision to surrender my life to you. It means letting go with both hands and falling into your hands. It is hard to let go when I know I will fall. Jesus, help me!


God Bless you.

มาตรฐานของพระเยซู

มาตรฐานของพระเยซู
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราก็ไม่สามารถที่จะทำแบบที่พระเยซูบอกได้อย่างสมบูรณ์ แต่เราสามารถพยายามให้ใกล้เคียงมากที่สุด เท่าที่เราจะสามารถทำได้
ความรักที่เรามีต่อผู้อื่น บางครั้งก็เจ็บปวดและยากลำบาก เพราะบางคนก็ดูเหมือนว่า ไม่ต้องการความรัก สิ่งสำคัญสำหรับเราก็คือ รักษาความรักไว้ รักษาคำสอนของพระเยซูไว้ และพระองค์จะทรงช่วยเราให้สามารถทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เอง